บทที่ 1181 ชาวพุทธซื่อบื้อ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1181 ชาวพุทธซื่อบื้อ โดย Ink Stone_Fantasy

ที่พูดต่อหน้าคนพวกนี้ได้ ก็เพราะไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นคนนอก หวงฝู่จวินโหรวก็เป็นคนของตัวเองอย่างลับๆ ส่วนสวีถังหรานก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว

ทว่าคำพูดนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างประหลาดใจ ฟังไม่ค่อยออกว่าหมายความว่าอะไร มู่หรงซิงหัวก็เช่นเดียวกัน

สวีถังหราน ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋แอบหัวใจกระตุกวูบ พวกเขาพบว่าเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในฐานะที่พวกเขาเป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิน แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับไม่ออกหน้าเพื่อผู้บัญชาการใหญ่ พวกเขาย่อมนึกเชื่อมโยงถึงท่าทีของท่านโหวเทียนหยวนได้ในทันที อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่กับท่านโหวเทียนหยวนสู้กันแล้ว?แบบนี้น่ากลัวไปหน่อยหรือเปล่า?

ชั่วพริบตาเดียวทั้งสามก็เริ่มเป็นทุกข์เป็นร้อนกับส่วนได้ส่วนเสียของตน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ไปรู้เรื่องอะไรที่ไม่สมควรจะรู้

ในบรรดาพวกเขามีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้ว่าเหมียวอี้รู้เรื่องอะไรที่ไม่สมควรรู้ ตอนศีรษะของคนหลายพันที่ตลาดสวรรค์ตกถึงพื้นเมื่อครั้งก่อน ปี้เยว่ฮูหยินเดาเจตนาของเบื้องบนออกและแย่งผลงานเหมียวอี้จนได้รับรางวัลจากราชันสวรรค์ เบื้องหลังต้องมีความเกี่ยวข้องกับท่านโหวเทียนหยวนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนระดับอย่างปี้เยว่ฮูหยินก็ทำเรื่องนี้ไม่ไหว

นางเข้าใจในทันทีว่าทำไมเหมียวอี้ถึงอดทนแบบนี้ได้ เรื่องแย่งผลงานจะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ถ้าพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือหลอกลวงราชันสวรรค์ ภายใต้สถานการณ์ปกติเหมียวอี้ไม่มีทางกล้าพูดออกมาแน่นอน เพราะว่าเหมียวอี้มีส่วนร่วมในเรื่องหลอกลวงราชันสวรรค์เหมือนกัน แต่ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ปกติเลย ในขณะที่ไม่แน่ใจว่าเหมียวอี้จะจนตรอกเป็นหมากระโดดกำแพงแล้วพูดจาเหลวไหลหรือไม่ ใครบางคนอยากจะถือโอกาสแก้ไขปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง!

หรือพูดได้อีกอย่างว่า เมื่อครู่นี้เหมียวอี้ไม่ได้สู้กับคนที่เห่าหอนพวกนั้นเลย แต่กำลังสู้กับเทียนหยวนและภรรยาโดยตรง!

อวิ๋นจือชิวคิดแล้วรู้สึกกลัวทีหลัง เมื่อครู่ตอนที่เกิดเรื่อง เกรงว่าเหมียวอี้คงจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะต่อสู้ด้วยซ้ำ

ขณะเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่กำลังเหาะอย่างเงียบๆ อวิ๋นจือชิวก็ทั้งกลัวทั้งปลื้มใจ พบว่าตัวเองดูถูกผู้ชายของตัวเองไปแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ดีแต่ทำอะไรบุ่มบ่ามวู่วาม

หารู้ไม่ว่าที่เหมียวอี้สามารถอดทนแบบนี้ได้ เป็นเพราะมีอีกเหตุผลหนึ่ง เพราะมีอวิ๋นจือชิวอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเหมือนกัน ถ้าทะเลาะกันขึ้นมาแล้วเขาเสียเปรียบ อวิ๋นจือชิวจะต้องลุกขึ้นยืนเพื่อเขาแน่นอน แบบนั้นจะทำให้อวิ๋นจือชิวลำบากไปด้วย ส่วนหวงฝู่จวินโหรวกลับเป็นคนที่ค่อนข้างทำอะไรสอดคล้องกับความเป็นจริง

