เมื่อเทียบกับครั้งแรก เธอรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขาต่างกันมาก และยังบ้าคลั่งดุดัน แต่เธอไม่รู้สึกอึดอัดเลย มีเพียงความรู้สึกสบายเท่านั้น
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์สั่นขึ้น เธอเหลือบมอง นาโนโทรมา
เธอไม่เอื้อมมือไปรับ แต่โทรศัพท์ยังสั่นไม่หยุด ราวกับว่าถ้าเธอไม่รับ ก็จะโทรมาไม่ยอมหยุด
ยู่ยี่หยิบโทรศัพท์ ยังคงไม่รับ แต่กลับวางสาย ปิดเครื่อง เธอกลัวว่ามันจะทำให้เขาตกใจตื่น
อีกอย่าง เมื่อคืนเธอไม่ได้กลับทั้งคืน นาโนรู้แก่ใจดีว่า เธอจะไม่มีวันปล่อยเธอแน่นอน
“อรุณสวัสดิ์ครับ…” ดวงตาลึกของฉันทัชลืมตาขึ้น ดูเกียจคร้านอย่างที่ยามปกติไม่เห็นได้บ่อยนัก เสียงของเขาแหบอย่างมีเอกลักษณ์
แก้มเธอแดงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
แขนที่แกร่งของเขาโอบกอดเธอแล้วจูบเธอเบาๆ จูบบนเรือนร่างของเธอ “ขอโทษสำหรับความบุ่มบ่ามของผมเมื่อคืนนี้นะครับ…”
“…” ยู่ยี่เงียบ เธอเขินอาย
ฉันทัชหัวเราะเบาๆ เขาชอบมองท่าทางเวลาที่เธอเขิน
ขณะที่เธอเหนื่อยล้า เขากลับกระปรี้กระเปร่า สดชื่น มีกลิ่นอายความน่าหลงใหลเฉพาะตัว
“ตอนนี้เจ็ดโมงสิบนาที จะไปทำงานหรือจะลาครับ?” ฉันทัชถาม
ยู่ยี่เกือบจะลืมเรื่องไปทำงานอย่างหมดสิ้น จึงรีบพูดว่า “ไปทำงานค่ะ”
งานที่เธอรับช่วงต่อตอนนี้เพิ่งจะเข้าที่เข้าทาง เพิ่งจะสามารถทำได้อย่างคล่องมือ เธอย่อมไม่ลาหยุดแน่นอน
“เจ็ดโมงสิบนาที พวกเรามีเวลาสิบนาทีหวีผมล้างหน้า สิบห้านาทีสำหรับทานอาหารเช้า ผมจะไปส่งคุณไปที่ชั้นล่างของบริษัทก่อนเจ็ดโมงห้าสิบอย่างตรงเวลาแน่นอน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรีบหรือรน…” ฉันทัชจูบมุมปากของเธอ เธอยกมือขึ้นเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ แล้วพูดด้วยเสียงเบา ภายในเวลาสั้นๆเขาก็วางแผนทุกอย่างให้เธอไว้หมดแล้ว
เมื่อเห็นว่าเวลามีน้อย ในใจยู่ยี่ก็รู้สึกประหม่า แต่เสียงทุ้มของเขาดูเหมือนจะสามารถทำให้ใจของคนฟังสงบลงได้ เธอก็สงบลง
พวกเขาแต่งตัว อาบน้ำ แปรงฟัน กินข้าวเช้า จากนั้นก็ขึ้นรถตามเวลาที่เขาวางแผนไว้
ขณะถึงชั้นล่างของบริษัท เป็นเวลาเจ็ดโมงยี่สิบแปดนาที ยู่ยี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฉันทัชหัวเราะเบาๆยังคงสง่างาม
หลังจากที่ทั้งสองบอกลากัน ยู่ยี่เดินเข้าบริษัทแล้วเขาก็จากไป
อีก 2 นาทีเธอเกือบจะสาย ต้องบอกว่าเวลาของเธอเป๊ะพอดี
เธอเป็นคนจริงจังกับงานเสมอ ตอนพักกลางวันเธอไปกินข้าวกับน้องที่ทำงานบริษัทเดียวกัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เพื่อนร่วมงานรู้ว่าเธอเริ่มต้นทำงานจากการเป็นพนักงานทำความสะอาด ก็ต่างสงสัยว่าทำไมเธอถึงเลือกอยู่ที่นี่ต่อแทนที่จะออกไปที่อื่น
