ตอนที่ 389 ความคะนึง

วาสนาบันดาลรัก

เพลงความคะนึงนี้เมื่อใช้ใบไม้เป่าเป็นทำนองช่างคล้ายดั่งคนรักกำลังกระซิบกระซาบ นกนางแอ่นขานร้อง ช่างไพเราะจับใจอันใดเพียงนั้น อานจวิ้นอ๋องปรบมือเบาๆ เป็นจังหวะ แต่กลับรู้สึกว่าขาดอันใดไปบางอย่าง

 

 

เมื่อหางตาเขาเหลือบไปเห็นเจินเมี่ยวที่นั่งอยู่ใต้ต้นหลี ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา จึงลุกขึ้นเดินไปเรียกนาง

 

 

เจินเมี่ยวมองอานจวิ้นอ๋องคราหนึ่งด้วยความสงสัย

 

 

อานจวิ้นอ๋องแสดงท่าทีให้นางเดินตามเขาไป เมื่อเดินมาถึงข้างโต๊ะก็ชี้นิ้วไปที่พิณนั้นแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “จยาหมิง ดีดพิณ”

 

 

เจินเมี่ยวลังเลครู่หนึ่ง

 

 

นางรู้ว่าถึงความสามารถตนเองดี หากพูดถึงการดีดพิณ ในเมืองหลวงที่มีผู้คนมากความสามารถเช่นนี้ ร่างเดิมของนางจัดว่าอยู่ในระดับกลางเท่านั้น เมื่อนางซึ่งไร้พรสวรรค์ในการดีดพิณมาอยู่ในร่างนี้ ความสามารถนั้นจึงด้อยลงไปทันที

 

 

“แค่ให้ทุกคนสนุกสนานก็พอ มิต้องคิดอันใดมาก” อานจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

 

 

เจินเมี่ยวคิดในใจว่าวาจานี้ไม่เลวเลย หากดีดพิณตามคำของอานจวิ้นอ๋อง นางก็จะได้รีบไปจากที่นี่เสียที

 

 

นางจึงยกมือขึ้นดีดบรรเลงท่วงทำนองของเพลงความคะนึงออกมา

 

 

เสียงเป่าใบไม้นั้นชะงักหยุดครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนทำนองตามนางทันทีดุจวิหกน้อยหลุดจากกรง โบยบินเริงร่าอยู่ท่ามกลางป่าใหญ่อย่างมีความสุข

 

 

เสียงเป่าใบไม้นั้นคล้ายกระจายไปรอบทิศ คอยเคล้าคลอไปกับเสียงพิณดั่งใยแมงมุมที่มองไม่เห็น เกิดเป็นเสียงประสานอันไพเราะจับจิตเกินบรรยาย ทำให้คนฟังลุ่มหลงมัวเมาไปกับมัน

 

 

เจินเมี่ยวที่เป็นผู้ร่วมบรรเลงบทเพลงอันไพเราะนี้เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

นี่มิใช่ฝีมือของนางเลย แต่เป็นของคนที่ใช้ใบไม้เป่าสร้างบทเพลงนั่นต่างหาก เขาใช้ความสามารถตนที่เป็นดั่งหยาดน้ำพานางไปอย่างไร้สุ้มเสียง ทำให้นางสองมืออ่อนยวบ ทำให้ใจของนางคล้อยตาม ทำให้นางเข้าใจบทเพลงอย่างลึกซึ้ง ทั้งอ่อนโยน ใส่ใจ อดทน และแน่วแน่ที่จะนำพานางโบยบินไปสู่สรวงสวรรค์แห่งดนตรีอย่างไม่มีวันละทิ้ง

 

 

ความรู้สึกได้รับการปกป้องชนิดนั้นได้ถูกถ่ายทอดลงไปในบทเพลงและส่งผ่านเข้าไปในใจของนางทีละนิด คล้ายดั่งคนรักที่อ่อนโยนที่สุดกำลังเอื้อนเอ่ยความในใจให้เจ้าได้รับรู้กระนั้น

 

 

หรือนี่คือบุรุษที่มักล่อลวงสตรีออกเรือนแล้วในตำนาน

 

 

เจินเมี่ยวหยุดมือโดยพลันทำให้เกิดเสียงประหลาดแทรกขึ้น พริบตาความรู้สึกสมบูรณ์แบบอันไร้ที่ตินั้นก็พลันมลายหายไป

 

 

คนอื่นๆ จึงตื่นจากความรู้สึกมัวเมาลุ่มหลงชนิดนั้นเช่นกัน

 

 