“เปลี่ยนเส้นทาง!” เมื่อหันกลับไปสำรวจข้างหลังครู่หนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็บอกให้เปลี่ยนเส้นทาง พาคนวนอ้อมรอบหนึ่ง ไม่ได้กลับเป็นเส้นทางแนวตรง

และในจวนแม่ทัพภาคตงหัว หลังจากเหมียวอี้กล่าวขอตัวลาไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินกำลังยืนทอดถอนใจอยู่ในโถง ท่านโหวเทียนหยวนเดินเอามือไขว้หลังออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “สงสัยตอนแรกข้าจะไม่ได้มองคนผิดจริงๆ เป็นคนที่ส่าสนใจจริงๆ เป็นข้าเองที่คิดมากไป ทำตัวเป็นคนต่ำทรามไปแล้วรอบหนึ่ง!”

“หมายความว่ายังไง?” ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับมาถาม

เทียนหยวนยิ้มตอบ “ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก ลูกน้องข้าคนนี้ไม่ใช่คนที่พูดจาเหลวไหล รู้สึกว่าให้ลูกน้องแบบนี้เอาชีวิตไปทิ้งช่างน่าเสียดายจริงๆ แต่จนใจที่เรื่องบางเรื่องเจ้ากับข้าตัดสินใจเองไม่ได้! ช่างเถอะ วันนี้ไม่พูดเรื่องคนอื่นแล้ว เจ้ากับข้ามามีความสุขกันสักหน่อยเถอะ!” พูดจบก็อุ้มปี้เยว่ฮูหยินเดินออกไป…

เหมียวอี้ที่กลับมาถึงตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนเงียบงันไปนานมาก เดิมทีเขาอยากจะให้สวีถังหรานสร้างสถานการณ์แล้วตัดหัวคนอีกสักชุด ทว่าเมื่อผ่านเรื่องที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวมาแล้ว ก็ทำให้เขาต้องหดเงื้อมมือที่เตรียมจะยื่นออกไปกลับเข้ามา กลัวว่าจะโดนคนอื่นฉวยโอกาสนี้จับผิด เมื่อไม่มีปี้เยว่ฮูหยินสนับสนุน เขาก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจที่ดาวเทียนหยวนแล้ว

ทว่าในที่สุดเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็แพร่ไปทั่วทั้งตลาดสวรรค์แล้ว เมื่อมีคนจงใจช่วยกระพือข่าว แอบเผยแพร่อย่างอึกทึกครึกโครม ชั่วประเดี๋ยวเดียวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างเหมียวอี้ก็กลายเป็นเรื่องตลกแล้ว ทั้งยังใส่สีตีไข่จนยิ่งไม่น่าฟังขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าพูดไปต่างๆ นาๆ

ถึงขั้นมีข่าวแพร่ออกไปว่าเหมียวอี้โดนบังคับให้คุกเข่าเลียพื้นรองเท้าด้วย สรุปก็คือทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเขาโดนสร้างความอัปยศต่อหน้าฝูงชนแต่ไม่กล้าเถียงสักคำ

เพียงแต่เรื่องที่คนหลายพันโดนตัดหัวยังมีอานุภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงยังไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผยที่นี่ ทุกอย่างล้วนเผยแพร่ไปอย่างลับๆ

ในห้องทำงานห้องหนึ่ง เกาก้วน ทูตตรวจการขวาของตำหนักสวรรค์กำลังนั่งโบกมืออยู่หลังโต๊ะยาว ลูกน้องคนหนึ่งที่นำแหวนเก็บสมบัติวางบนโต๊ะกุมหมัดกล่าวอำลาแล้วถอยออกไป

