บทที่ 384.2 การประชันเมฆหลากสี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เผยเฉียนวางก้อนเงินก้อนนั้นไว้บนโต๊ะ มองซ้ายมองขวา มองแนวตั้งมองแนวนอน มองกี่รอบก็ไม่เบื่อ ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าจะหาวิธีเอาก้อนเงินนี้มาเป็นของตัวเองได้อย่างไร นางพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่า ‘ก้อนเงิน’ เริ่มกระดุกกระดิกได้เอง จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นตั๊กแตกสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่กระโดดไปทางหน้าต่าง แผล็บเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา รอจนเผยเฉียนคืนสติก็รีบปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงไปแล้วเริ่มตามหา ‘ก้อนเงิน’ อยู่ในเรือนด้านหลังอย่างยากลำบาก หาตามพุ่มไม้ มุมกำแพง ร่องหินอยู่นานถึงครึ่งชั่วยาม สุดท้ายยังเริ่มใช้มือขุดพื้นดิน แต่ก็ยังไม่อาจดึงตัวก้อนเงินที่จำแลงร่างกลายเป็น ‘แมลง’ ก้อนนั้นมาได้ เผยเฉียนที่หมดเรี่ยวหมดแรงได้แต่นั่งเหม่ออยู่ท่ามกลางกองดิน คราวนี้แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังไม่เหลือแรงแล้ว

รอจนเฉินผิงอันที่ไปเยือนแถวศาลบุ๋นย้อนกลับมายังโรงเตี๊ยมก็เห็นแผ่นหลังผอมบางที่หม่นหมองเศร้าซึมของเผยเฉียน มือทั้งสองข้างของนางยังกำชายแขนเสื้อไว้แน่น

เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินไปหาชุยตงซานโดยตรง เพียงไม่นานก็มายืนตรงหน้าต่าง ตะโกนพูดกับเผยเฉียน “เงินเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญ เจ้ามีความสามารถก็คว้าชัยชนะเอากลับคืนมาให้ได้ ชนะไม่ได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เงินก้อนที่ชื่อว่า ‘แมลงเงิน’ ก้อนนี้ของชุยตงซาน  เจ้าสามารถเอาไปเล่นได้ เขาต้องการจะเอากลับคืนไปเมื่อไหร่ เจ้าก็แค่คืนให้เขาไป”

แม้ว่าเผยเฉียนจะยังเสียใจอยู่มาก แต่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว ปีนขึ้นไปบนหน้าต่าง กระโดดลงบนพื้น ประคองสองมือไปรับ ‘แมลงเงิน’ ที่กลับคืนสภาพมาเป็นก้อนเงินอีกครั้งอย่างระมัดระวัง

เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียนลากนางไปที่ข้างโต๊ะ “เอาใหญ่แล้วนะ รู้จักพนันขันต่อกับคนอื่นแล้วรึ?”

เผยเฉียนนั่งลงข้างโต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ สองมือกำแมลงเงินเอาไว้แน่น

เฉินผิงอันถาม “ชอบพนันขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอากล่องเก็บสมบัติในหีบไม้ไผ่ออกมาให้เจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็มีทรัพย์สินมากมายอยู่แล้วนี่นา เจ้าสามารถเดิมพันกับชุยตงซานได้อีกหลายครั้ง จะให้ข้าไปเอามาให้เจ้า หรือเจ้าจะไปเอามาเอง?”

เผยเฉียนสีหน้าลนลาน ส่ายหน้าอย่างแรง

เฉินผิงอันตบโต๊ะ “ไปเอากล่องเก็บสมบัติมา วันหน้าแบกเอาเอง! “

เผยเฉียนสะบัดหน้าหนี หน้าตาบึ้งตึง ทั้งไม่ร้องไห้แล้วก็ไม่อ้อนวอน ไม่มองเฉินผิงอันแล้วก็ไม่เชื่อฟังเขาด้วย

เฉินผิงอันโมโหมาก

เผยเฉียนกัดฟัน ขว้างก้อนเงินที่อยู่ในมือออกไปนอกหน้าต่าง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไปเปิดหีบไม้ไผ่ที่อยู่ในห้องด้านข้าง หยิบเอากล่องเก็บสมบัติออกมา กลับมาที่ห้องเผยเฉียน วางมันไว้บนโต๊ะแล้วเดินจากไป

คิดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มเหล้าดองอยู่ในห้องไปได้คำเดียว เผยเฉียนก็ถือกล่องเก็บสมบัติวิ่งพรวดเข้ามาแล้วเอามันยัดกลับเข้าไปในหีบไม้ไผ่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบจนคนไม่ทันยกมือป้องหู จากนั้นก็วิ่งออกไป

เฉินผิงอันหยิบกล่องเก็บสมบัติออกมาใหม่ เดินไปที่ห้องด้านข้าง คิดไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะลั่นดาลลงกลอนประตูไว้อย่างแน่นหนา

ไฟโทสะของเฉินผิงอันลุกโชน ใจนึกอยากจะถีบประตูให้เปิดแล้วเอาตัวเจ้าเด็กนี่พร้อมกล่องเก็บสมบัตินี้จับโยนออกไปนอกโรงเตี๊ยมพร้อมกัน

เฉินผิงอันยืนอยู่นอกประตูครู่ใหญ่

ด้านในประตู เผยเฉียนที่ลงกลอนใช้แผ่นหลังดันบานประตูไว้อย่างแน่นหนา ยกแขนสองข้างที่เล็กบางขึ้น ใช้หลังมือบดบังใบหน้าเล็กๆ ที่ดำราวกับถ่าน

บนหลังคาของโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นตัวการของเรื่องนอนหงายหนุนแขนตัวเอง สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

……

หลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ในห้องตั้งใจศึกษาตำราการเล่นหมากล้อม

คือ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุดในใต้หล้าไพศาล สิบกระดานท่ามกลางเมฆหลากสี และใช้การประชันครั้งนั้นมาวิวัฒนาการเป็นตำราหมากล้อมรูปแบบต่างๆ มีคนตั้งใจ ‘ผ่าตัด’ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม หมายถึงการวิเคราะห์ผลได้ผลเสียในการเล่นหมากล้อม) ของการแข่งขันเมฆหลากสี บางคนก็แค่ต้องการเจาะลึกความมหัศจรรย์ของการแข่งขันเมฆหลากสีเท่านั้น ว่าการว่าตำรานี้ไม่รู้ว่าอบรมบ่มเพาะให้เกิดยอดฝีมือด้านวิชาหมากล้อมในยุทธมากน้อยเท่าไหร่

หากพูดถึงแค่การเล่นหมากล้อม เมื่ออยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว หลูป๋ายเซี่ยงถือว่าไร้เทียมทานแล้ว ตอนที่มาเยือนใต้หล้าไพศาลช่วงแรก เขามองว่าตัวเองมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงส่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาได้ ‘ตำราเมฆหลากสี’ เล่มนี้มาโดยบังเอิญถึงเพิ่งจะรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความลึกล้ำของฝีมือการเล่นหมากล้อมของทั้งสองฝ่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้านครจักรพรรดิขาวที่ ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ พูดถึงแค่ยอดฝีมือที่มีคุณสมบัติประมือกับยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิมารบนเมฆหลากสีผู้นั้น แม้ว่าจะแพ้หลายครั้ง แต่ว่าหากไม่มองช่วงที่นครจักพรรดิขาวเป็นฝ่าย ‘ถูกกระทำ’ ในแต่ละครั้ง ลำพังดูแค่การจัดวางสถานการณ์หมากบนกระดานของยอดฝีมือท่านนี้ก็จะได้เห็นว่าแต่ละก้าวของเขาช่างยอดเยี่ยมจนทำให้คนรุ่นหลังที่ศึกษาตำราการเล่นหมากล้อมรู้สึกเหมือนมีเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับลมพายุพุ่งทะลุแผ่นกระดาษมาปะทะใบหน้า ทำให้คนหายใจแทบไม่ออก

