บทที่ 523 ขอร้อง

บัลลังก์พญาหงส์

นานแล้วที่ไม่ได้พบหน้าเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ในวันนี้มาขอพบกะทันหัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกไม่คุ้นชินกันทันที 

 

 

 

 

 

พูดถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ก็เป็นที่งานศพของเหิงกั๋วโหวฮูหยินชรา ตอนนั้นนางเพิ่งหายป่วยได้ไม่นาน ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นไป เหิงกั๋วโหวก็หมดสิทธิ์กุมอำนาจเพ่ยหยางโหวไปโดยสิ้นเชิง 

 

 

 

 

 

เป็นเพ่ยหยางโหวฮูหยินที่มีปฏิกิริยาก่อน “ทำไมถึงมาเวลานี้เล่า? มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

 

 

 

“เรื่องที่กลองแจ้งข่าวถูกตีนั้นคิดว่าท่านแม่คงจะทราบแล้ว” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ยกชาขึ้นจิบเพื่อทำให้คอชุ่มชื้นขึ้น จากนั้นก็พูดจุดประสงค์ที่ตนเองมาในวันนี้ “ที่จริงแล้ววันนี้ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

“ช่วยอย่างนั้นหรือ?” เพ่ยหยางโหวฮูหยินย่อมมึนงงไม่รู้เรื่องราว “เกี่ยวกับกลองแจ้งข่าวถูกตีอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเรื่องนี้ข้าจะช่วยได้อย่างไร?” หยุดไปครู่หนึ่งเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ตกใจจนหน้าถอดสี รีบถามว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง” 

 

 

 

 

 

มองดูท่าทีตื่นตกใจจนหน้าถอดสีของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ถาวจวินหลันก็ส่ายหน้าไปมา “ไม่เกี่ยวข้องกับข้านักเจ้าค่ะ แต่เกี่ยวข้องกับจวนอ๋อง และเกี่ยวข้องกับประชาชนในแคว้นนี้เจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

เพราะว่าเรื่องนี้ไม่สะดวกพูดละเอียดเกินไป อีกทั้งไม่มีเวลามาพูดโดยละเอียด ดังนั้นถาวจวินหลันจึงพูดอย่างกระชับรัดกุมได้ใจความ “วันนี้คนที่ไปตีกลองแจ้งข่าว เพื่อที่จะเปิดโปงขุนนางทุจริต ข้าราชการปกป้องกันเอง เงินที่ใช้ในการบรรเทาทุกข์เหล่านั้นถูกริบเอาไว้เป็นของส่วนบุคคล ในตอนนี้ประชาชนไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปได้ ดังนั้นถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

“นี่เป็นเรื่องดี เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เพ่ยหยางโหวฮูหยินยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปาก “พระชายาองค์รัชทายาทออกไปสังเกตการณ์ ในตอนนี้ฎีกาจะต้องอยู่ระหว่างทางเป็นแน่เจ้าค่ะ ที่น่าบังเอิญก็คือในบรรดาขุนนางที่ริบเงินเป็นของตนเองนั้นเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ดีกับองค์รัชทายาท ข้าเดาว่าองค์รัชทายาทจะต้องไม่รายงานตามความเป็นจริงแน่นอน ต่จะต้องช่วยปิดบังเอาไวเจ้าค่ะ หาดฎีกาไปถึงมือฮ่องเต้ได้ด้วยเนื้อหาเดิม คิดว่าองค์รัชทายาทจะต้องถูกกล่าวโทษแน่นอนเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินนิ่งอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน “เจ้ากลัวว่าฮองเฮาคิดจะช่วยองค์รัชทายาทปิดบังเรื่องนี้ ดังนั้นจึงแก้ไขฎีกา ปิดบังเรื่องนี้แทนองค์รัชทายาท” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ท่านเข้าใจความคิดฮองเฮามากกว่าข้าเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

“จากพฤติกรรมของฮองเฮาแล้ว เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน หากข้าเดาไม่ผิดเกรงว่าฮองเฮาจะต้องส่งคนเดินทางไปแล้วแน่นอน ไปดักเอาฎีกามา” เพ่ยหยางโหวฮูหยินขมวดคิ้วพูดด้วยความกังวลเล็กน้อย “ต่อให้ตามไป ก็ใช่ว่าจะตามไปทัน” 

 

 

 

 

 

“ไม่เร็วขนาดนั้นเป็นแน่เจ้าค่ะ” ถาวจวินหลันส่ายหน้า จากนั้นก็พูดว่า “อีกอย่างข้าก็ให้คนจับตาดูสถานการณ์เอาไว้ ตอนนี้ต้องอข่งกับเวลาเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ขอเพียงแค่ขัดขวางคนของฮองเฮาได้เท่านั้น ต่อให้พวกเราไม่รู้เนื้อหาของฎีกา ข้าเองก็ยินยอมสู้สักตั้งเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

“เจ้าอยากให้พวกเราไปไล่ตามอย่างนั้นหรือ” เพ่ยหยางโหวฮูหยินเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน 

 

 

 

 

 

“เจ้าค่ะ ข้าอยากให้พวกพี่ชายออกโรงด้วยตนเอง แบ่งออกไปหลายสาย จะต้องขวางคนของฮองเฮาได้แน่ และต้องรักษาฎีกานั้นแล้วส่งไปถึงมือฮ่องเต้ในแบบเดิมโดยไม่มีการแกะเจ้าค่ะ” ถาวจวินหลันลุกขึ้นมา ค้อมหัวให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินอย่างจริงใจ “เรื่องนี้อันตรายนัก แต่ข้าไม่อาจหาคนอื่นที่ไหว้วานได้แล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งคนอื่นก็ไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ดังนั้นข้าจึงทำได้แค่แบกหน้ามาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ขอให้ท่านแม่ช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินมองถาวจวินหลัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจ “อันตรายอย่างเจ้าว่า ไม่ต้องพูดถึงระหว่างทาง เกรงว่าฮ่องเต้รู้เรื่องนี้เข้า คงจะต้องลงมือกับฮองเฮาอย่างไร้ความปรานี นี่ไม่ได้อันตรายกับแค่พี่ชายของเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งอันตรายต่อจวนเพ่ยพยางโหว” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันไม่ได้ลุกขึ้น ฟังคำพูดนี้แล้วก็ไม่ได้พูดค้านอะไร เพียงแค่รออยู่นิ่งๆ 

 

 

 

 

 

“เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ข้าไม่กล้ารับปากเจ้า เอาอย่างนี้ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านโหว ถ้าเขายอมก็ถือว่าดีไป ถ้าหากเขาไม่ยอมข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” สุดท้ายแล้วเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ตอบนางเช่นนี้ พูดตามจริงแล้ว คำตอบเช่นนี้ไม่หนักแน่น แต่ก็ถือเป็นวิธีที่รอบคอบและมั่นคงที่สุด 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจบังคับเพ่ยหยางโหวให้รับปากเรื่องนี้ได้ แม้ว่าจะผิดหวังและร้อนรน แต่นางก็ทำได้แค่อดทนเอาไว้ หันไปทำความเคารพเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่หรืออย่างไร? 

 

 

 

 

 

ที่จริงแล้วนางมั่นใจอยู่แปดส่วน คิดว่าเพ่ยหยางโหวต้องไม่ปฏิเสธ จะต้องรู้ว่าพวกเขายืนอยู่บนเส้นเดียวกันตั้งแต่แรก ไม่ช่วยจวนตวนชินอ๋องแล้วจะไปช่วยฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ จวนเพ่ยหยางโหวฉีกความสัมพันธ์กับฮองเฮาไปแล้ว แม้ว่าจะกลับมาคืนดีกันก็ยังคงมีรอยร้าวอยู่ แต่ทั้งสองคนต้องยังตะขิดตะขวงใจกันอยู่แน่นอน 

 

 

 

 

 

และฮองเฮาก็ไม่ได้มองจวนเพ่ยหยางโหวอยู่ในสายตาอยู่แล้ว เห็นเป็นเพียงสุนัขข้างทางตัวหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าจวนเพ่ยหยางโหวจะกลับไปร่วมมือกับฮองเฮาอีกครั้ง อนาคตจะมีจุดจบเช่นไรก็ยังไม่รู้ 

 

 

 

 

 

แต่หากร่วมมือกับหลี่เย่ ในอนาคตเมื่อหลี่เย่ครองบัลลังก์ นั่นก็ถือว่าเป็นผลงานอันใหญ่หลวง บวกกับความสัมพันธ์ของนางและจวนเพ่ยหยางโหว เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดเยอะ ก็จะต้องได้รับความโปรดปรานอยู่บ้าง 

 

 

 

 

 

ในความเป็นจริงแล้วนางให้ผลประโยชน์กับจวนเพ่ยหยางโหวเหมือนที่ทำกับองค์หญิงแปดได้ แต่ทำเช่นนั้น อย่างแรกก็ดูเหมือนว่ามีประโยชน์มากเกินไป อีกทั้ง นางเองก็ทำไม่ได้ จวนเพ่ยหยางโหวอยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น สิ่งที่นางสามารถสัญญาได้นั้นน้อย เปลี่ยนคำพูดก็คือตอนนี้แม้ว่าคำสัญญาจะเป็นเพียงแค่ความคิดลอยๆ เพื่อปลอบใจเท่านั้น มีความหมายเหมือนหลอกลวงคนอยู่บ้าง แต่จะปล่อยให้จวนเพ่ยหยางโหวคิดจินตนาการมากจนเกินไปนั้น ก็ไม่งามเป็นอย่างมาก 