ไม่นานบนโต๊ะยาวก็มีแผ่นหยกวางเป็นกอง ล้วนเป็นรายงานที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมา เรื่องราวที่อาณาเขตแต่ละแห่งของตำหนักสวรรค์สามารถสืบค้นได้ล้วนอยู่ในรายงานรวมนี้หมดแล้ว หลังจากเขากับซือหม่าเวิ่นเทียนเลือกสรรแล้ว ก็จะนำข่าวที่รู้สึกว่ามีค่าพอหรือมีความสำคัญรายงานขึ้นไปให้ราชันสวรรค์รู้ ถ้านำทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ส่งไปให้ราชันสวรรค์หมด ถ้านำเรื่องราวมากมายในใต้หล้ามากองรวมกัน ราชันสวรรค์ก็ไม่ต้องฝึกตนกันพอดี เรื่องที่ควรจะแบ่งไปให้เบื้องล่างก็ย่อมต้องแบ่งไปให้เบื้องล่างจัดการ เพียงแต่จะเลือกให้ใครดูแลเรื่องอะไรก็เท่านั้นเอง สิ่งที่ราชันสวรรค์ต้องทำก็คือเลือกใช้คน

เกาก้วนเลือกไปได้สักพัก ก็เลือกข่าวทางจวนแม่ทัพภาคตงหัวมาอ่านก่อน เรื่องงานเลี้ยงฉลองของปี้เยว่ฮูหยินก็ย่อมรวมอยู่ในนั้นด้วย

หลังจากเจอข่าวที่เหมียวอี้โดนทำให้อับอาย เกาก้วนก็ตั้งสติอยู่นานมาก สุดท้ายก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า “สมกับเป็นคนที่ใช้ความคิดเลือกสรรมาอย่างดี ทำให้คนวางใจไม่น้อยเลย…”

จากนั้นก็อ่านแผ่นหยกทั้งฉบับจนหมด สุดท้ายก็ยิ้มมุมปากพร้อมพูดเหน็บแนมเบาๆ ว่า “งานเลี้ยงมีหน้ามีตา…อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!”

ที่พูดเหน็บแนมต่องานเลี้ยงที่มีหน้ามีตาของปี้เยว่ฮูหยิน ก็เพราะเขาเป็นคนริเริ่มเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์ แผนการของราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ เขาคือคนที่เข้าใจดีที่สุด ตอนนี้ทำไปเพื่อไม่ให้เรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์โดนสกัดตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้วิธีการดำเนินงานใหม่ของตลาดสวรรค์เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง ถึงได้ประกาศว่าจะทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ รอให้เวลานานไปแล้วทุดคนเห็นพ้องต้องกันกับวิธีการดำเนินงานในปัจจุบัน รอให้คนที่ได้ประโยชน์บอกว่าทำแบบนี้แล้วดี การทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ของลาดสวรรค์ก็จะจบลงเช่นกัน ต่อไปก็จะถึงคราวที่คนระดับแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์จะต้องไปทดสอบในนรกต่อแล้ว ตอนหลังก็จะทดสอบหัวหน้าภาค การทดสอบหัวหน้าภาคใหญ่ก็จะทยอยจัดขึ้นเช่นกัน คนที่เห็นด้วยกับการทำแบบนี้ก็จะไม่สะดวกจะกลับคำพูดแล้ว

ราชันสวรรค์ตัดสินใจที่จะควบคุมตลาดสวรรค์ ตัดสินใจที่จะควบคุมช่องทางร่ำรวยที่ใหญ่ที่สุดของขุนนางในราชสำนักแล้ว ต่อให้แรงกดดันจะมากกว่านี้แต่ก็ต้องผลักดันต่อไป ราชินีสวรรค์นำอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วปะทะอยู่ข้างหน้า ส่วนราชันสวรรค์ก็คอยหนุนอยู่เบื้องหลังราชินีสวรรค์

เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เมื่อถึงคราวทดสอบแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ เกาก้วนก็นึกไม่ออกว่าปี้เยว่ฮูหยินยังจะมีอะไรให้ดีใจอีก…

ในจวนผู้บัญชากการเขตเมืองตะวันออก ภายใต้ดอกไม้ที่สว่างนวลใต้แสงจันทร์ มักจะเห็นสวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ พร้อมทอดถอนใจอยู่บ่อยๆ เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง อนาคตน่ากังวล!