เป็นเหตุให้หลูป๋ายเซี่ยงต้องไปตามหาและรวบรวมตำราการประชันหมากล้อมส่วนใหญ่ของยอดฝีมือคนนี้มา สุดท้ายได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า วิชาหมากล้อมของคนผู้นี้ควรจะต้องเรียกว่า ‘เข้าใกล้มรรคาอย่างไร้ที่ติ’ ปรมาจารย์ด้านหมากล้อมของใต้หล้าไพศาลส่วนใหญ่ล้วนมีคำวิจารณ์ที่สูงส่งเกี่ยวกับคนผู้นี้ โดยคร่าวๆ แล้วมีอยู่สามข้อ ข้อแรกคือใช้สายตาที่เฉียบคมมาทำลายข้อสรุปเดิมที่มีอยู่แล้ว ข้อสองแม้ว่าบางครั้งที่คนผู้นี้เดินหมากจะเผยความเฉียบคม เผยวิธีการที่นองเลือด แต่โดยภาพรวมแล้วคนผู้นี้คู่ควรกับคำสรรเสริญที่ว่า ‘ท่วงทำนองบางเบา บรรลุถึงขอบเขตที่กว้างไกลที่สุดและละเอียดอ่อนที่สุด’ สามคือคนผู้นี้เป็นผู้ริเริ่มความคิดอันมหัศจรรย์มากมายอย่างเช่นรูปแบบการเดินหมากหิมะใหญ่ถล่มเลี้ยววงใน รูปแบบปลายแหลมเล็กหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ แม้ว่าร้อยปีให้หลัง ส่วนใหญ่จะถูกยอดฝีมือหมากล้อมแก้ได้ หรือไม่ก็ตอนที่เพิ่งปรากฎเป็นครั้งแรกในการแข่งขันเมฆหลากสีก็ถูกเจ้านครจักรพรรดิขาวมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าทุกคนที่ดูการแข่งขันผ่านตำราเมฆหลากสีกลับอดตื่นตะลึงและชื่นชมในความคิดอันบรรเจิดเลิศล้ำของคนผู้นี้ไม่ได้ ทำให้คนรู้สึกราวกับว่าคนผู้นี้กับนักเล่นหมากล้อมทุกคนบนโลกล้วนไม่ได้เล่นอยู่บนกระดานหมากเดียวกัน

การที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้านครจักรพรรดิขาว หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้แต่พูดว่าคนผู้นี้เกิดมาไม่ถูกยุคสมัย ดันมาเจอเข้ากับตัวประหลาดที่ในอดีตไม่เคยปรากฏมาก่อน และในอนาคตก็จะไม่มีทางปรากฏเช่นกัน เนื่องจากฝ่ายหลัง ‘บรรลุมหามรรคา’ ไปแล้ว

หลูป๋ายเซี่ยงศึกษา ‘ตำราเมฆหลากสี’ ก็ใคร่ครวญไปมา คงได้แต่ใช้คำว่า ‘ไร้ความผิดพลาด ไร้ความสะเพร่า’ มาบรรยายยอดฝีมือลัทธิขงจื๊อที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนเลื่องลือผู้นี้แล้ว

หลูป๋ายเซี่ยงเคยพูดเล่นกับเฉินผิงอันว่า ความหวังที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ก็คือสามารถได้ไปเยือนนครจักรพรรดิขาว แต่ส่วนลึกในหัวใจของหลูป๋ายเซี่ยงกลับคิดว่าคนที่เขาอยากเล่นหมากล้อมด้วยมากที่สุดกลับไม่ใช่เจ้านครจักรพรรดิขาว แต่เป็น ‘ชุยฉาน’ ท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่ อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งผู้นี้

หลูป๋ายเซี่ยงวางตำราหมากล้อมลง ถอนหายใจหนึ่งที

นครจักรพรรดิขาวน่าจะไปเยือนได้ แค่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่จะได้เล่นหมากล้อมกับชุยฉานสิบตาหรือไม่กลับเป็นความหวังที่ค่อนข้างเลื่อนลอย

แม้ว่าตอนนี้ชุยฉานจะเป็นราชครูของราชวงศ์ต้าหลีบ้านเกิดเฉินผิงอัน แต่ในฐานะคนชมการเล่นก็พอจะมองออกได้คร่าวๆ ว่าคนผู้นี้หยิ่งทระนง ต่อให้เขาหลูป๋ายเซี่ยงได้พบหน้าเขาชุยฉาน แต่ก็คงยากมากที่จะได้เล่นหมากล้อมกับอีกฝ่ายสมดั่งใจหวัง

เพราะหลูป๋ายเซี่ยงรู้ดีว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของตนยังไม่ดีพอ

เพียงแต่คนรุ่นหลังทำลายหมากล้อมเพราะตัวคน โดยเฉพาะในใบถงทวีปและในแจกันสมบัติทวีป สำหรับคำวิจารณ์ที่มีต่อฝีมือการเล่นหมากล้อมของท่านชุยผู้ยิ่งใหญ่นี้จึงจงใจลดระดับให้ต่ำลงมาเยอะมาก