 

 

 

 

 

ดังนั้นไม่สู้มาร้องขอความช่วยเหลือจากฝ่ายตรงข้ามด้วยความจริงใจ นางมาด้วยตนเองก็เพราะสิ่งนี้ มิเช่นนั้นนางให้คนมาถ่ายทอดคำพูดก็ได้เช่นเดียวกัน 

 

 

 

 

 

ออกมาจากจวนเพ่ยหยางโหว ถาวจวินหลันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ก่อนถอนหายใจ อากาศกำลังจะเปลี่ยนแล้วจริงๆ 

 

 

 

 

 

อย่างที่คิดเอาไว้ ยังไม่ทันถึงจวนท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะตกลงมา ปุยหิมะขาว บางเบาดั่งขนห่าน ล่องลอยไปทั่วจนบดบังสายตาของคนไปมาก พอถาวจวินหลันกลับมาถึงจวนแล้ว หลังคาของรถม้าก็มีหิมะปกคลุมไปแล้วชั้นหนึ่ง 

 

 

 

 

 

นางถอนหายใจ คิดได้ว่าประชาชนเหล่านั้นจะต้องยิ่งลำบากมากขึ้น จึงอดสงสารไม่ได้ ต่อให้นางยอมรายงานเรื่องนี้ไปตั้งแต่ตอนนั้น ประชาชนเหล่าก็อาจยังไม่ได้แก้ไขสถานการณ์อยู่ดี แต่นางก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี 

 

 

 

 

 

คิดไปมา นางก็หันไปสั่งคนดูแลจวนว่า “ไป เตรียมรถม้าคันเล็กที่ไม่ดึงดูดความสนใจมา ข้าจะไปบ้านส่วนตัวขององค์หญิงเก้าเพื่อเจอคนผู้หนึ่ง“ 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าอย่างไรนางคิดว่าการที่ไปที่นั่นครั้งหนึ่ง ในใจของนางจะรู้สึกดีขึ้นมา ดังนั้น นางจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ปี้เจียวได้ยินเช่นนั้นก็พอคาดเดาความคิดของถาวจวินหลันได้บ้าง แต่มองดูท้องฟ้าแล้วก็ต้องพูดเกลี้ยกล่อม “อากาศเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่สู้ว่าพรุ่งนี้หิมะหยุดตกแล้วพวกเราค่อยไปดีหรือไม่เจ้าคะ?” 

 

 

 

 

 

จากที่ปี้เจียวดูแล้ว ชายารองของตนเองมีฐานะสูงส่งมากเพียงใดกัน? ไฉนเลยจะต้องลดตัวลงไปดูผู้ลี้ภัยคนหนึ่งด้วยตนเองด้วย? ไม่ใช่ว่านางดูถูกคน แต่อย่างแรกคนผู้นั้นเป็นบุรุษ อย่างที่สองในตอนนี้ก็ขวัญหนีดีฝ่ออยู่แล้ว กลัวว่าจะทำให้ชายารองของตนรู้สึกไม่สบายใจอีก 

 

 

 

 

 

แต่รถม้าหลังคาดำคันหนึ่งก็ยังออกมาจากประตูข้างของจวนตวนชินอ๋อง จากนั้นก็แอบมุ่งตรงไปทางบ้านส่วนตัวขององค์หญิงเก้า คนที่นั่งอยู่ข้างในคือถาวจวินหลัน 

 

 

 

 

 

รถม้ามีขนาดเล็กมาก อีกทั้งยังใหญ่ไม่ถึงครึ่งของรถม้าที่นางนั่งอยู่ทุกวันด้วยซ้ำไป ภายในนั้นยิ่งอัตคัด เบาะรองและของอื่นๆ ล้วนไม่มีที่ระบายอากาศก็เป็นแค่ม่านเล็กๆ เท่านั้น ประตูก็ใช้เพียงแค่ม่านกั้นเท่านั้นก็จบไป ย่อมต้องไม่เหมือนที่นางเคยใช้ในวันวาน ประตูรถม้าคือประตู หน้าต่างคือหน้าต่าง เป็นเหมือนห้องเล็กๆ ที่วิจิตรงดงามห้องหนึ่ง 

 

 

 

 

 

บ้านพักส่วนตัวขององค์หญิงเก้าตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกของเมืองหลวง บริเวณนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นที่พักอาศัยของประชาชนธรรมดา หรือเป็นบ้านของพ่อค้า บริเวณนี้ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางหรือว่าที่พักล้วนไม่เหมือนกับทางตอนใต้ของเมือง  

 

 

 

 

 