“จยาหมิง…” อานจวิ้นอ๋องมีสีหน้าอันยากจะคาดเดา

 

 

เจินเมี่ยววางพิณลงแล้วลุกขึ้นปรบมือ “คุณชายฉินฝีมือยอดเยี่ยมไร้คนเทียม ข้าคงมิอยู่ทำตัวให้ขายหน้าต่อไปแล้ว”

 

 

“จยาหมิงเซี่ยนจู่ก็ดีดพิณได้ดีไม่น้อย” องค์ชายสามเอ่ยปากขึ้น

 

 

เจินเมี่ยวกวาดตามองท่าทีอันไร้ซึ่งความผิดปกติของทุกคน พลันเข้าใจในทันที คุณชายจวินผู้นี้มีความสามารถด้านดนตรีถึงขั้นทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ได้

 

 

ในตำนานเคยกล่าวว่ามีสุรารสเลิศชนิดหนึ่งที่คนหนึ่งพันคนดื่มมันเข้าไปก็จะได้รสชาติถึงหนึ่งพันรสชาติ แต่ดนตรีของเขากลับสามารถให้คนฟังสัมผัสและซาบซึ้งในบทเพลงได้แตกต่างกันไป

 

 

ใช้ดนตรีสะกดจิตคน เขาคิดทำอันใดกันแน่

 

 

ความคะนึงหรือ คะนึงถึงอันใด ไยต้องบอกแก่นางด้วยเล่า

 

 

คนผู้นี้ท่าทีลึกลับแปลกแปร่ง พอกันที!

 

 

ไม่ทราบด้วยเหตุใดเจินเมี่ยวถึงได้รู้สึกไม่ชอบบุรุษงามสง่าไร้ผู้ใดเทียบได้เช่นนี้

 

 

“สายมากแล้ว ควรกลับเสียที มิอยู่รบกวนความสำราญของพวกท่านแล้ว” เจินเมี่ยวย่อกายแล้วหันหลังคิดจะจากไป

 

 

“จยาหมิง…” องค์ชายหกเดินเข้าไปหา “ข้าไปส่งเจ้าเอง”

 

 

เมื่อคนทั้งสองค่อยๆ เดินพ้นไปจากสายตาของคนทั้งหลาย เจินเมี่ยวกลับหยุดฝีเท้าตน “เสด็จพี่หก เชิญกลับไปเถิด”

 

 

“เจ้าแน่ใจหรือ” องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้นมองนางด้วยรอยยิ้ม

 

 

มิรอให้เจินเมี่ยวตอบ เขาก็หันหลังเดินกลับไปทันที แต่กลับลอบนับเลขอยู่ในใจ

 

 

หนึ่ง สอง สาม…

 

 

“เดี๋ยวก่อน” เจินเมี่ยวเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เมื่อเห็นทิวทัศน์ที่เหมือนกันยิ่งก็เริ่มปวดศีรษะขึ้นมา นางเชื่อว่าตนต้องหลงทางแน่จึงรีบร้องออกไปเช่นนั้น

 

 

องค์ชายหกหมุนกายกลับมาแล้วเดินเข้าไปเอ่ยกับหน้าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องหลงทางแน่”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของเจินเมี่ยว เขาก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “มิเช่นนั้นเจ้าจะมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

“หลงทางอันใด ฉงสี่เซี่ยนจู่บอกให้หม่อมฉันมาที่นี่แท้ๆ”

 

 

“เป็นไปไม่ได้!” องค์ชายหกหุบพัดตนทันที แล้วใช้มันเคาะศีรษะเจินเมี่ยวคราหนึ่งอย่างอดมิได้ “เจ้าโง่หรือไร อานจวิ้นอ๋องก็มา ฉงสี่จะให้เจ้ามาดื่มสุรากับพวกเรางั้นหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ตอนนั้นเราอยู่กันที่ทิศเหนือของสวนดอกหลี แล้วฉงสี่ก็ชี้ไปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้”

 

 

“ทิศตะวันตกเฉียงใต้…” องค์ชายหกลูบคางตน นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ตามข้ามา”

 

 

เจินเมี่ยวเดินตามองค์ชายหกเดินลัดเลาะไปในป่าดอกหลีถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ จึงเห็นมองเห็นแสงแดดโปร่งและศาลาเล็กหลังคาสีแดงที่อยู่ห่างออกไปไกลสิบจั้ง ที่นั่นยังมีโต๊ะรูปทรงดอกเหมยและสาวใช้อีกสองคนยืนหลับสัปหงกอยู่ด้วย

 

 

