บทที่ 568 ดวงดาวบนฟากฟ้า

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 568 ดวงดาวบนฟากฟ้า
ณ ห้องนั่งเล่นเล็กๆ ในมิติแดนสัจธรรม ดักลาสก็พบกับฟรังซัวส์

เนื่องจากเขาไม่สามารถพัฒนาขึ้นเป็นนักเวทชั้นตำนานได้ พิธีกรรมเวทมนตร์มากมายที่ใช้ต่ออายุขัยเพิ่มอีกเกินกว่าห้าร้อยปีก็ไม่สามารถใช้กับเขาได้ เขาจึงดูค่อนข้างแก่ชรา ผมของเขาดูบางตาและเป็นหงอกขาว ผิวของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น และมีจุดด่างดำเต็มไปหมด แต่ดวงตาสีฟ้าของเขาเข้มดั่งกับมหาสมุทร ราวกับว่าดวงตาคู่นี้เต็มไปด้วยภูมิปัญญาที่หยั่งรากลึกลงตามกาลเวลา

“ฟรังซัวส์ เจ้ามีธุระอะไร? เจ้าพร้อมสำหรับพิธีแปลงชีพลิชแล้วหรือ?” ดักลาสถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง ในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการกิจการ ชายคนนี้น่าจะกำลังยุ่งมากในเวลาเช่นนี้

ฟรังซัวส์สายศีรษะพร้อมกับรอยยิ้ม “การแปลงชีพเป็นลิช ข้าจะต้องละทิ้งความรื่นรมย์และความบันเทิงในความเป็นชาย ข้าอาจจะบ้าระห่ำยิ่งกว่าเดิมเสียอีกด้วยพลังด้านลบ นี่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ข้ายังตัดสินใจไม่ได้เลย รอดูไปก่อนว่าโลกแห่งปัญญาของข้าจะเป็นปึกแผ่นได้สักครึ่งหนึ่งไหม”

“เป็นความคิดที่ดี อาร์คานาและเวทมนตร์พัฒนาอย่างรวดเร็วจนน่าใจหายในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บางทีนะ อาจมีการนำเสนอทฤษฎีหรือผลการศึกษาใหม่ๆ ที่เหมาะกับเจ้าในเร็วๆ นี้ เพื่อช่วยเจ้าได้สร้างโลกแห่งปัญญาเป็นปึกแผ่นขึ้นมา หลังจากสะสมความรู้มาหลายปี” ดักลาสพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฟรังซัวส์

ในความคิดของเขา การพัฒนาอย่างบ้าคลั่งของอาร์คานาศาสตร์เริ่มต้นตั้งแต่การศึกษาเรื่องความทรงจำของเซลล์โดยฟิลิเป และการเสนอตารางธาตุโดยลูเซียน เขาดูเหมือนจะมองเห็นว่าที่นักเวทชั้นตำนานทั้งสองคน ฉะนั้น เมื่อวิเซนเตพยายามกันฟิลิเปออกจากกรณีของเทพอสูร-ลิช เขาก็เห็นดีเห็นงามด้วยและยอมปล่อยผ่านไป

ฟรังซัวส์ยิ้ม “ท่านประธาน ก็จริงอยู่ที่ทฤษฎีหรือผลการศึกษาใหม่ๆ ที่อาจช่วยแก้ปัญหาของข้าจะออกมาเร็วๆ นี้ แต่นั่นก็อาจทำให้หัวของข้าระเบิดได้เหมือนกัน โดยเฉพาะถ้ามาจากลูเซียน อีวานส์ เจ้าเครื่องบดสมองคนนั้น”

ดักลาสส่ายศีรษะพร้อมกับรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าลูเซียนมี ‘ชื่อเสียงไม่ค่อยสู้ดีนัก’ ในหมู่นักเวท “เขายังไม่ได้เปิดเผยความก้าวหน้าที่นำเสนอออกมาทั้งหมด เจ้าอาจจะเห็นคุณค่าในทฤษฎีใหม่ของเขาในอีกสาม ห้า หรือสิบปีก็เป็นได้”

ฟรังซัวส์ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “เหมือนเรื่อง ‘กระแสไฟฟ้าของวัตถุเคลื่อนที่และสมการมวลสาร-พลังงาน’ อย่างนั้นหรือ?”

รอยยิ้มของดักลาสค่อยๆ จางหายไป เขาตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ “ใช่”

ฟรังซัวส์ว่าต่อไป “ตอนข้าเห็นบทความนี้ ข้ารู้สึกว่าความมั่นใจของข้าถูกทำลาย ไม่ใช่เพราะตกตะลึงกับพรสวรรค์ของลูเซียน อีวานส์ แต่เพราะสงสัยในตัวข้าเองและระบบอาร์คานาที่ผ่านมาหลายร้อยปี”

“ท่านดักลาส ข้าเฝ้าติดตามท่านมาตั้งแต่สิ้นสุด ‘สงครามแห่งรุ่งอรุณ’ เราก่อตั้งสภาขึ้นมาภายใต้การกดขี่ของศาสนจักร ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงและระบบการเคลื่อนที่ของท่านเป็นประหนึ่งประภาคารที่ส่องแสงนำทางข้า แต่ตอนนี้ หนึ่งในประภาคารสองแห่งนี้กลับถูกประกาศว่า ‘ผิด’ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรเชื่ออะไรอีกแล้ว ข้าไม่ต่างจากเรือในพายุ ไม่เหลืออะไรนอกจากความมืดอยู่ตรงหน้า”

ดักลาสเบาเสียงลง “มันไม่ผิด แต่มีปัญหาที่การประเมินค่าความเร็วต่ำของระบบสัมพัทธภาพ”

บรรยากาศเริ่มแปลกไปและเต็มไปด้วยความเงียบและความหดหู่ที่เกินกว่าจะพรรณนา

ฟรังซัวส์มองหน้าดักลาสอย่างเอาจริงเอาจัง “ท่านประธาน การประเมินค่าความเร็วต่ำหมายความว่าท่านมองข้ามหลายอย่างในระบบเคลื่อนที่ของท่านมากเกินไป และมีข้อผิดพลาดมากเกินไป แล้วท่านก็ยังไม่คิดว่า ‘กาลคืออวกาศ และอวกาศคือกาล’ ‘กาลขึ้นอยู่กับสสาร และเป็นหน้าที่ของความเร็ว’ จะหักล้างความเข้าใจของเราโดยสิ้นเชิงสินะ?”

ความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาเป็นทัศนคติของเขาต่อปัญหาอาร์คานามาเสมอ

ฟรังซัวส์ตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ “บางทีอาจเป็นเพราะการศึกษาของเราตื้นเขินเกินไปและห่างไกลจากความเป็นจริงเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเมื่อเราเข้าถึง ‘ความจริง’ เราอาจพบว่าความจริงกลับตรงข้ามกับสิ่งที่เราเชื่อถือ”

“นั่นก็ถูก ยิ่งศึกษาอาร์คานามากเท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกโง่เขลามากเท่านั้นโดยเฉพาะเรื่องกาล อวกาศ มวล และพลังงาน หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องแรงโน้มถ่วงที่ข้าถนัดที่สุด”

ฟรังซัวส์ถอนหายใจ “ความจริงของโลกนี้อยู่เหนือกว่าจินตนาการของเรา มีคำถามอีกมากมายที่ยังตอบไม่ได้ และยังมีอีกมากมายหลายสิ่งมุ่งสู่สิ่งเดียวกัน ลักษณะของแรมโน้มถ่วงคืออะไร? แรงโน้มถ่วงปรากฏขึ้นมาในตอนแรกได้อย่างไร? หากระบบเคลื่อนที่ดาราศาสตร์ของท่านถูกต้อง แล้วแหล่งเริ่มต้นที่ทำให้ดาวเคราะห์หมุนคืออะไร?”

“นั่นก็เป็นเรื่องที่ข้ากำลังสงสัย แรงโน้มถ่วงมาจากไหน? มันกระจายตัวอย่างไร? มันถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกอย่างไร? ยิ่งข้ารู้มาก ข้าก็ยิ่งหลงทางแล้วหวาดกลัว บางทีก็อาจจะคิดผิดมาตลอดก็ได้” เสียงของดักลาสไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้

ดวงตาสีฟ้าของฟรังซัวส์จ้องถมึงทึง “บางที เราน่าจะลองมองหาคำอธิบายเชิงปรัชญา บางที มันน่าจะมีปฐมเหตุและที่มาที่สร้างทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้น ระบบการเคลื่อนที่ของวัตถุท้องฟ้าก็สามารถสมบูรณ์แบบและถูกสร้างขึ้นได้”

ดักลาสไม่ได้เก็บซ่อนความรู้สึกจากสหายเก่าแก่ของเขา เขาพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ “บางครั้ง ข้าก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้ ว่าอาจมีพระผู้เป็นเจ้าและปฐมเหตุอยู่จริงๆ หรือว่าระบบอาร์คานาทั้งหมดไม่อาจอธิบายได้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เหมือนกับบ้านที่ไร้ฐานราก ซึ่งอาจถล่มลงได้ภายใต้สายลมอันแผ่วเบา”

บรรยากาศการสนทนายิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ แสงวูบวาบอยู่ในตาของฟรังซัวส์ขณะเขาพูด “จะบอกว่า ระบบแรงโน้มถ่วงและระบบการเคลื่อนที่ของท่านจะล่มสลายหากไม่มีปฐมเหตุ ใช่หรือไม่?”

“ใช่” ดักลาสเสริม “อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้ แต่ก็อาจมีคำอธิบายเชิงอาร์คานาอื่นๆ ในอนาคต”

ฟรังซัวส์พูดออกเสียงเบาๆ “แล้วโลกกำเนิดมาจากไหน? ข้าเป็นใคร? พวกเราจะไปไหนกันต่อ? เราจะเจอคำตอบพวกนี้จากการศึกษาอาร์คานาหรือไม่?”

“ไม่ใช่ตอนนี้ คำตอบพวกนี้ยังอยู่ในหมวดหมู่ปัญญา” ดักลาสส่ายศีรษะ

ฟรังซัวส์เองก็ส่ายศีรษะ “ไม่ คำตอบพวกนี้อยู่ในหมวดหมู่เทววิทยา ตราบใดที่ท่านยอมรับว่ามีพระผู้เป็นเจ้าและปฐมเหตุ ทุกคำถามต่างมีคำตอบ”

ดักลาสอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ในจังหวะที่เขาหรี่ตาลง “เจ้าเป็นใคร? เจ้าไม่ใช่ฟรังซัวส์!”

แล้วบางสิ่งบางอย่างก็อุบัติขึ้นภายในร่างของฟรังซัวส์ จนทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์และเยือกเย็น “จงเรียกข้าว่าเบเนดิกต์ที่สาม”

“โป๊บ… ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่? ฟรังซัวส์ไปไหน?” ดักลาสไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไป ในมติพิเศษและหอคอยเวทมนตร์ของเขา เขามั่นใจว่าสามารถต่อกรกับโป๊บ ดวงจันทร์สีเงิน หรือแม้กระทั่งเจ้าแห่งนรกได้ หากมาถึงมิติของเขาด้วยตัวเอง ด้วยเงื่อนไขที่ว่าไม่ได้ใช้พลังพระเจ้าเสด็จ ดังนั้น เขาจึงไม่เกรงกลัวโป๊บซึ่งฉายภาพมายังร่างของฟรังซัวส์ด้วยวิธีการที่แปลกประหลาด

วงเวทปริศนาถูกเปิดใช้งาน ทำให้มิติแดนแห่งสัจธรรมภายนอกตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของราตรีพร้อมกับดวงดาวบนท้องฟ้า

เบเนดิกต์ที่สามแสดงปฏิกิริยาตอบสนองเพียงเล็กน้อย เขาเพียงแค่ยิ้มออกมา “ฟรังซัวส์เต็มใจให้ข้าใช้ร่าง มิเช่นนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะหยิบยืมร่างของผู้วิเศษ”

“หมายความว่าเขารับใช้ศาสนจักรสินะ ไม่แปลกใจเลยที่มีข่าวรั่วไหลมากมาย ข้าคิดมาเสมอว่าคงมีสายลับอยู่ในคณะกรรมการกิจการ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเขา” ดักลาสรู้สึกผิดหวังเมื่อเขากำลังเผชิญหน้ากับสายลับที่อยู่ในระดับสูงสุด สหายเก่าซึ่งร่วมกันก่อตั้งพระเวทมนตร์ความฝันของเขาและแปรพักตร์เข้าร่วมกับศัตรูในที่สุด

