สุสานหมู่ โดย Ink Stone_Fantasy
ติดตามนักพรตเต๋าท่องยุทธภพตั้งแต่ยังเด็ก แม้นั่นจะบ่มเพาะให้เยี่ยเทียนมีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็มีลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของชาวยุทธภพด้วยเช่นกัน นั่นคือหากมีแค้นย่อมต้องชำระ!
ในวิถีชีวิตหมอดูฮวงจุ้ยนับแต่สมัยโบราณ ล้วนค่อนข้างปกปิดความสัมพันธ์ คลุกคลีกับคนทั่วไปค่อนข้างน้อย ด้วยเหตุนี้จึงมักมีนิสัยสุดโต่ง
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น หลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนเองก็มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นมาแต่ไหนแต่ไร คนที่ทำร้ายเขา ล้วนต้องพบจุดจบอย่างอ้างว้าง เช่นเดียวกับสำนักชวนจงเจียง ที่ถูกหลี่ซั่นหยวนในวัยเยาว์สังหารจนสิ้น
เมื่อถึงวัยชรา หลี่ซั่นหยวนได้ศึกษาตำรานักพรต อุปนิสัยจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้พอเยี่ยเทียนอายุสิบปีจึงพาเขาไปท่องในยุทธภพ ด้วยไม่อยากให้เยี่ยเทียนเจริญรอยตามความผิดพลาดของเขาในช่วงวัยรุ่น จนกลายเป็นคนมีนิสัยก้าวร้าวรุนแรง
แต่ว่าสถานะของหมอดูฮวงจุ้ยในยุทธภพ แต่ไหนแต่ไรล้วนอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ น้อยนักจะมีคนกล้ามาก่อความวุ่นวาย ทว่าต่อให้เป็นคนในสายงานเดียวกัน หากมีบุญคุณความแค้นเกี่ยวพัน ก็จะรบรากันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง
เยี่ยเทียนออกบวชเมื่ออายุสิบขวบ หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยพบคนในแวดวงเดียวกัน ปัจจุบันเมื่อพบเข้า กลับเป็นวิชามารทำร้ายคน และที่ทำให้เยี่ยเทียนขุ่นเคืองยิ่งไปกว่านั้น คือคนที่ได้รับบาดเจ็บกลับเป็นตัวเขาเอง!
“พี่ครับ ถึงแล้ว จอดตรงนี้เลย” ตอนรถเข้ามาถึงประตูใหญ่โรงพยาบาลเฉาหยาง เยี่ยเทียนก็ส่งเงินสิบหยวนให้แก่คนขับรถ ผลักประตูรถแล้วเดินลงมา
ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว โรงพยาบาลที่คึกคักในเวลากลางวัน ปัจจุบันได้เงียบสงบลง กระทั่งพ่อค้าแม่ค้าร้านเล็กๆ ที่ขายดอกไม้และผลไม้อยู่ตรงประตูยังหายไปไม่มีให้เห็น ให้ความรู้สึกเยือกเย็นเงียบสงัดราวกับป่าช้า
พลังหยินร้ายในโลกนี้แบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือหยินร้ายที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติระหว่างฟ้าดิน พลังหยินร้ายประเภทนี้ถึงแม้มีอันตรายต่อคน แต่หากพลังร้ายนั้นไม่เข้มข้น โดยทั่วไปจะไม่อาจทำร้ายคนได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
และนอกจากพลังชั่วร้ายประเภทนี้ ยังมีชนิดที่ก่อตัวขึ้นหลังจากมนุษย์ตายลง ชาวตะวันออกเรียกว่าภูตผี แต่ชาวตะวันตกกลับเรียกว่าจิตวิญญาณ ทว่าปรากฎการณ์เช่นนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ยังคงมีการโต้เถียงด้านวิชาการอย่างกว้างขวางพอสมควร
คนที่คิดว่าไม่มีวิญญาณไร้ซึ่งข้อพิสูจน์มายืนยัน ส่วนคนที่คิดว่ามีวิญญาณอยู่บนโลก ก็ไม่มีพยานหลักฐานเช่นเดียวกัน เพราะเหตุนั้นจึงถกเถียงกันไม่หยุดเป็นเวลาหลายสิบปี ชนิดที่ใครก็ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่าย