ได้ยินเช่นนี้ยู่ยี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า ตอนนั้นฉันจะเพิ่งหย่า เพิ่งจะออกจากชีวิตที่สุขสบาย ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสังคมเลย
ไม่มีข้อมูลดีๆ ไม่มีประสบการณ์ทางสังคม ไม่มีอะไรเลยนอกจากสองมือ
เพื่อนร่วมงานยิ้มตาม สู้ไปทำงานเป็นพนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานจัดซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือห้างสรรพสินค้าเสียยังดีกว่า
ยู่ยี่ยังคงยิ้ม เธอไม่ได้โง่ เพราะมันก็ต้องทำงานหนักด้วยมือทั้งสองเช่นเดียวกัน การอยู่ในบริษัทยังมีอนาคตอยู่บ้าง แต่หากอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต…
ขณะดื่มกาแฟ นาโนโทรเข้ามา ไม่รู้ว่าเป็นพรหรือคำสาป ยังไงเธอก็หนีไม่พ้น เมื่อหนีไม่ได้ยู่ยี่จึงรับสาย
เสียงของนาโนดังขึ้น เธอยังกล้ารับสายอยู่อีกนะ เธอมีความสามารถปิดเครื่องตลอด ไม่ยอมรับสาย ยิ่งทำนานเท่าไรมันจะไม่เหมือนเดิม
ยู่ยี่หัวเราะแห้งๆ เธอทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ แกล้งทำเป็นโง่
“โอ้ ฝึกที่จะไม่กลับบ้านทั้งคืนแล้วนี่ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนจะใช้ชีวิตตามใจตัวเองน่าดู เทพบุตรของฉันคงไม่ได้ป้อนเธอจนอิ่มตายใช่ไหม?”
ยู่ยี่ยังคงยิ้มไม่พูดอะไร ในขณะนี้ไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปกว่าการเงียบ
“แค่เธอบอกว่าจะทำตามใจตัวเองก็ช่างเถอะ แต่ช่วยโทรมาบอกฉันว่าปลอดภัยดีไม่ได้เลยรึไง ฉันคิดว่าเธอหายตัวไปจากโลกแล้ว!”
นาโนโกรธมาก และ ยู่ยี่ตัดสินใจที่จะไม่เติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟที่ลุกไหม้ เธอกล่าวขอโทษ แสดงความสำนึกผิดอย่างดี
หลังจากดุอยู่นาน นาโนก็หายโกรธ ทิ้งท้ายประโยคให้ยู่ยี่ว่า “ฉันด่าจนกระหายน้ำแล้ว ฉันจะไปดื่มน้ำสักแก้ว รอฉันอยู่นี่นะ”
ยู่ยี่ “…”
พูดตามจริง เธอดุจนกระหายน้ำ ส่วนเธอยังถูกดุจนหิวแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่งนาโนก็กลับมาหยิบโทรศัพท์แล้วดุต่อ ยู่ยี่วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ไม่สนใจ ทานข้าวกลางวันของเธอ โดยปล่อยให้ปลายสายดุต่อ
ดวงตาของเพื่อนร่วมงานเบิกกว้าง มองดูพฤติกรรมเธออย่างแปลกใจ
ยู่ยี่ยิ้ม ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ หัวหน้ามีนโยบาย ลูกน้องมีแผนรับมือ
เคล็ดลับนี้เธอเรียนรู้ที่จะจัดการกับนาโนที่กำลังโกรธโดยเฉพาะ ช่วยไม่ได้ พอเธอโกรธก็สามารถดุกว่าครึ่งชั่วโมง
ขณะเดินออกจากร้านอาหาร หิมะก็ตก หิมะแรกตกอย่างหนักมาก เกล็ดหิมะทยอยตกลงมาจากท้องฟ้า ทันใดนั้นโลกก็กลายเป็นสีขาว
หิมะปีนี้ตกลงมาเร็วกว่าปีก่อนๆ ชั่วพริบตาก็ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว
ยู่ยี่สูดหายใจเข้าลึกๆรีบเดินเข้าบริษัทกับเพื่อนร่วมงานอย่างรวดเร็ว ในระหว่างนั้นเธอได้รับสายจากฉันทัช เขาบอกว่าเธอจะพาเธอไปที่หนึ่งหลังจากเลิกงาน
…
งานเลี้ยงเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม หัสดินบอกว่าเขาจะกลับมารับเธอตอนหกโมงครึ่ง ให้เธอเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อม
เรนนี่ซื้อชุดเดรสเว้าสีดำ ซึ่งคล้ายกับชุดที่ยู่ยี่ใส่ครั้งล่าสุด
สิ่งเดียวที่แตกต่างคือ ชุดเดรสยาวสีดำตัวนี้แหวกผ่าจึงถึงต้นขา อีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงโคนขาแล้ว ขาขาวสวยเรียว เซ็กซี่
เธอไม่ชอบที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมาโดยตลอด ตอนเจอกันที่งานเลี้ยงครั้งก่อน ชุดของยู่ยี่ถูกชมอยู่นานมาก มันทำให้เธอไม่พอใจ
เธอสวมชุดเดรสยาวสีดำด้านใน ด้านนอกสวมเสื้อโค้ตขนมิงค์ ไม่ได้แต่งหน้าที่บ้าน แต่ให้คนขับรถพาเธอไปที่ร้านเสริมสวย
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ต่างไปจากทุกครั้ง เธอรู้แจ้งชัดอยู่แก่ใจ
เธอมาถึงร้านเสริมสวยห้าโมงครึ่ง แต่งหน้าและทำผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง เวลาหกโมงครึ่งหัสดินขับรถมารถมาที่หน้าร้านเสริมสวย
เรนนี่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมถูกดัดเป็นลอนใหญ่ปล่อยบนไหล่ของเธอ เนื้อตัวส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
คนขับฝ่าหิมะที่ตกหนักเดินไปที่ประตูหลัง เปิดประตูให้เรนนี่เข้าไปนั่ง โดยมีหัสดินนั่งอยู่ข้างๆ
“หัสดินคะ กระโปรงสั้นไปหน่อย…” เธอเขินเล็กน้อย ไม่ชินกับการดึงกระโปรงยาวบนตัว
หัสดินกำลังตรวจเอกสาร พอได้ยินเธอพูด ถึงจะเลื่อนสายตามองมาทางเธอ
เพียงมองก็พบกับขาเรียวขาวที่เปลือยเปล่าของเธอ เผยให้เห็นถึงความเซ็กซี่อย่างสุดจะพรรณนา ดวงตาของหัสดินก็มืดลงแล้วกลืนน้ำลาย
หัสดินโน้มตัวไปจูบเธอ ร่างกายของเรนนี่นุ่มราวกับน้ำพุที่แนบชิดมาบนตัวเขา “หน้าจะเลอะ…หน้าจะเลอะนะคะ…”
หัสดินยังคงจูบอยู่อย่างไม่สนใจ หลังจากนั้นไม่นานถึงจะผละออก
เรนนี่ตบไหล่เขาเบาๆด้วยความเคือง เธอหยิบกระจกและลิปสติกที่พกติดตัวออกมา เริ่มเติมเครื่องสำอางต่อหน้าเขา
หัสดินเหลือบมองแล้วเช็ดริมฝีปากอย่างหยิ่งผยอง
ณ ในห้องเพรสซิเดนสูท โรงแรมห้าดาว
ฉันทัชนั่งไขว้ขาบนโซฟาสีขาวนำเข้าจากอิตาลีด้วยสีหน้าเย็นชา ยู่ยี่นั่งอยู่ข้างๆเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามคือคุณกรชวัลและคุณหญิงกิริฎาเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงทางธุรกิจครั้งนี้
ไหนเขาบอกว่าเป็นงานเลี้ยงธรรมดา ต้องการคู่ควง แต่ยู่ยี่ไม่คิดว่าจะเป็นงานเลี้ยงแบบนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตา
ฉันทัชกำลังคุยกับกรชวัลด้วยสีหน้าเย็นชา เขาจิบชาบ้างเป็นครั้งคราวด้วยท่วงท่าที่สง่า