เขาก็ยังรู้สึกโชคดีที่โครงการเมฆรูปเห็ดเป็นที่รับรู้เพียงสมาชิกที่ไว้ใจได้ของคณะกรรมการกิจการเท่านั้น และฟรังซัวส์ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้

เบเนดิกต์ที่สามกล่าวอย่างสงบ “ฟรังซัวส์ตระหนักถึงปัญหาพื้นฐานของอาร์คานา เขาจึงกลับสู่อ้อมแขนของพระผู้เป็นเจ้า ดักลาส จงอย่าปฏิเสธ เจ้าก็เริ่มศรัทธาในปฐมเหตุและพระผู้เป็นเจ้าแล้วเช่นกัน”

“ใช่ ข้าไม่อาจปฏิเสธว่าเชื่อในปฐมเหตุและพระผู้เป็นเจ้าอยู่บ้าง” ดักลาสตอบโดยไม่แสดงความรู้สึก

ด้วยความดีใจ เบเนดิกต์ที่สามเป็นตอบไป “ดีมาก หากเจ้าประสงค์จะเข้าพิธีล้างบาป เจ้าจะกลายเป็นนักบุญที่หนึ่งแห่งศาสนจักรและเป็นโป๊บในภายหลัง เจ้าจะได้ล่วงรู้ความลับของมนุษย์ครึ่งเทพ และได้รับความปิติชั่วนิจนิรันดร์”

ดักลาสหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมาทันใด “เพียงเพราะข้าเชื่อไม่ได้หมายความว่าคาถาบูชาพระเจ้าแห่งสัจธรรม”

“อะไรกัน? เจ้ายังเข้าใจพลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’ ไม่ชัดเจนอีกหรือ? เจ้ามันเห็นภาพสะท้อนของเขาวิมานหรืออย่างไร? หากเจ้าประสงค์จะเข้าร่วมกับศาสนจักร ข้าจะเผยความลับของมนุษย์ครึ่งเทพส่วนหนึ่งให้เจ้าได้รับรู้ในตอนนี้เลย” เบเนดิกต์ที่สามประหลาดใจเล็กน้อย

ดักลาสชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวภายนอกหน้าต่าง “เบเนดิกต์ที่สาม ท่านคงไม่เคยสำรวจอวกาศอย่างเช่นพวกเราเหล่านักเวทสินะ?”

“แล้วทำไม?” เบเนดิกต์ที่สามไม่เข้าใจสิ่งที่ดักลาสอธิบาย

ดักลาสจ้องมองท้องฟ้าด้วยความกระตือรือร้นและความลุ่มหลงสูงสุด “หลังจากท่านไปที่นั่นแล้วเท่านั้นถึงจะรู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่เพียงไหน และตัวท่าน ตัวข้า ดวงจันทร์สีเงิน เจ้าแห่งนรก และโลกทั้งใบช่างไร้ค่าอย่างไร เมื่อเทียบกับจักรวาล”

“แม้ข้าจะเชื่อในปฐมเหตุ ข้าไม่เชื่อว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นจะลงมาต่อสู้แก่งแย่งดินแดนกับเราและแวมไพร์ในโลกเล็กๆ ใบนี้”

“พระเจ้าของข้าจะยอมรับเสียงสวดและปลอบประโลมหัวใจของเรา แต่ ‘พระเจ้าสัจธรรม’ ซึ่งใช้พลังอาคมเทพและพระคุณของพระเจ้าโดยตรงและยังยุยงให้ศาสนจักรแก่งแย่งทรัพยากรและดินแดนในโลกนี้ ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเปรียบเทียบกับจักรวาลอันน่าเกรงขามและไร้ขอบเขต”

แล้วดักลาสก็หันหลังกลับมามองเบเนดิกต์ที่สาม

“แล้วท่านยังคิดว่าเขาสมควรได้รับความเชื่อจากข้าไหม?”