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า หลังจากคนตายไปแล้ว ย่อมมีพลังชั่วร้ายแผ่ออกจากร่างมาอย่างแน่นอน แต่พลังร้ายที่อยู่บนตัวประเภทนี้ ปราศจากความนึกคิดใดๆ
เช่นเดียวกับที่มีคนพูดว่าเห็นคนเพิ่งตายในชนบทอยู่บ่อยครั้ง ความจริงเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากพลังร้ายของคนตายจนเกิดภาพหลอน ไม่ใช่วิญญาณจริงๆ
หากอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ พลังร้ายจากคนตายเหล่านี้จะสลายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าพลังเหล่านี้กักเก็บอยู่ในสถานที่มืดครึ้มหนาวเย็นตลอดเวลา กลับสามารถสมานตัวได้เป็นเวลายาวนาน แล้วยังหลอมรวมซึ่งกันและกันได้ และสถานที่อันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ง่ายที่สุด ย่อมไม่มีที่อื่นนอกจากโรงพยาบาล
อาจมีผู้อ่านหลายคนรู้สึกขนหัวลุกอยู่พักหนึ่งตอนผ่านประตูทางเข้าโรงพยาบาลเวลากลางคืน ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ตัวเองจากในมุมมืดของโรงพยาบาล จนต้องเพิ่มความเร็วฝีเท้า
ความจริงแล้วนั่นเกิดจากพลังหยินร้ายภายในโรงพยาบาล แสงแดดในตอนกลางวัน จะสกัดกั้นพลังร้ายเอาไว้ แต่พอถึงตอนกลางคืน พลังหยินร้ายเหล่านั้นจะล่องลอยออกมา
เรื่องเล่าที่ว่าเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ นั้นเป็นเพียงเพราะคนจิตอ่อนได้รับพลังหยินร้ายเข้าไปจนเกิดภาพลวงตา แค่ผู้คนอยากเชื่อเรื่องผี จึงไปดูพวกภาพยนตร์ผีเพื่อกระตุ้นประสาทตัวเอง
โรงพยาบาลเฉาหยางตั้งอยู่บนถนนเฉาหยางเหนือ ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลเขตเฉาหยาง ห่างจากซานหลี่ถุนไม่ไกลนัก แม้คนเดินถนนจะมีไม่มาก แต่รถที่วิ่งไปมากลับหนาแน่นทีเดียว
หลังจากลงรถแท็กซี่ เยี่ยเทียนก็ยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาโต้ตอบพลังหยินหยางของเขาเหนือชั้นกว่าคนธรรมดา ไม่ต้องเข้าไปในโรงพยาบาล ก็สามารถสัมผัสถึงพลังร้ายอันหนาวเหน็บได้
เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากอาศัยพลังร้ายภายในโรงพยาบาลจัดวางค่ายกลนับว่าพอเป็นไปได้ แต่พี่ชายบอกว่าเขาอยู่ในตรอกด้านหลังโรงพยาบาลนี่นา? ช่างเถอะ ไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
หลังจากยืนอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลสักพัก เยี่ยเทียนก็เดินตรงไป ลัดเลาะตามกำแพงที่ล้อมรอบโรงพยาบาล แล้วเข้าไปในซอยเล็กซอยหนึ่ง
ฝั่งตรงข้ามรั้วเป็นบ้านเรือนเก่าแก่ ตรงกลางซอยมีลักษณะแคบมาก คนเดินมากสุดได้แค่สามคน หากเป็นคนขวัญอ่อน ในช่วงตอนกลางคืนคงไม่กล้าเดินจากจุดนี้ ยิ่งหลังจากเกิดคดีฆาตกรรมเมื่อวานแล้วยิ่งไม่เห็นคนเดินถนนแม้แต่คนเดียว
ตอนเยี่ยเทียนหันกลับไปทางด้านหลังโรงพยาบาล ก็ออกจากซอยมาแล้ว ที่นี่เป็นชุมชนเล็กชุมชนหนึ่ง ข้างถนนมีไฟตามถนนส่องสว่าง ด้านหน้าของเยี่ยเทียน มีลานบาสเกตบอลที่ไม่ใหญ่นักอยู่หนึ่งลาน
“หือ? เกิดอะไรขึ้น?”
แม้ตรงนั้นจะสว่างกว่าในซอยมาก แต่ทันทีที่ออกมาจากซอย หนังศีรษะของเยี่ยเทียนกลับรู้สึกชาวูบ ขนลุกขึ้นมาทั้งตัว พลังชีวิตภายในร่างปั่นป่วน ราวกับจะพุ่งออกมาจากร่างกาย!