ทุกที่แฝงไว้ด้วยความงดงามของครอบครัวเล็กๆ เบียดเสียด ธรรมดา แต่กลับอบอุ่น 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงบ้านเล็กของตนที่เคยอาศัยในตอนนั้นขึ้นมา จากนั้นก็คิดถึงเรื่องที่หลี่เย่เคยทำเพื่อนาง จึงอดหัวเราะเสียงเบาไม่ได้ ไม่ว่าเมื่อไรที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ในใจของนางก็มักจะรู้สึกอบอุ่น และยิ่งรู้สึกได้ถึงความเอาใจใส่และความทุ่มเทของหลี่เย่ที่มีต่อนาง 

 

 

 

 

 

ถึงตอนนั้นฐานะของนางไม่สูงส่ง แต่ก็มีเพียงหลี่เย่คนเดียวที่เคารพความคิดเห็นของนาง คนอื่นกลับไม่เคยมองนางเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป มองเป็นแค่เพียงของเล่นหรือนางกำนัลต่ำต้อยเท่านั้นเอง 

 

 

 

 

 

ก็เหมือนกับข่งอวี้ฮุย คนเช่นนั้นก็คิดว่านางเป็นเพียงแค่นางกำนัล ต่อให้แข็งแกร่งแต่ก็เป็นเรื่องของคำพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น 

 

 

 

 

 

ถูกใจนางนั่นถือเป็นการไว้หน้า นางไม่ยินยอมนั่นก็ถือว่าให้หน้าไปแล้วแต่กลับหักหน้า 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ในตอนนั้นนางไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งตนเองจะได้มาอยู่กับหลี่เย่ และยิ่งไม่เคยคิดว่านางจะมีฐานะเป็นเหมือนทุกวันนี้ และยิ่งไม่ต้องฝันถึงตำแหน่งสูงสุดนั่นเลย 

 

 

 

 

 

เวลาหลายปีนี้ผ่านไปโดยเร็ว จนนางและหลี่เย่มีลูกคู่หนึ่งแล้ว แล้วยังโตขนาดนี้แล้วด้วย แต่มีบางครั้งที่นางมองหลี่เย่ แล้วยังรู้สึกว่าเวลาไม่ได้เปลี่ยนไป แน่นอนว่าในใจของนางก็ยังรู้ดีว่าหลายเรื่องนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว หลี่เย่เปลี่ยนไป นางเองก็เปลี่ยนไป 

 

 

 

 

 

อย่างเช่นในตอนนี้นางไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนตอนนั้นแล้ว และยิ่งไม่ได้ดื้อรั้น แล้วยังมีความฮึกเหิมกล้าหาญอยู่เล็กน้อยด้วย 

 

 

 

 

 

คิดถึงคำประเมินที่ไทเฮามีต่อตน ถาวจวินหลันก็หัวเราะอีกครั้ง บางทีตั้งแต่ตอนแรกนั้น นางถูกใส่ร้ายจริง แต่ตอนนี้ ไทเฮากลับไม่ได้ใส่ร้ายนาง นางจึงเริ่มได้ใจ แต่ก็ยังหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา 

 

 

 

 

 

ระหว่างทางนั้นถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องเก่าๆ มากมาย พอได้ยินเสียงคนบังคับรถม้ารายงานว่าถึงแล้ว นางถึงได้สติกลับคืนมา เลิกม่านออกไปดู ก็เห็นว่าเป็นที่อยู่อาศัยหลังหนึ่งที่ดูไม่เก่าเท่าไรนัก ดูแล้วบ้านน่าจะไม่ใหญ่มากนัก แบบแผนก็ดูเรียบง่าย องค์หญิงเก้าอยู่อาศัยเองย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ใช้จัดเป็นที่พักให้คนสองคนอาศัยอยู่ถือว่ากำลังพอดี  

 

 

 

 

 

คนบังคับรถม้าเปิดประตู 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันลงจากรถม้าด้วยการประคองของปี้เจียว จากนั้นก็ยืนรออยู่ข้างประตู 

 

 

 

 

 

เวลาล่วงผ่านไปนานถึงจะมีคนมาเปิดประตู ประตูเหมือนว่าต้องซ่อมแซมแล้ว พอเปิดก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จนรู้สึกเข็ดฟันเป็นที่ยิ่ง 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันมองบ่าวชราคนนี้ พลางคิดในใจว่าควรพูดอย่างไร ก็ได้ยินเสียงคนบังคับรถม้าพูดสองสามคำ จากนั้นก็เดินตามบ่าวชราเข้าไป 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นนางก็ตกใจ นี่คือสัญญาณลับ แต่นางไม่มีใจไปคิดว่าคนบังคับรถม้ารู้สัญญาณลับได้อย่างไร ถาวจวินหลันรีบมุ่งเดินตรงเข้าไปข้างใน นางอยากพบหน้าคนคนนั้นสักครั้งหนึ่ง อยากเจอจนกระทั่งกระวนกระวาย