‘เทือกเขาหิมะ’ เป็นขุมกำลังระดับสองในดินแดนทางเหนือซึ่งเป็นรองเพียงแต่ขุมกำลังระดับหนึ่งทั้งสามแห่ง ได้แก่ หุบเขากรุ่นกำยาน นิกายเพลิงแดงเดือดและนิกายอู่ซาน ทั้งสี่เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนทางเหนือของดินแดนเทพมายา
สำนักงานใหญ่ของเทือกเขาหิมะตั้งอยู่ไม่ไกลไปจากทุ่งหิมะทางเหนือแห่งนี้ กล่าวได้ว่าทั่วทั้งอาณาเขตทางเหนือสุดอยู่ในการปกครองของเทือกเขาหิมะ รวมถึงเมืองเหลียวที่ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงพักอยู่ก่อนหน้านี้เช่นกัน เพราะเหตุนั้น เทือกเขาหิมะจึงถือว่าเป็นขุมกำลังที่มีอิทธิพลสูงสุดในทางเหนือสุดของดินแดน
ผู้นำคนปัจจุบันของเทือกเขาหิมะคือซวงเสวี่ย—จอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางและมีพลังที่ไม่ได้อ่อนแอกว่าผู้นำของสามขุมกำลังใหญ่มากนัก เพียงแต่ขุมกำลังของพวกเขามีจำนวนจอมยุทธ์ที่น้อยกว่าและความแข็งแกร่งโดยรวมก็อ่อนแอกว่าเล็กน้อย เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงตกเป็นรองสามขุมกำลังใหญ่ดังกล่าวและกลายเป็นเพียงขุมกำลังระดับสองที่แกร่งกล้าเท่านั้น
ในเทือกเขาหิมะ นอกเหนือจากซวงเสวี่ยก็ยังมีจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนอีกสองคน พวกเขาทั้งสองอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้น และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีพลังที่อยู่ในระดับต้นๆ ทว่าก็มิอาจประมาทพลังของพวกเขาได้เลย
เป็นเพราะมีจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนถึงสามคนนี้เองที่ทำให้เทือกเขาหิมะกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่ทรงอิทธิพลในดินแดนทางเหนือ แม้แต่ขุมกำลังระดับหนึ่งก็ยังต้องเกรงใจพวกเขาอยู่ไม่มากก็น้อย
หลังจากฟังข้อมูลจากเหมาซานและคนอื่น ๆ ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงก็มองหน้ากันและพยักศีรษะเบา ๆ ความแข็งแกร่งของเทือกเขาหิมะถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว ไม่แปลกใจเลยที่คนเหล่านั้นจะทำตัวยโสโอหังยิ่งนัก
“ฉะนั้นหากเราพิชิตเทือกเขาหิมะได้ อย่างน้อยเราก็แข็งแกร่งพอที่จะประจันหน้ากับอีกสามขุมกำลังระดับหนึ่งได้ กอปรกับการที่มีท่านจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าทั้งสอง เราก็น่าจะมีโอกาสพิชิตทั้งดินแดนทางเหนือได้โดยสมบูรณ์”
เหมาซานยิ้มและกล่าวความคิดของเขา หากเป็นก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งแปดคนก็ต้องการแสดงฝีมือและความทะเยอทะยานของตนเองออกมาเช่นกัน ทว่าพวกเขาไม่เคยมีโอกาสมาก่อน บัดนี้เมื่อได้พบและรวมกลุ่มกับฉินอวี้โม่และฉินเฟิงแล้ว เหมาซานเชื่อว่าโอกาสแสดงฝีมือของพวกเขาทั้งแปดมาถึงแล้ว
ดินแดนทางเหนือเป็นที่ที่ซับซ้อนและวุ่นวาย หากพวกเขาสามารถทำให้ทั้งดินแดนผนึกกำลังเป็นปึกแผ่นเดียวกันได้จริง พลังอำนาจของพวกเขาในตอนนั้นก็เพียงพอที่จะประจันหน้ากับขุมกำลังใหญ่ในภูมิภาคกลางได้อย่างแน่นอน แม้แต่อารามโชติช่วงและวิหารทมิฬที่ทรงพลังยิ่งนักก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อพวกเขา
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกเขาล้วนหวังว่าจะพัฒนาฝีมือจนแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนได้ แน่นอนว่าคนทั้งแปดนี้ก็ไม่ได้มีความคิดที่ต่างกัน
“เอาล่ะ นี่คือแผนการของข้า พวกเราจะยึดอำนาจของเทือกเขาหิมะก่อนและใช้มันเป็นฐานที่มั่นเพื่อกำราบขุมกำลังระดับหนึ่งทั้งสามแห่งของดินแดนทางเหนือไปทีละแห่ง เมื่อถึงเวลาที่เราสามารถรวมดินแดนทางเหนือให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน แน่นอนว่าเราก็จะมีพลังอำนาจและอิทธิพลมากพอที่จะรับมือกับขุมกำลังใหญ่ ๆ ของดินแดนเทพมายาได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางพยักศีรษะเบา ๆ ทั้งหมดนี้คือแผนการที่นางกำลังคิดอยู่ นางจะต้องมีขุมกำลังเป็นของตนเองหากนางต้องการที่จะทำให้ดินแดนเทพมายามั่นคงและรับมือกับขุมกำลังที่ทรงพลังต่าง ๆ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในดินแดนทางเหนือนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนาง
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างไม่รู้จักละอายใจจริง ๆ พวกเจ้าคิดว่าจะเอาชนะเทือกเขาหิมะได้ง่าย ๆ งั้นรึ ?”