ภายใต้ความรู้สึกแปลกประหลาด เยี่ยเทียนรีบควบคุมพลังชีวิตของตัวเอง หลังจากรวบรวมพลังชีวิตที่กระจัดกระจายออกมากลับเข้าสู่ร่างอย่างยากลำบากแล้ว จึงได้จ้องมองไปยังข้างหน้า ทันทีที่ได้เห็น ก็อดสูดหายใจอย่างตกตะลึงไม่ได้
เยี่ยเทียนพบว่า สถานที่ถัดจากลานบาสเกตบอลที่ตนเองยืนอยู่ห่างออกไปสามเมตรมีพลังหยินตลบอบอวลไปทั่ว กระถางดอกไม้ในลานบาสเกตบอลที่อยู่ใกล้ตำแหน่งของตน ยังร่วงโรยจนแทบจะตายกันหมด
กระถางดอกไม้ทางด้านขวา มีเส้นเตือนเขตห้ามเข้าสีเหลืองเส้นหนึ่งขึงเอาไว้ เยี่ยเทียนรู้ว่าที่นี่คงจะเป็นสถานที่เกิดคดีโหดเมื่อวานนี้ ทว่าศพถูกเคลื่อนย้ายไปนานแล้ว บนพื้นยังคงมีคราบสีดำจากกองเลือด
นอกจากไฟบนถนนที่อยู่ห่างไปสิบกว่าเมตร ยังมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งกินลมชมวิว แต่จุดที่เยี่ยเทียนยืนอยู่ ไม่มีคนเลยสักคนเดียว กระทั่งเวลามีคนเดินผ่านมาบ้างสักสองสามคน ยังจงใจเดินบนขอบทาง
“ที่……ที่นี่คือพื้นที่หยินตามธรรมชาติ แล้ว ยัง……ยังเป็นที่เกิดเรื่องวันก่อนอีก”
พอสัมผัสถึงพลังหยินร้ายหนาวเหน็บอันเข้มข้น เยี่ยเทียนก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ พลังหยินที่นี่หนาแน่นจนแทบถึงแก่น ทั้งยังเข้มข้นกว่าแม้ในสุสานศพไร้ญาติที่เยี่ยเทียนเคยนอนหลายเท่า
“ไม่ใช่ นี่คือพลังร้ายหลังจากคนตาย!”
วิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ได้คำตอบออกมา แต่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าตกตะลึง พื้นที่โดยรอบกว่าหลายสิบเมตรนี้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย จะต้องมีคนตายมากเท่าไหร่ถึงรวบรวมพลังร้ายรุนแรงได้ขนาดนี้?
“สุสานหมู่?!”
สายตามองไปยังพื้นที่ด้านหน้าซึ่งถูกพลังชั่วร้ายปกคลุม เยี่ยเทียนถึงกับหนาวสะท้าน ในสมองผุดคำหนึ่งขึ้นมา หากว่าเขาเดาไม่ผิด น่ากลัวว่าใต้พื้นที่ตรงนี้ลงไปสามฉือ(ราวสามฟุต) จะเป็นที่ซ่อนโครงกระดูกคนตายจำนวนนับไม่ถ้วน
พื้นที่อย่างนี้ หากไม่นำโครงกระดูกทั้งหมดที่อยู่ใต้ดินออกมา พลังหยินคงไม่อาจสูญสลายไป คนที่ร่างกายอ่อนแอเมื่อผ่านมาตรงนี้ ไม่แน่ว่าอาจเกิดภาพหลอนจนกำเนิดเรื่องเล่าว่าเห็นผี!
ต่อให้เป็นเยี่ยเทียน ยืนอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานยังทนไม่ค่อยได้ หลังครุ่นคิดอยู่สักพัก เยี่ยเทียนก็เดินเลาะตามไฟที่อยู่ริมถนนไกลออกไป
ทันทีที่ออกห่างจากพลังชั่วร้ายเหล่านั้น ความอบอุ่นก็กลับเข้าสู่ร่างกายของเยี่ยเทียนอีกครั้ง ระยะทางแสนใกล้แต่รู้สึกไกลราวขอบฟ้า แต่ละย่างก้าวส่งผลให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนน้ำแข็งปะทะเข้ากับไฟ
ผู้คนที่กำลังเล่นไพ่อยู่ใต้แสงไฟริมถนนเหล่านั้น แทบไม่ได้รับผลกระทบจากพลังร้ายในระยะไกลเลย เช่นเดียวกับในคืนฤดูร้อนรอบเมืองซื่อจิ่วเฉิง ข้างกายของแต่ละคนจะมีเบียร์และแตงโมวางไว้อยู่บนก้อนอิฐ ต่างตะโกนโห่ร้องอย่างมีชีวิตชีวา
เยี่ยเทียนพูดด้วยสำเนียงปักกิ่ง นั่งตรงขอบริมถนนเฝ้าสังเกตการณ์ไพ่ไปด้วย ส่งเสียงชื่นชมไพ่ดีออกมาเป็นระยะ จึงตีเนียนเข้ากลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย
“พี่ชาย…ได้ยินว่าเมื่อวานมีคนตายที่ตรงนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” เยี่ยเทียนแสร้งทำท่าตามสบาย เอ่ยปากถามชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างตัว
ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังเล่นไพ่พอได้ยินคำพูดของเยียเทียนแล้ว ก็เหลือบตามองไปยังพื้นที่ไกลออกไป แล้วดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว พูดพลางกดน้ำเสียงต่ำว่า “ฆาตกรรมน่ะ ว่ากันว่าถูกกัดตาย แต่ฉันว่าต้องถูกผีรัดจนขาดใจตายอย่างแน่นอน ทุกปีที่นั่นจะต้องมีคนตายสักสองสามคน”
“มันเป็นที่อะไรกันครับ? เป็นผีร้ายจากโรงพยาบาลออกมารัดตัวคนใช่ไหม” เยี่ยเทียนทำท่าสงสัย
“เกี่ยวอะไรกับโรงพยาบาลล่ะ น้องชายไม่ใช่คนที่นี่ล่ะสิท่า?” ชายวัยกลางคนเอียงคอมองมายังเยี่ยเทียน
“ปู่ของผมอาศัยอยู่ที่นี่ครับ เพิ่งมาได้ไม่นาน ได้ยินว่ามีคนตายที่นั่น เลยมาดูเหตุการณ์…”
“มิน่าล่ะเธอถึงไม่รู้ กลับไปถามปู่ของเธอต้องรู้แน่นอน ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นโรงงานของชาวญี่ปุ่น ได้ยินมาว่าฆ่าคนตายไปไม่น้อยเลย ตอนกลางคืนจะมีผีญี่ปุ่นเร่ร่อนไปทั่ว ไม่มีใครกล้าเดินไปแถวนั้นหรอก!”
หลังจากคนด้านข้างได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน ก็พูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “เหล่าสวี่ พูดถึงเรื่องนี้ทำไม ฉันขนลุกไปหมดแล้ว”
“ได้ ไม่พูดก็ได้ พวกเราเล่นไพ่กันต่อเถอะ ต้าหวัง!” ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ไม่อยากพูดอะไรมากเช่นกัน หันศีรษะกลับไป ไม่สนใจเยี่ยเทียนอีก
“ดูเหมือนเราจะทายไม่ผิด ใต้ดินนี้ต้องเป็นสุสานหมู่แน่นอน!” เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เดินกลับไปทางนั้นอีกครั้ง
เดิมทีศาสนาพุทธว่าด้วยเรื่องเหตุและผล ส่วนลัทธิเต๋าว่าด้วยชะตากรรม เยี่ยเทียนไม่ใช่พระพุทธรูป ทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเข้าไปยุ่ง แต่เรื่องนี้กลับเกี่ยวพันกับเขา เยี่ยเทียนจึงไม่ยุ่งไม่ได้
พอเข้าสู่พื้นที่มีสิ่งชั่วร้ายคราวนี้ เยี่ยเทียนกลับใช้วิชา พลังร้ายอันมืดมัวที่คนธรรมดามองไม่เห็นนั่น ปรากฎสู่สายตาของเขาในทันใด
และร่างของเยี่ยเทียน ก็ค่อยๆ จางหาย ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งชั่วร้ายในพื้นที่นี้ หากมองจากที่ไกล แทบจะมองไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยเทียน
“เฮ้ เหล่าสวี่ คนเมื่อกี้ล่ะ?” ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนค่อยๆ หายไปท่ามกลางพลังชั่วร้ายนั้นเอง คนหนึ่งที่มีเศษกระดาษติดปากอยู่หันไปถามชายวัยกลางคน
เหล่าสวี่ชี้ไปยังทิศทางที่เยี่ยเทียนเพิ่งจากไป ยิ้มตอบว่า“คงเดินไปทางด้านนั้นล่ะมั้ง วัยรุ่นใจกล้าอยากรู้อยากลอง สงสัยอยากไปดูสถานที่ฆาตกรรม กลัวแต่คืนนี้เขาจะกลับไปนอนฝันร้ายแหละ!”
“เอ๋ ไม่จริงน่ะ หายไปไหนแล้ว?” สิ้นเสียงของเหล่าสวี่ ก็พบว่าเยี่ยเทียนหายไปไม่เห็นตัวแล้ว อดจ้องตากับสองสามคนที่ประจันหน้ากันอยู่ไม่ได้
“ผี! ผีนี่หว่า !!!”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนจากไปจนไม่เห็นตัว เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที และสถานที่ตรงนั้นเป็นที่โล่งกว้าง อย่างไรก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้ ผู้ชายไม่กี่คนซึ่งกำลังเล่นไพ่อยู่นั้นรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันใด หลังจากมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ต่างก็วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง