บทที่ 1111 กายป่วยใจสู้ / บทที่ 1112 เหมือนอยู่หลายส่วน

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 1111 กายป่วยใจสู้

เยี่ยหวันหวั่นหวาดตาอ่านเนื้อหาในประวัติ

เหยาเจียเหวิน อายุ 24 ปี บริษัทเดิมที่เคยทำคือจื้อซ่างมีเดีย เคยดูแลนักแสดงระดับสามสองคน

หญิงสาวดูอายุไม่มาก แต่กลับทำงานสายนี้มาหกปีแล้ว เธอเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เริ่มทำตั้งแต่งานผู้ช่วย จากนั้นก็เลื่อนขั้นมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว เห็นได้ชัดว่ามีพื้นฐานแน่นพอตัว

อีกอย่าง บริษัทใหญ่อย่างจื้อซ่างที่มีการแข่งขันสูงอย่างนั้น เธอยังมีโอกาสได้ดูแลนักแสดงระดับสามถึงสองคน บ่งบอกว่าจะต้องมีความสามารถมากแน่ๆ

ดูจากประวัติของผู้หญิงคนนี้แล้ว พื้นฐานครอบครัวของเธอคงไม่ค่อยดีนัก แต่ได้เปรียบที่เธอเป็นคนอดเอาเบาสู้ เงื่อนไขอย่างเธอกลับสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ในระยะเวลาหกปี อยากน้อยก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นถึงหลายเท่า

บริษัทของพวกเธอเพิ่งเริ่มต้นใหม่ได้ไม่นาน เหมาะที่จะรับพนักงานที่ขยันทำงานอย่างนี้พอดี…

เยี่ยหวันหวั่นคืนประวัติในมือให้เหยาเจียเหวิน จากนั้นก็ถามหยั่งเชิงว่า “คุณเถาคะ ต้องขอโทษด้วย เมื่อกี้ฉันเห็นประวัติของคุณ ขอเสียมายาทถามนิดหนึ่ง คุณกำลังหางานอยู่เหรอคะ?”

เถาเจียเหวินพยักหน้า “ใช่ค่ะ…”

“ฉันเห็นว่าบริษัทเดิมของคุณคือจื้อซ่างมีเดีย ในวงการธุรกิจ จื้อซ่างถือว่ามีชื่อเสียงมาก ทำไมถึงลาออกล่ะคะ?” เยี่ยหวันหวั่นถาม

เถาเจียเหวินยิ้มฝืนๆ “เป็นธรรมดาของการแข่งขันกันภายใน ที่ต้องมีคนถูกกำจัดน่ะค่ะ บริษัทของเราอ้างอิงจากผลงาน ถ้าหากทำงานไม่สำเร็จ ก็ต้องโดนไล่ออก

คุณเหมือนจะเข้าใจงานสายนี้เหมือนกัน น่าจะรู้ว่าการแข่งขันในสายงานนี้ดุเดือดแค่ไหน ถ้าไม่มีเงินหรือเส้นสาย ก็ยากที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน…ฉันต่อสู้อยู่ในจื้อซ่างมานานถึงหกปีเต็ม สุดท้ายก็ยังโดนไล่ออกอยู่ดี…”

ใบหน้าของเถาเจียเหวินมีแต่ความเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้

เยี่ยหวันหวั่นเข้าใจความรู้สึกของเถาเจียเหวินดี สายงานนี้โหดร้ายอย่างนี้จริงๆ ถึงจะพยายามอีกแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่มีเงินไม่มีภูมิหลังไม่มีโอกาส คนที่ไม่ได้ดีแม้อยู่มาสิบยี่สิบปีแล้วก็ยังมี ขณะเดียวกันก็มีคนที่ทำไม่ไหวและเปลี่ยนสายงานไปเยอะมากเหมือนกัน

“ไม่ทราบว่าคุณหนูเถารู้จักจูเสินสือไต้ไหมคะ?” เยี่ยหวันหวั่นถาม

เถาเจียเหวินครุ่นคิด แล้วบอกว่า “เคยได้ยินเหมือนกันค่ะ เหมือนจะเป็นบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่รึเปล่าคะ?”

เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้า “ใช่ค่ะ ถ้าหากคุณเถาสนใจ ลองไปสมัครงานที่นั่นดูก็ได้นะคะ ตอนนี้ที่นั่นกำลังเปิดรับพนักงานใหม่พอดีเลยค่ะ”

ก่อนหน้านี้เธอเคยคุยกับเยี่ยมู่ฝานเรื่องรับสมัครพนักงาน เยี่ยมู่ฝานได้ประชาสัมพันธ์ออกไปแล้ว พักนี้พวกเขาจึงเริ่มรับสมัครคนเพิ่ม

เถาเจียเหวินได้ยินก็มองหน้าหญิงสาว “คุณคือ?”