สำหรับถ้อยคำอันห้าวเหิมสามประโยคที่คนผู้นี้ทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกเลื่อมใสอย่างมาก

‘ไม่ว่าฝ่ายกระทำจะเล่นอย่างไรก็ไม่เป็นไร’

‘กวานจื่อ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ระหว่างที่แข่งขันกันบนกระดาน ต่างฝ่ายต่างยึดฐานที่มั่นของตัวเองได้แล้ว ยังไม่มีการวางเม็ดหมากลงไปบนที่ว่างรอยต่อของกันและกัน หากวางเม็ดหมากลงไปในเวลานี้จะเรียกว่ากวานจื่อ) ก็คือการเก็บกวาดสนามรบ ใครเอ่ยประโยคทำนองว่ากวานจื่อไร้เทียมทาน มีแต่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญหัวเราะขำขันเท่านั้น’

‘หมากดำเรียนรู้จากหม่าเหลยผู้นั้น หมากขาวเรียนรู้จากข้าชุยฉาน หมากยอมอ่อนข้อให้เรียนรู้จากเจ้านครจักรพรรดิขาว ผู้ที่เรียนรู้จากหม่าเหลย สามารถเรียนรู้ได้เจ็ดแปดส่วน ผู้ที่เรียนรู้จากชุยฉาน สามารถเรียนรู้ได้ห้าหกส่วน เรียนรู้จากเจ้านครจักรพรรดิขาว เรียนไปก็เปล่าประโยชน์’

หลูป๋ายเซี่ยงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชำเลืองตามองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วเตรียมจะลุกขึ้นไปหาชุยตงซาน คาดว่าหากชนะสองในสามตาก็น่าจะพอหยั่งเชิงฝีมือของคนผู้นี้ได้บ้างแล้ว

ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงเดินออกจากห้องกลับเห็นเว่ยเซี่ยนกำลังเดินกลับเข้าห้องด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

หลูป๋ายเซี่ยงเดินเลี้ยวหัวมุมระเบียงจะไปเคาะประตูห้องที่อยู่ห่างไปค่อนข้างไกล เว่ยเซี่ยนยืนอยู่ตรงทางแยก ถามว่า “จะไปหาชุยตงซาน?”

หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ

เว่ยเซี่ยนโบกมือ “ไม่ต้องไปแล้ว ไอ้หมอนี่ก็ไปเดิมพันกับจูเหลี่ยนเช่นกัน ตอนนี้ออกจากอำเภอไปแล้ว สุยโย่วเปียนก็ตามไปด้วย”

หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างกังขา “เดิมพันอะไร?”

เว่ยเซี่ยนกล่าว “ชุยตงซานบอกว่าจะลองประมือกับจูเหลี่ยนสักหน่อย ขอแค่จูเหลี่ยนชนะ เขาก็จะเอาวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งออกมามอบให้จูเหลี่ยน หากจูเหลี่ยนแพ้ วันหน้าต้องทำอาหารมื้อดึกให้เขาชุยตงซานทุกมื้อ”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “จูเหลี่ยนตอบรับด้วยหรือ?”

เว่ยเซี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเกาหัวพูดว่า “ตอนแรกจูเหลี่ยนย่อมไม่ตอบรับ ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ถูกหลอกต้มเสียจนเปื่อยขนาดนั้น จูเหลี่ยนเองก็กลัวว่าจะเดินตามรอยนาง แต่ชุยฉานบอกว่าเขาสามารถยืนเฉยๆ ไม่ขยับ แต่จูเหลี่ยนก็ยังไม่ตอบรับ เจ้าหมอนั่นกลับพูดอีกว่าเขาจะไม่ขยับมือขยับเท้า จูเหลี่ยนจึงถามเขาว่าเขาใช่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินหรือไม่ ชุยตงซานบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แน่นอน ดังนั้นจูเหลี่ยนเลยยอมตกลง สุยโย่วเปียนก็ตามไปดูเรื่องสนุกด้วย”

ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ชุยตงซานก็กลับโรงเตี๊ยมมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ด้านหลังคือสุยโย่วเปียนที่มีสีหน้าแปลกพิกล แน่นอนว่ายังมีจูเหลี่ยนที่หน้าเปรอะเปื้อนมอมแมมด้วย

จูเหลี่ยนเดินดิ่งตรงไปที่ห้องตัวเอง ปิดประตูลงดังปัง

หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องไม่ได้ถามมาก สุยโย่วเปียนเดินเข้ามาในห้อง นั่งลงตรงข้าม พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงว่า “ชุยตงซานบอกว่าอีกไม่นานเขาจะมาเรียนวิชาหมากล้อมกับเจ้า”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “จูเหลี่ยนแพ้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งจะแอบเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดไม่ใช่หรือ?”