องค์ชายหกยิ้มพลางเอ่ยว่า “จยาหมิง ข้าคิดว่านี่ต่างหากที่เป็นสถานที่ที่ฉงสี่บอกให้เจ้ามา”

 

 

เจินเมี่ยวหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางไอแค็กๆ เสียงหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ขอบพระทัยเสด็จพี่หกยิ่งแล้ว”

 

 

“มิต้องเกรงใจไป” องค์ชายหกพลันลดเสียงลงเอ่ยแผ่วเบาว่า “จยาหมิง ข้ารู้สึกว่าคุณชายจวินผู้นั้นคิดอันใดที่พิเศษกับเจ้า”

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับอึ้งงันไป

 

 

องค์ชายหกหุบยิ้มแล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “เพื่อมิให้ผู้บัญชาการหลัวขุ่นเคืองใจ ต่อไปเจ้าก็อยู่ให้ห่างคุณชายจวินผู้นี้เป็นดีที่สุด”

 

 

สีแดงกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ปีนป่ายจากลำคอไปจนถึงสองแก้มเจินเมี่ยว นางรู้สึกทั้งอายทั้งโมโห

 

 

นางรู้สึกได้ว่าคุณชายจวินผู้นั้นดูแปลกๆ นางรู้ดีว่าควรต้องทำเช่นไร เหตุใดเขาต้องพูดออกมาให้นางอับอายด้วยเล่า!

 

 

เราสนิทกันหรือไร

 

 

เจินเมี่ยวเชิดคางขึ้นด้วยใบหน้าขมวดเกร็ง “ซื่อจื่อย่อมไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนี้แน่ คงมิลำบากให้เฉินอ๋องต้องเป็นกังวลหรอกเพคะ!”

 

 

นางสะบัดแขนเสื้อหมุนกายเดินไปยังศาลาเล็กนั้นทันที ทิ้งไว้เพียงองค์ชายหกที่จ้องแผ่นหลังของนางเขม็ง ทั้งเม้มริมฝีปากแน่น

 

 

นางโกรธงั้นหรือ

 

 

เขาเตือนด้วยความหวังดีแท้ๆ นาง…นางมีสิทธิ์อันใดมาโกรธเล่า!

 

 

หากมิใช่…เพราะท่าทางตั้งใจดีดพิณของนางซ้อนทับเข้ากับภาพที่งดงามที่สุดในความทรงจำของเขา เขาจะจมดิ่งเข้าไปในภวังค์ทั้งกายทั้งใจเช่นนั้นได้อย่างไร และนั่นทำให้จับความผิดปรกตินี้ได้ด้วย

 

 

องค์ชายหกยิ่งคิดยิ่งโมโห แต่สาวใช้ของฉงสี่เซี่ยนจู่ก็อยู่ด้วยถึงสองคน เขาจึงมิอาจเดินเข้าไปคิดบัญชีด้วยใบหน้าถมึงทึง จึงได้แต่เดินจากไปด้วยความหงุดหงิด

 

 

“จยาหมิงเซี่ยนจู่ ท่านมาแล้ว”

 

 

ครานี้เจินเมี่ยวจึงระมัดระวังขึ้นมาก “ฉงสี่เซี่ยนจู่ให้พวกเจ้าจัดของว่างไว้รอข้างั้นหรือ”

 

 

สาวใช้ทั้งสองสบตากันก่อนพูดพร้อมกันว่า “เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยวพ่นลมออกจากปากแผ่วเบาคล้ายเป็นการพ่นความขุ่นเคืองเมื่อครู่ทิ้งไปด้วย นางเอ่ยกำชับว่า “รินน้ำชาให้ข้าที”

 

 

สาวใช้ผู้หนึ่งจึงเอ่ยว่า “มีชาน้ำผึ้งและสุราผลไม้ เซี่ยนจู่จะดื่มอันใดเจ้าคะ”

 

 

ยามนี้เจินเมี่ยวใจเย็นขึ้น นางก็คิดในใจว่าที่ตนพูดกับเฉินอ๋องด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยโทสะนั้นอาจเพราะก่อนหน้านี้ดื่มสุราดอกหลีมาจึงทำให้พลั้งปากไป นางไหนเลยจะกล้าดื่มสุราอีกจึงโบกมือเอ่ยว่า “เอาชาน้ำผึ้งแล้วกัน”

 

 

ชาน้ำผึ้งสีเหลืองอ่อนถูกรินลงไปในถ้วยกระเบื้องสีขาว เมื่อขยับถ้วยชาขึ้น น้ำผึ้งจึงเกาะติดอยู่ตามข้างถ้วยเป็นชั้นๆ