ในตอนนี้เอง บุรุษผู้สร้างสภาเวทมนตร์ขึ้นมาตั้งแต่ต้นได้เปิดเผยถึงความเชื่อมั่นและความภาคภูมิของตนออกมาทั้งหมด

เบเนดิกต์ที่สามดูสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ดักลาสหลงทางจริงๆ แต่เขาหลงไปคนละทาง

“ข้าอยากรู้ความลับของมนุษย์ครึ่งเทพ แต่ข้าก็รังเกียจระบบความคิดของพวกท่าน” ดักลาสพูดพร้อมกับรอยยิ้มสงบนิ่ง “สักวันหนึ่ง พวกท่านจะตระหนักว่านักเวทไม่ใช่ศัตรูต่อศรัทธา เพียงแค่มุมมองของเราไม่ได้ถูกจำกัดให้มองอะไรแคบเหมือนพวกท่าน”

“อนาคตของนักเวทรออยู่ในอวกาศอันไร้พรมแดน ที่สักแห่งซึ่งใกล้เคียงกับ ‘ความจริง!’”

เบเนดิกต์ที่สามถอนหายใจ “การขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพยากเย็นกว่าที่ท่านคิด บางครั้ง ความยิ่งใหญ่มิได้หมายถึงความเป็นจริง เพียงแค่อยู่ในระดับและรูปแบบที่เหนือกว่า ในเมื่อท่านปฏิเสธข้อเสนอของข้า ข้าก็ขอลาก่อน”

“จงพาฟรังซัวส์ไปกับท่านด้วย เขามีส่วนร่วมก่อตั้งสภาเวทมนตร์ ข้าไม่อยากลงโทษเขาด้วยเรื่องนี้ แต่เขาต้องออกจากสภา” ดักลาสเองก็ถอนหายใจ เบเนดิกต์ที่สามเป็นเพียงภาพสะท้อนเท่านั้น การสังหารฟรังซัวส์จะไม่เป็นอันตรายต่อเบเนดิกต์ที่สามแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการจะขอให้เฮลเลนซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองนครอัลลิน คอยจับตาดูฟรังซัวส์ เพื่อไม่ให้เขาลอบทำลายสิ่งใด

เบเนดิกต์ที่สามออกจากของหอคอยเวทมนตร์โดยไม่รอช้า

เมื่อเขาก้าวเข้าสู่วงเวทการส่งผ่าน ร่างของฟรังซัวส์ก็ละลายกลายเป็นเลือดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็มีสัญลักษณ์แปลกประหลาดถูกเขียนอยู่ เลือดก็ปิดสถานีเชื่อมต่ออวกาศทั้งหมด ราวกับว่าดักลาสไม่สามารถเปิดมิติพิเศษด้วยตัวเขาเอง

ดักลาสขมวดคิ้วและพยายามเปิดมิติอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน เขาประหลาดใจไม่เบา “นี่เป็นอาคมของมนุษย์ครึ่งเทพ? มิติพิเศษของข้าถูกปิดกั้นด้วยการสังเวยร่างภาพสะท้อนและผู้วิเศษระดับเก้าอย่างนั้นหรือ?”

เขารู้สึกโชคดีอีกครั้ง หากพวกเขาต้องรอจนศาสนจักรบุกมาโจมตี วิธีนี้อาจกักขังนักเวทชั้นตำนานระดับสูงสุดไว้ในมิติพิเศษของแต่ละคนซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายความว่านักเวทชั้นตำนานจะถูกแยกออกจากกันและถูกพิชิตโดยง่าย สภามีกำลังอ่อนแอกว่าศาสนจักรอยู่แล้ว และจะถูกกวาดล้างอย่างแน่นอนหากถูกจับแยกออกจากกัน

“โชคดีที่เราจึงลงมือก่อนล่วงหน้า แต่ว่าเบเนดิกต์ที่สามพยายามจะทำอะไรกันแน่?” ดักลาสไม่คิดว่าเขาจะเริ่มสงครามในตอนนี้ หากเขาไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมกับสภาเวทมนตร์ด้วยการทำลายล้างศาสนจักร ดังนั้น ดักลาสจึงไม่ได้กังวลมากนัก ถึงแม้จะสงสัยอยู่บ้างก็ตาม

“แม้ว่าอาคมเมื่อกี้มีส่วนผสมของแสงศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีเวทมนตร์พิเศษที่ไม่เหมือนใครของนักเวทโบราณ ดูเหมือนศาสนจักรจะเก็บเกี่ยวเวทมนตร์คลาสสิคมามากมายสมัยที่จักรวรรดิแห่งเวทมนตร์ถูกทำลาย”

……………………………………………….