สุยโย่วเปียนกล่าวอย่างระอาใจ “ไอ้หมอนั่นยืนนิ่งไม่ขยับก็จริง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้…มีสมบัติอาคมติดตัวค่อนข้างมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ จูเหลี่ยนขยับเข้าใกล้เขาในระยะสิบจั้งไม่ได้เลย เหมือนสุนัขที่ถูกจูงอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้ข้ารับมือกับคนผู้นี้ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าจูเหลี่ยนสักเท่าไหร่”

หลูป๋ายเซี่ยงรินชาถ้วยหนึ่งให้สุยโย่วเปียน สุยโย่วเปียนกลับไม่ดื่มชา นางส่ายหน้ากล่าวว่า “พวกเจ้าเล่นหมากล้อมกัน ข้าคงไม่ดูแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ทำไม รู้สึกว่าโอกาสชนะของข้ามีไม่มากงั้นหรือ?”

สุยโย่วเปียนลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ได้รู้สึกว่าวิชาหมากล้อมของคนผู้นี้สูงส่งสักเท่าใด แต่เชื่อในเรื่องหนึ่ง นั่นคือขอแค่เขาเดิมพันกับคนอื่น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยแพ้มาก่อน”

เรื่องที่ทำให้จูเหลี่ยนหนาวเยือกในใจมากที่สุดก็คือคนผู้นี้ยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับสามารถบังคับสมบัติอาคมชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ ‘มากมายละลานตาจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้’ ทำเอาจูเหลี่ยนไม่เพียงแต่โงหัวไม่ขึ้น ที่น่าโมโหยิ่งกว่าคือเขายังโบกธงร้องไห้กำลังใจจูเหลี่ยน จากนั้นก็ทำสีหน้าเสียดาย พูดว่ามดตัวน้อยอย่างเจ้าจูเหลี่ยนอยู่ข้างกายอาจารย์ของข้า ก็คงเป็นได้แค่พ่อครัวที่มีหน้าที่ทำอาหารเท่านั้นจริงๆ

และเรื่องที่ทำให้สุยโย่วเปียนเกือบจะออกกระบี่ก็คือคนผู้นั้นพูดกับจูเหลี่ยน แล้วยังชำเลืองหางตามองมายังนาง บอกว่าเจ้าดีกว่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็หน้าตาพอดูได้ ไม่แน่ว่าคืนใดอาจารย์ของข้านอนหลับอาจหันหน้าไปทางขวา (ทางขวาก็คือโย่วเปียน)

หลูป๋ายเซี่ยงจมอยู่ในภวังค์ความคิด พอสุยโย่วเปียนจากไป เขาก็เปิด ‘ตำราเมฆหลากสี’ อีกครั้งด้วยความเคยชิน

ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มชุดขาวผู้เอ้อระเหยลอยชายก็มาเยือนถึงห้อง เขาเดินแทะเมล็ดแตงมาตลอดทาง พอเข้าประตูมาแล้ว ยังไม่ทันนั่งก็เห็นตำราหมากล้อมที่หลูป๋ายเซี่ยงเพิ่งจะวางลง จึงกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าอ่านของเล่นนี่เพื่อเรียนรู้รูปแบบ หลักการและกลเม็ดเคล็ดลับในการเล่นหมากล้อมงั้นหรือ?”

หลูป๋ายเซี่ยงถามกลับ “มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?”

ชุยตงซานถอนหายใจ นั่งแปะลงตรงข้ามกับหลูป๋ายเซี่ยง พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “ช่างเถอะ ข้าไม่เรียนหมากล้อมกับเจ้าแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้วแน่น หยิบหมากเม็ดหนึ่งมาคีบไว้ที่ปลายนิ้ว ถามว่า “เป็นเพราะอะไร?”

ชุยตงซานใช้มือหนึ่งถือเมล็ดแตงที่หลอกเอามาจากเผยเฉียน มือข้างที่ว่างยื่นนิ้วชี้มาชี้หลูป๋ายเซี่ยง จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “เปลี่ยนเป็นเจ้ามาเรียนวิชาหมากล้อมกับข้าดีกว่า”

—–