เขาดันขึ้นเรือลำเดียวกับโจรเสียแล้ว

ในร้านค้าร้านร้านหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำพูดอัปยศอดสูที่เผยแพร่อยู่ข้างนอก ฉินเวยเวยกำลังมองผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่นอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย นางเป็นกังวลมากเช่นกัน

ก๊อกๆ! ด้านนอกมีเสียงเคาะประตู ฉินเวยเวยรู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร “เข้ามา!”

พอประตูเปิดแล้วหันกลับมามอง ก็พบว่าเป็นอย่างที่คาดไว้ ฝ่าอินที่แต่งหน้าเข้มและเสียบเครื่องประดับศีรษะอันงดงามประณีตบนศีรษะผลักประตูเข้ามาแล้ว

พอฝ่าอินเข้ามายืนในห้อง สองมือก็จับกระโปรงลายดอกกางขึ้น แล้วหมุนตัวพร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “เวยเวย ข้าแต่งตัวแบบนี้เป็นยังไงบ้าง? ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนรึยัง?”

ฉินเวยเวยสะอิดสะเอียนกับการแต่งหน้าที่ฉูดฉาดของนางแล้วจริงๆ มีคุณสมบัติประจำตัวที่บริสุทธิ์สูงส่งแท้ๆ แต่กลับแต่งหน้าทาแป้งให้ตัวเองกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ไปได้ ริมฝีปากก็ทาจนแดงเหมือนไปดื่มเลือดไก่มา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกครั้งที่สาวงามคนนี้เดินตลาดจึงทำให้คนเดินถนนเป็นฝ่ายหลีกทางให้ก่อนได้

เพียงแต่นางอาศัยอยู่ร้านเดียวกับฝ่าอิน จึงสะอิดสะเอียนจนชินตั้งนานแล้ว นางขมวดคิ้วบอกว่า “ด้านนอกกำลังพูดจาว่าร้ายนายท่านไปทั่ว เจ้าไม่เป็นห่วงนายท่านสักนิดเชียวหรือ? ยังมีกะจิตกะใจมาแต่งตัวอยู่ในนี้อีกเหรอ?”

ฝ่าอินยิ้มพร้อมตอบว่า “คิดมากไปแล้ว ใส่ร้ายป้ายสีข้า รังแกข้า ดูหมิ่นข้า หัวเราะเยาะข้า ดูแคลนข้า ชั่วร้ายกับข้า หลอกลวงข้าแล้วอย่างไรล่ะ? แค่อดทนกับเขา ถอยให้เขา ตามใจเขา หลีกเลี่ยงเขา เคารพเขา แล้วรออีกไม่กี่ปี เจ้าคอยดูเขาไว้! การที่นายท่านไม่สนใจกับสิ่งนี้ ถึงจะเป็นผู้มีปัญญาที่แท้จริง ทำไมเวยเวยถึงคิดมากล่ะ?”

“เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการเข้าสู่ทางโลก แต่ปากพูดถึงแต่คำสอน” ฉินเวยเวยกนอกตามองนาง

ฝ่าอินเอามือปิดปากทันที ชาดทาปากถูกเช็ดเป็นรอยอยู่ที่มุมปากแล้ว จะเห็นได้เลยว่าทาไปหนาขนาดไหน นางก้าวขึ้นมาดึงแขนฉินเวยเวย “งั้นพวกเรามาคุยเรื่องทางโลกกันหน่อยดีกว่า ตอนที่เจ้ากับสามีร่วมห้องกัน เจ้าบอกข้าหน่อยสิว่ารสชาติเป็นยังไง”