 

 

เจินเมี่ยวดื่มไปมากกว่าครึ่งถ้วยแล้วจึงเห็นว่าบนโต๊ะมีขนมยวนยางสอดไส้วางอยู่ในจานสีน้ำเงิน ก็พลันเบิกบานใจขึ้นมา นางล้างมือแล้วหยิบขึ้นมากิน

 

 

เมื่อเข้าปากไปก็ลิ้มรสได้ถึงความนุ่มละมุนลิ้นพร้อมกลิ่นหอมจางๆ ของนม ความเปรี้ยวอมหวานของไส้ซานจาที่อยู่ด้านใน ความหอมของงาและความหวานของน้ำตาลก็ช่างลงตัวนัก หากเปรียบกับขนมก้นหอยอันขึ้นลือชื่อแล้ว ทั้งสองอย่างต่างมีความอร่อยไปคนละแบบ

 

 

กระทั่งอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตก ฉงสี่เซี่ยนก็ยังมิกลับมา แต่ผู้ที่มากลับเป็นสาวใช้ของจั่งกงจู่แทน

 

 

“จยาหมิงเซี่ยนจู่เจ้าคะ จั่งกงจู่บอกว่าใกล้ค่ำแล้วจึงให้บ่าวไปส่งท่านกลับเจ้าค่ะ”

 

 

“ฉงสี่เซี่ยนจู่เล่า”

 

 

สาวใช้ผู้นั้คล้ายคาดเดาถึงคำนี้ไว้แต่แรกแล้วจึงตอบกลับอย่างไม่ลังเลว่า “จั่งกงจู่ยังบอกอีกว่า ขอให้จยาหมิงเซี่ยนจู่วางใจได้ อย่างไรก็มิตีฉงสี่เซี่ยนจู่จนตายเป็นแน่เจ้าค่ะ”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

เมื่อเจินเมี่ยวกลับถึงจวนกั๋วกงและรอกระทั่งหลัวเทียนเฉิงกลับจากศาลาว่าการ นางก็อดเอ่ยถามเขามิได้ว่า “ซื่อจื่อ ข้าได้ก่อเรื่องร้ายแรงอันใดไปหรือไม่”

 

 

หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “เจ้าคงมิได้ตกน้ำไปกับผู้ใดอีกใช่หรือไม่”

 

 

เจินเมี่ยวฟาดเขาไปคราหนึ่ง “จริงจังหน่อยได้หรือไม่!”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงยิ้มออกมา “วางใจเถิด นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ไม่มีเรื่องใดที่นับว่าร้ายแรงได้”

 

 

เจินเมี่ยวจึงพูดเรื่องที่ตนกลั่นแกล้งฉงสี่เซี่ยนจู่ออกมา แล้วกัดริมฝีปากเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าภายหน้าหากได้ไปที่วังองค์หญิงอีก อาจจะถูกจั่งกงจู่ปิดประตูขังแล้วปล่อยสุนัข…”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะออกมาเสียงดัง กระทั่งหัวเราะจนหนำใจแล้วจึงดึงเจินเมี่ยวเข้ามาโอบไว้ เขาวางคางลงบนกลางกระหม่อมนางพลางเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าจั่งกงจู่คงต้องขอบใจเจ้ามากกว่า”

 

 

เจินเมี่ยวนั่งตัวตรงแล้วหันไปมองหลัวเทียนเฉิง “ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”

 

 

หลัวเทียนเฉิงลูบท้องตนไปมา “ข้าหิวแล้ว”

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาให้เขาคราหนึ่งแล้วเดินไปยังห้องด้านข้าง ไม่นานก็ยกจานใบใหญ่ที่ครึ่งหนึ่งวางขนมยวนยางสอดใส่ไว้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือเนื้อทอดเข้ามาด้วยตนเอง

 

 

“กินรองท้องก่อนเถิด วันนี้ได้กินสองอย่างนี้ที่วังจั่งกงจู่ รู้สึกว่ามันอร่อยดีจึงกลับมาทำไว้ให้ท่านลองชิมสักหน่อย”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจ้องเนื้อทอดนั้นนิ่ง นัยน์ตาฉายประกายวูบหนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เจี๋ยวเจี่ยว วันนี้มีเรื่องราวพิเศษอันใดเกิดขึ้นหรือไม่”

 

 

งานชมดอกหลีที่วังจั่งกงจู่แบ่งแยกชายหญิง แต่ไหนแต่ไรเนื้อทอดนี้มิเคยยกขึ้นโต๊ะของสตรีเลย

 

 

เจี๋ยวเจี่ยวต้องไปกินอาหารร่วมโต๊ะกับบุรุษเป็นแน่

 

 

กับบุรุษ กินอาหาร คิดไม่ถึงว่าเรื่องสองอย่างนี้เขากลับมิได้มีส่วนร่วมใดๆ เลย มันช่างทำให้คนรู้สึกทนไม่ได้เสียจริงๆ!

 

 

ใบหน้าของคนผู้หนึ่งกลับเคร่งขรึมขึ้นมา

 

 

เจินเมี่ยวไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้เห็นเนื้อทอดนี้แล้วกลับคาดเดาเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด แต่นางเป็นคนตรงไปตรงมาจึงมิคิดจะปิดบังอันใดอยู่แล้ว

 

 

“ข้าหลงทางจนบังเอิญพบเข้ากับเฉินอ๋องและคนอื่นๆ”

 

 

หลัวเทียนเฉิงโล่งอกลงเล็กน้อยแต่กลับหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาอีก “มีอานจวิ้นอ๋องด้วยใช่หรือไม่”

 

 

“มี อ๋องคนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย”

 

 

มีอานจวิ้นอ๋อง เช่นนั้นย่อมต้องมีจวินเฮ่า

 

 

หลัวเทียนเฉิงไม่พอใจขึ้นมา แต่เขาย่อมไม่โง่ถึงขั้นเอ่ยถามออกมา เช่นนั้นยิ่งจะทำให้เจี๋ยวเจี่ยวจดจำเจ้าคนชั่วนั่นได้แม่นยำขึ้นอีก แต่เขากลับวางตะเกียบลงทันที

 

 

“ซื่อจื่อ?” เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนพลางเอ่ยในใจว่า นางยังมิทันเอ่ยอันใด ไยเขาจึงโกรธแล้วเล่า หรือจะเป็นอย่างที่เฉินอ๋องพูดจริงๆ แค่เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เขาก็จะไม่เชื่อนางงั้นหรือ

 

 

หลัวเทียนเฉิงพลันคิดขึ้นมาได้

 

 

ไม่ได้ เขามิอาจโกรธเคืองส่งเดช เช่นนี้เจี๋ยวเจี่ยวจะยิ่งรู้สึกว่าเจ้าคนชั่วนั่นอ่อนโยนและเอาใจใส่มากกว่าเขา

 

 

“ข้าพลันนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนของอานจวิ้นอ๋องขึ้นมา” เขาจับมือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยออดอ้อน “ข้าไม่ชอบกินเนื้อทอดนี้”

 

 

“เช่นนั้นก็กินขนมยวนยางสอดไส้แล้วกัน”

 

 

“ช่างเข้าใจตั้งชื่อจริง ชื่อนี้ดียิ่ง”

 

 

เมื่อเห็นเขากันไปถึงสามชิ้น เจินเมี่ยวก็สะกิดเขาอีกครา “ซื่อจื่อ ท่านยังไม่บอกเลยว่าเหตุใดจั่งกงจู่ต้องขอบใจข้าด้วยเล่า”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “เพราะเยี่ยนอ๋องกับกุ้ยอ๋องต่างคอยจ้องฉงสี่เซี่ยนจู่อยู่อย่างไรเล่า เจ้าคอยดูเถิด วาจาที่ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยถึงคู่หมายในอนาคตย่อมต้องแพร่ออกไปในวันนี้แน่ คนทั่วทั้งเมืองหลวงย่อมรู้ถึงคุณสมบัติการเลือกคู่ของนาง ถึงตอนนั้นคนที่ไร้ฝีมือการเดินหมากรุกไหนเลยจะกล้าเข้าไปเอ่ยปากทาบทามนาง เช่นนี้มิใช่การช่วยจั่งกงจู่ให้พ้นจากความยุ่งยากหรอกหรือ”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

“จวินเฮ่าได้ดีดพิณหรือไม่”

 

 

ครั้นวาจาตนประโยคนี้เอ่ยออกไป หลัวเทียนเฉิงก็แทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง

 

 

ปากไม่มีหูรูดเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ปากเขาแน่!

 

 

“เขามิได้ดีดพิณ”

 

 

นับว่าเขายังรู้ความอยู่บ้างที่มิได้รำแพนไปทั่วดั่งนกยูงตัวผู้!

 

 

“เขาใช้ใบไม้เป่าเป็นบทเพลง ข้ายังดีดพิณร่วมสนุกไปกับเขาด้วย”