ยู่ยี่ก็ดื่มชาและกำลังพูดคุยกับกิริฎา ซึ่งเป็นการพูดคุยกันเพียงเผินๆเท่านั้น เพราะทั้งสองยังไม่สนิทกัน
เพียงแต่ตอนนี้บรรยากาศกลับน่าอึดอัด เมื่อตอนที่เธอกับหัสดินแต่งงานกัน กรชวัลและกิริฎาก็เคยไปมอบของขวัญ
ตอนนั้นเองเลขาเข้ามาบอกว่าแขกทุกคนมาถึงครบแล้ว กรชวัลลุกขึ้นทันที “คุณฉันทัช เชิญครับ”
ฉันทัชลุกขึ้น ขยับริมฝีปากบาง น้ำเสียงทุ้มและเย็นชา เต็มไปด้วยความเหินห่าง “คืนนี้คุณกรชวัลเป็นเจ้าภาพ เชิญก่อนครับ”
กรชวัลยังคงยืนกรานด้วยความเคารพอย่างบอกไม่ถูก “รับไว้ไม่ได้ รับไว้ไม่ได้ครับ คุณฉันทัช ไปด้วยกันเถอะครับ”
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าโดยมียู่ยี่และกิริฎาเดินตามหลังลงบันไดไป พอเดินไปพูดไป เสียงสนทนาที่คุยกันอยู่ก็เบามาก
ขณะไปถึงหน้าบันได ยู่ยี่ก็ตกใจร่างกายแข็งทื่อราวกับหิน สีหน้าแข็งทื่อ ซีดเล็กน้อย
หัสดินควงเรนนี่ ทั่งคู่ยืนอยู่ตรงกลาง มองเพียงแว๊บเดียวก็เห็นได้ทันที
เรนนี่เงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง คาดไม่ถึงว่าจะเจอยู่ยี่ และชายหนุ่มที่เป็นดูผู้ใหญ่สง่าและมีออร่ามาก เธอก็ตกใจเช่นกัน
ทันทีหลังจากนั้น เธอมองหัสดินที่อยู่ข้างๆอัตโนมัต เธอคิดว่าทั้งสองอาจจะได้พบกัน แต่ไม่คิดว่าจะมันเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
สายตาที่ลึกซึ้งของหัสดินมองไปยังยู่ยี่ ราวกับระลอกคลื่น แสงสีดำวิ่งผ่านแววตาราวกับดาวตก แต่ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นยังคงสงบ
ยู่ยี่หลับตาลงเล็กน้อย ตั้งแต่หย่ากันมาสองเดือน เธอกับหัสดินเพิ่งได้เจอกันครั้งแรก
วันนั้นแตกหักกันขนาดนั้น ทำไมวันนี้ต้องถอนหายใจอีก?
เธอเหม่อ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันในคืนนี้โดยไม่รู้ตัวล่วงหน้า
ตัวแข็งทื่ออยู่แบบนั้นไม่ถึงนาที ยู่ยี่ก็กลับมาเป็นปกติ มุมปากประดับด้วยรอยยิ้มที่สง่า สุภาพราวกับว่าไม่เคยเห็นฉันทัชมาก่อน…
เธอเสียเวลาให้กับช่วงวัยรุ่นและความสาวไปเจ็ดปีซึ่งมันก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้เธอกับหัสดินเป็นเพียงคนแปลกหน้า…
เมื่อเจอกันอีกครั้งก็ไม่ใช่คนรู้จัก เป็นคนแปลกหน้าที่เดินผ่านกันไป จะเกลียดเขา ยู่ยี่ก็รู้สึกว่ามันมากเกินจำเป็น เขาไม่มีค่าพอที่จะให้เธอเกลียด
สำหรับเรนนี่ที่อยู่ข้างๆเขา ผู้หญิงแบบนี้แม้แต่หางตาเธอก็ยังไม่เหลือบมอง ไม่คู่ควรทำให้เธอมองเป็นพิเศษ…
ขณะกรชวัลกำลังพูด ฉันทัชก็พาเธอลงบันได หัสดินยืนอยู่ตรงกลาง ส่วนเธอยืนอยู่ที่ขอบด้านข้าง
ดวงตาลึกของฉันทัชหรี่ลงเล็กน้อย กวาดสายตามองผ่านหัสดินอย่างเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ…
เขาเคยบอกไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจอผู้ชายแบบนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าเขาจะมางานเลี้ยงคืนนี้ด้วย