เยี่ยหวันหวั่นอธิบายว่า “เพื่อนของฉันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายผู้ดูแลนักแสดงของบริษัทนั้น ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าบริษัทของพวกเขากำลังรับสมัครคน เมื่อกี้ตอนเห็นประวัติของคูณเถา แล้วรู้สึกว่าเหมาะกับคุณมาก เลยเสียมารยาทถาม นี่เป็นนามบัตรของเขา ถ้าคุณไปที่นั่นก็ติดต่อเขาได้โดยตรงเลยนะคะ”

เยี่ยหวันหวั่นพูดจบก็ยื่นนามบัตรของเยี่ยไป๋ให้เธอ

“อย่างนี้เองเหรอคะ” เถาเจียเหวินรับนามบัตรที่เยี่ยหวันหวั่นยื่นให้ แล้วเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจ “ต้องขอบคุณคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ฉันจะลองไปสมัครดูแน่นอนค่ะ!”

เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะ”

เถาเจียเหวินกล่าวขอบคุณอีกหลายครั้ง จากนั้นก็จากไป

ไม่นาน ซือเยี่ยหานก็ซื้อยากลับมา เขามองตามหญิงสาวที่เดินจากไปแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เมื่อกี้คุยกับใครน่ะ?”

“บังเอิญเดินชนผู้หญิงคนหนึ่งเข้า ทำให้ประวัติของเธอตก ตอนที่ฉันช่วยเธอเก็บก็พบว่าทำงานสายเดียวกัน อีกอย่างดูเหมือนประวัติไม่เลว เลยรีบดึงตัวมาทำงานด้วยน่ะค่ะ! เฮ้อ คุณดูสิ ขนาดเวลาอย่างนี้ฉันก็ยังไม่ลืมเรื่องงานอีก กายป่วยแต่ใจสู้สุดๆ ไปเลยใช่ไหมล่ะ?” เยี่ยหวันหวั่นแสร้งพูดอย่างทอดถอนใจ

ถังถังที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งทำท่าจะพูดแต่ก็หยุด เหมือนแม่จะใช้สุภาษิตผิดนะ?

อืม ไม่หรอก แม่ไม่มีวันผิดหรอก ไม่ว่ายังไงแม่ก็ถูกเสมอ!

ซือเยี่ยหานมองหน้าหญิงสาวอย่างหน่ายใจ จากนั้นก็ยื่นน้ำแร่กับยาให้เธอ “กินยาซะ”

พูดจบก็ยังไม่ลืมเอ่ยเสริมอย่างไม่วางใจ “ดื่มน้ำให้น้อยๆ ล่ะ”

ยัยเด็กนี่…ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน…ก็ไม่เคยทำให้เขาวางใจได้เลย…

……………………….

บทที่ 1112 เหมือนอยู่หลายส่วน

วันต่อมา เยี่ยหวันหวั่นไปเยี่ยมตระกูลเจียง

คุณพ่อกับคุณแม่ของเจียงเยียนหรานเป็นกันเองมาก เอาแต่บอกให้เธอกินเยอะๆ เธอจึงรีบอธิบายเรื่องที่เมื่อคืนกินเยอะจนท้องอืดให้พวกเขาฟัง ถึงรอดมาได้

ไม่อย่างนั้นถ้าวันนี้กินเยอะเกินไปอีก กลับบ้านไปต้องโดนสองพ่อลูกบ่นตายแน่ๆ

“เฮ้อ หวันหวั่นเอ๋ย หลายปีมานี้โชคดีที่มีหนูอยู่ข้างๆ เยียนหราน ไม่อย่างนั้น ตอนนี้ไม่รู้ว่าเยียนหรานจะเป็นยังไงบ้าง…” พอนึกได้ว่าถ้าหากพวกเขาไม่รู้ธาตุแท้ของซ่งจื่อหัง แล้วปล่อยให้ลูกสาวแต่งงานกับเขาไป เกือบผลักลูกสาวลงนรก สองสามีภรรยาเจียงก็อดนึกกลัวไม่ได้

“คุณลุง คุณป้าคะ เกรงใจเกินไปแล้ว เยียนหรานเป็นเพื่อนหนูนะคะ” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย

“การออดิชั่นครั้งนี้ก็โชคดีที่มีหนูช่วย ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเผิงตั้งแต่เรื่องแรก ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมาก เยียนหรานมีเพื่อนอย่างหนู เป็นบุญจริงๆ!” แม่ของเจียงเยียนหรานอดทอดถอนใจไม่ได้ เห็นสีหน้าอย่างนั้นของเธอ เยี่ยหวันหวั่นก็อดนึกไม่ได้ว่าถ้าตัวเองเป็นผู้ชาย เธอต้องยกลูกสาวให้แต่งงานกับตัวเองแน่ๆ

เจียงเยียนหรานที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “พ่อ แม่ หวันหวั่นเก่งมากจริงๆ พล็อตหนังที่หวันหวั่นช่วยหนูวิเคราะห์แม่นสุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ!