ทันทีที่สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ น้ำเสียงและวาจาเยาะเย้ยก็ดังขึ้นก่อนที่คนหลายร้อยคนจะปรากฏรอบตัวรายล้อมฉินอวี้โม่ ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ไว้อย่างรวดเร็ว
“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะมาเร็วเช่นนี้”
เมื่อเห็นกลุ่มผู้มาใหม่ เหมาซานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูเหยเกทันที เขาเคยคิดว่าจะมีโอกาสหนีไปก่อน ทว่าไม่คิดเลยว่าคนจากเทือกเขาหิมะจะมาถึงเร็วเช่นนี้
แม้ว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงถือว่าไม่ธรรมดา แต่ทั้งสองก็อาจจะรับมือกับจอมยุทธ์พสุธาเซียนสามคนและคนอีกหลายร้อยชีวิตที่อยู่รอบ ๆ ไม่ได้
“ท่านผู้นำ เป็นคนเหล่านี้เองที่กล่าววาจาสามหาวก่อนหน้านี้และปล้นชิงแหวนมิติของเราไป ท่านต้องจัดการกับพวกเขา !”
ผู้ที่กล่าวออกมานี้คือคนที่ถูกฉินอวี้โม่ยึดแหวนมิติไปก่อนหน้านี้ แววตาที่เขามองฉินอวี้โม่ยังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจและไม่สบอารมณ์
“หากไม่ใช่พวกเจ้าที่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน พวกข้าจะตอบโต้เช่นนั้นได้ยังไงเล่า ? ตอนนี้เจ้าก็หน้าด้านหน้าทนยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าโจรจะร้องตะโกนให้จับผู้บริสุทธิ์ก่อน…”
ทางฝ่ายเหมาซาน สตรีอารมณ์ร้อนคนเดิมกล่าวตอบโต้ออกไปทันที นางมีชื่อว่าฮั่วอู่และลักษณะนิสัยของนางมักจะตรงไปตรงมาอย่างไม่ปิดบัง
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน พวกเจ้าก็ทำร้ายคนของเทือกเขาหิมะและปากคอของเจ้าก็เราะร้ายทีเดียว เห็นทีทั้งหมดนี้คงจะเป็นเรื่องจริง”
ซวงเสวี่ย—ผู้นำเทือกเขาหิมะยิ้มบาง ๆ และกล่าว “ผู้ใดกล้าทำร้ายคนของเทือกเขาหิมะ ผู้นั้นจะต้องชดใช้ ในฐานะผู้นำของเทือกเขาหิมะ ข้าก็มาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนของข้า วันนี้พวกเจ้ากล่าวขอโทษเสียเถอะ เรื่องจะได้ไม่ยืดเยื้อเสียเวลา”
ซวงเสวี่ยดูไม่มีท่าทีรำคาญใจเลยสักนิด ในทางกลับกัน มีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้าของเขาขณะกล่าววาจาซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าถึงได้ไม่ยาก
“อีกอย่าง…น้องชาย เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลอีกจะดีกว่า ตอนนี้ข้ายังอารมณ์ดีอยู่ เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ลดตัวไปทะเลาะกับบุคคลที่ต่ำกว่า ทว่าหากเจ้าได้พบกับคนอื่นที่ไม่ยอมทนกับสิ่งเหล่านี้ล่ะก็ สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นอาจทำให้เจ้าถูกฆ่าได้”
ซวงเสวี่ยกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและมีท่าทางที่อ่อนโยนอย่างมาก ทว่าฉินอวี้โม่มิได้คิดเช่นนั้น
ในฐานะผู้นำของเทือกเขาหิมะ หากเขาอ่อนน้อมถ่อมตนเกินไปก็คงจะถูกขุมกำลังอื่น ๆ ครอบงำไปนานแล้ว การที่เทือกเขาหิมะยืนหยัดมาได้นานหลายปีเช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้นำของมันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้นำซวงเสวี่ย ท่านเก็บความเจ้าเล่ห์ของท่านไว้ก่อนเถอะ ท่านได้ยินสิ่งที่ข้ากล่าวออกไปแล้ว ท่านกล่าวมาเลยจะดีกว่าว่าท่านคิดเห็นอย่างไรกับข้อเสนอของข้า”
ฉินอวี้โม่ไม่ชอบอ้อมค้อมให้เสียเวลา นางจึงกล่าวออกไปพร้อมรอยยิ้ม
ในความจริงนางไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับซวงเสวี่ยด้วยซ้ำ เพราะถึงอย่างไรนางก็ตัดสินใจในแผนการของตนเองไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องหารืออะไรมากมายอีก
“ฮ่า ๆ ๆ ข้อเสนอของเจ้าถือว่าดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เจ้ายึดอำนาจของเราได้ เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรว่าจะสามารถรับมือกับขุมกำลังระดับหนึ่งทั้งสามแห่งได้จริง ? แม้แต่ข้าที่พยายามอย่างหนักมานานหลายปีก็ยังคงมีความหวาดหวั่นต่อทั้งสามขุมกำลังนั่น พลังอำนาจโดยรวมของพวกเขายังเหนือกว่าเทือกเขาหิมะของเรามากนัก”
ซวงเสวี่ยยิ้มเย็นและไม่รีบร้อนเริ่มต้นการต่อสู้ วาจาของเขาก็ไม่ได้เป็นการดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยกลุ่มของฉินอวี้โม่
“ผู้นำซวงเสวี่ย ถ้าอย่างนั้นเราก็มาเดิมพันกันเถอะ หากข้าเอาชนะท่านได้ ท่านและเทือกเขาหิมะจะต้องยอมจำนนต่อข้า ท่านอยู่ที่ดินแดนทางเหนือแห่งนี้มานาน ข้าเชื่อว่าท่านก็ต้องมีความทะเยอทะยานพอสมควร… ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของท่านและเทือกเขาหิมะคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะเผชิญหน้ากับขุมกำลังระดับหนึ่งได้ นี่ยังไม่รวมถึงการผนึกกำลังของทั้งดินแดนทางเหนือที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มตอบเช่นกัน นางมองเห็นความปรารถนาและความไม่เต็มใจปรากฏในแววตาของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามออกไป
ท่าทางของผู้นำซวงเสวี่ยก็ดูเหมือนจะสนใจในคำพูดของฉินอวี้โม่เช่นกัน เพียงแต่ไม่รีบร้อนตอบกลับก็เท่านั้น
“ตลกสิ้นดี ! นี่คือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมะ เป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่ง เหตุใดเขาจะต้องลดตัวไปรับคำท้ากับเจ้าด้วย ? ก่อนหน้านี้พวกเจ้าดูหมิ่นเทือกเขาหิมะและพวกเจ้าจะต้องชดใช้”
คนจากฝ่ายเทือกเขาหิมะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว เทือกเขาหิมะของพวกเขามีพลังอำนาจที่ใกล้เคียงกับขุมกำลังระดับหนึ่ง แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีพลังพอสมควร ทว่าสุดท้ายก็ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบและไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะท้าดวลกับผู้นำของพวกเขา
“หนวกหู !”