ตอนนั้นยังมีนักแสดงหญิงเก่งๆ อีกตั้งหลายคนที่จับฉลากได้ฉากนี้ ได้ยินผู้ผลิตบอกว่า ตอนนั้นพวกเธอทำได้ดีกว่าหนูมาก แถมยังเต้นรำได้สมบูรณ์แบบสุดๆ แต่สุดท้าย ผู้กำกับเผิงกลับเลือกหนู…”

“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ?” แม่ของเจียงเยียนหรานถามอย่างแปลกใจ

เจียงเยียนหรานตอบว่า “หวันหวั่นเป็นคนกำชับหนู ว่าถ้าหากจับฉลากได้ฉากนี้ ตอนเต้นรำต้องเก็บงำอารมณ์ไว้ส่วนหนึ่ง ให้เน้นอารมณ์เหมือนกำลังดื่มด่ำไปกับการเต้นรำ ไม่ใช่อวดทักษะ

เพราะตอนนั้นนักแสดงหญิงกำลังความจำเสื่อม ถึงแม้ก่อนความจำเสื่อมจะเต้นรำเก่งมาก แต่การเต้นรำ เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ถึงจะเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว คนที่ไม่ได้เต้นรำมาหลายปีแล้ว จู่ๆ กลับมาเต้นรำอีกครั้ง ถึงแม้จะรักในการเต้นรำ แต่ไม่มีทางที่ร่างกายจะฟื้นกลับสู่สภาพเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์…”

“มีเหตุผล! เป็นอย่างนั้นจริงๆ รายละเอียดอย่างนี้น้อยคนที่จะสังเกตเห็น” พ่อของเจียงเยียนหรานพยักหน้าถี่ๆ

“หนูก็เลยตั้งใจทำพลาดหลายครั้ง ทำตัวผ่อนคลายเหมือนตอนที่เต้นรำคนเดียว ตอนนั้นพอหนูแสดงเสร็จ ผู้กำกับเผิงก็ถามว่าทำไมหนูถึงแสดงอย่างนั้น หนูก็ตอบไปตามตรง จากนั้นผู้กำกับเผิงก็เลือกหนูเลยค่ะ” พอนึกไปถึงตอนนั้น เจียงเยียนหรานก็ยังตื่นเต้นไม่หาย

เยี่ยหวันหวั่นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หนูก็แค่คิดในมุมมองของนางเอกน่ะค่ะ”

พอพูดมาถึงตรงนี้ เยี่ยหวันหวั่นก็ชะงักไปเล็กน้อย เหมือนจู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…

เธอค้นพบว่า หลังจากเกิดใหม่ เธอรู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง เคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจ

ความรู้สึกอย่างนี้ เหมือนกับฉากที่เจียงเยียนหรานได้แสดงอยู่หลายส่วน

ไม่เหมือนคนที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้มาแต่เกิด แต่เหมือนเครื่องจักรที่ไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมากกว่า

เพราะอย่างนั้น หลังจากที่เธอเริ่มฝึกฝนทักษะความสามาระ ทำให้ร่างกายฟื้นฟูกลับมา เธอจึงเริ่มเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วมากขึ้นเรื่อยๆ…

พอรู้ตัวว่าตัวเองใจลอย เยี่ยหวันหวั่นก็รีบสลัดความคิดนั้นออกไป แล้วถามว่า “วันนี้ที่หนูมา ยังมีอีกเรื่องจะบอกด้วยค่ะ”

เยี่ยหวันหวั่นพูดจบ ก็หยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมา

เจียงเยียนหรานเห็นก็รีบรับสัญญาไปด้วยความดีใจ “นี่เป็นสัญญาของพวกเราสองคนใช่ไหม? หวันหวั่น ในที่สุดเธอก็ยอมรับฉันเข้าสังกัดแล้วเหรอ! แม่คะ รีบเอาปากกาให้หนูเร็ว!”

………………………..