ฉินเฟิงชำเลืองมองบุรุษคนนั้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนอีกฝ่ายก้าวถอยหลังเล็กน้อยและไม่กล้าเอ่ยพูดสิ่งใด
“ว่าอย่างไร ? ผู้นำซวงเสวี่ย ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและมองสีหน้าใช้ความคิดของซวงเสวี่ยก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ บอกอายุของเจ้ามาก่อน แล้วข้าจะพิจารณาว่าจะยอมรับการเดิมพันรึไม่”
ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่เขาใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์เป็นอย่างดี บุรุษตรงหน้าเขาเมื่อครู่กล่าวถูกทุกประการ ตัวเขาฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์มานานหลายปี ทว่าพลังความแข็งแกร่งก็ยังด้อยกว่าขุมกำลังระดับหนึ่ง การที่คิดจะต่อกรหรือเอาชนะพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในเวลาเพียงสั้น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนทางเหนือก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างแท้จริง หากเขาไม่มีความคิดอื่นใดมันก็คงเป็นไปไม่ได้ ซวงเสวี่ยไม่ใช่คนหัวแข็งดื้อรั้น หากเขาได้พบจอมยุทธ์ที่คู่ควรแก่การยอมจำนน เขาก็ไม่อายที่จะต้องกลายเป็นลูกน้อง
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าซวงเสวี่ยในตอนนี้ถือว่าไม่ได้อ่อนแอเลย อีกทั้งยังมีความใจเย็นและสีหน้าราบเรียบไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใด หากว่าสามารถเอาชนะเขาได้ทั้ง ๆ ที่ยังมีอายุที่น้อย ‘เขาผู้นี้’ ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ หากเป็นเช่นนั้นจริง การได้ติดตามและจำนนต่อผู้แกร่งกล้าเช่นนั้น เขาเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะกลายเป็นขุมกำลังที่แกร่งกล้าในดินแดนเทพมายาอย่างแน่นอนและอาจสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดน นั่นคือสาเหตุที่ซวงเสวี่ยเอ่ยถามออกไป
“ท่านก็มีหินตรวจสอบอยู่ไม่ใช่รึ ? หากท่านอยากรู้นักก็เชิญตรวจสอบดูด้วยตัวเอง”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มราบเรียบและไม่กังวลเรื่องใด
อย่างไรก็ตาม การกระทำของซวงเสวี่ยทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประทับใจในตัวเขา ถึงอย่างไรแล้วหากว่าซวงเสวี่ยตรวจสอบอายุของนางอย่างลับ ๆ นางก็คงไม่คัดค้านใด ๆ ทว่าการที่ซวงเสวี่ยเอ่ยถามอย่างเปิดเผยเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนสุภาพยิ่งนัก
เมื่อได้ยินวาจาของ ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้า ซวงเสวี่ยก็ยิ้มบาง ๆ และยื่นหินตรวจสอบออกไปเพื่อจับภาพร่างของฉินอวี้โม่
22 ปี จากนั้นบนหินตรวจสอบก็ได้แสดงให้เห็นว่าอายุจริงของฉินอวี้โม่คือยี่สิบสองปี ซวงเสวี่ยถึงกับชะงักค้างไปทันที
ไม่คิดเลยว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าจะยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้ว่าฉินอวี้โม่คงจะมีอายุไม่ถึงหนึ่งร้อยปี เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะมีอายุน้อยเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ๆ น่าอัศจรรย์จริง ๆ ในเมื่อเจ้าทำตามส่วนของเจ้า ข้าก็จะตอบรับการเดิมพัน อย่างไรก็ตาม ข้าก็มีเงื่อนไขบางอย่าง มิฉะนั้นถ้าข้าแพ้ไป ทั้งเทือกเขาหิมะจะตกเป็นของเจ้าไปโดยปริยาย แต่ถ้าข้าชนะ…เจ้าไม่มีอะไรที่จะต้องเสีย ข้าจะไม่เสียเปรียบเกินไปหน่อยรึ ?”
ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะเดินไปตรงหน้าฉินอวี้โม่ ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ เขามองตาฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสนใจและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
“หากท่านชนะ ข้าจะพากลุ่มของข้าทั้งหมดเข้าร่วมกับเทือกเขาหิมะ ด้วยข้อต่อรองนี้ ข้าเชื่อว่าท่านผู้นำซวงเสวี่ยคงจะไม่รู้สึกเสียเปรียบ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวตอบ นางมั่นใจว่าจะไม่มีทางแพ้ และการเดิมพันนี้มิใช่สิ่งสำคัญด้วยซ้ำ นางและอีกเก้าคนแข็งแกร่งพอสมควร หากพ่ายแพ้และต้องเข้าร่วมกับเทือกเขาหิมะ ความแข็งแกร่งโดยรวมของเทือกเขาหิมะจะเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นนางจึงเชื่อว่าซวงเสวี่ยจะไม่ยอมพลาดการเดิมพันนี้
“ตกลงตามนี้ !”
เป็นจริงดังที่คิด ซวงเสวี่ยพิจารณาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนพยักศีรษะตอบตกลง ตอนนี้เขาชักจะสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วว่า ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ ?
.