ฉินเวยเวยอับอายจนเหงื่อแตก แต่รู้ว่าถ้าไม่พูด นางก็จะกวนใจเหมือนแมลงวันหัวเขียว ส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างหูเจ้าตลอด จึงตอบส่งๆ ไปว่า “อธิบายไม่ชัดเจนหรอก รอให้เจ้าลองกับนายท่านสักครั้งก็จะรู้แล้ว”

ฝ่าอินแห้งเหี่ยวทันที “ท่านสามีงานยุ่งตลอด ไม่มีเวลาร่วมห้องกับข้าเลย ว่ากันว่ามนุษย์เราทำงานลำบากมาก ดูจากที่ท่านสามีงานยุ่งขนาดนี้ก็รู้แล้ว”

ฉินเวยเวยพูดไม่ออก พอพูดถึงเรื่องนี้นางก็โมโหนิดหน่อย หลังจากอยู่ร่วมกับเทพเจ้าแห่งโรคห่าอย่างฝ่าอิน เหมียวอี้ก็ตกใจจนไม่กล้ามาที่นี่เลย

แต่ใครจะคิดว่าฝ่าอินจะกลับมามีชีวิตชีวาเร็วมาก นางดึงแขนฉินเวยเวยพร้อมพูดอย่างกระปรี้กระเปร่าอีกว่า “ข้าได้ยินว่าผู้หญิงในบ้านสามารถร่วมห้องกับชายอื่นได้ด้วย ทางโลกเรียกกันว่าแอบคบชู้ สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้เหมือนกัน สามารถสัมผัสกับรสชาตินั้นได้เช่นเดียวกัน เวยเวย เจ้าคิดว่าข้าแอบไปคบชู้กับผู้ชายแบบไหนถึงจะเหมาะสม?…ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวข้าไปเดินหาเอาที่ตลาดก็ได้ หาผู้ชายสักคนที่ตัวเองถูกชะตาก็ไม่เลวเหมือนกัน”

โอ้สวรรค์! ฉินเวยเวยตะลึงค้างราวกับโดนฟ้าผ่าทันที จากนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมา รีบดึงนางไว้อย่างลุกลี้ลุกลน พบว่าผู้หญิงคนนี้ฝึกตนอยู่กับธรรมเนียมพุทธตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้วจริงๆ มีผู้หญิงที่ไหนสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้อย่างสบายปากบ้างล่ะ ถ้าทำเรื่องที่น่าโดนจับใส่กรงถ่วงน้ำแบบนั้นจริงๆ ก็อย่าว่าแต่ฝ่าอินเลย ถึงตอนนั้นฉินเวยเวยเองก็จะโดนอวิ๋นจือชิวถูกจับหักขาด้วยเหมือนกัน

“ฝ่าอิน ผู้หญิงแอบคบชู้ไม่ได้นะ”

“ทำไมไม่ได้ล่ะ?”

“เพราะนั่นคือเรื่องที่น่าอับอายในสังคม”

“หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าลองแอบคบชู้แล้วจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจมนุษย์มากขึ้น เป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่า?”

เมื่อเห็นว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ฉินเวยเวยก็แทบจะระเบิดอารมณ์ นางรู้ว่าผู้หญิงคนนี้สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ ไม่สามารถใช้เหตุผลปกติคุยกับนางได้เลย ทำได้เพียงพูดหลอกลวง ดึงนางมาพูดตบตาทันทีว่า “เจ้าแต่งงานแล้ว ต้องร่วมห้องกับสามีของตัวเองก่อน ตอนหลังถ้าได้รับอนุญาตจากสามีแล้ว เจ้าถึงจะแอบคบชู้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เรียกว่าคบชู้ เข้าใจมั้ย?” คำพูดพวกนี้น ขนาดนางพูดเองยังอับอายจนเหงื่อแทบแตกเลย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” ฝ่าอินพึมพำพลางพยักหน้าช้าๆ

ในอ่างอาบน้ำของตำหนักคุ้มเมือง หวงฝู่จวินโหรวที่ปล่อยผมยาวสยายนั่งเปลือยอยู่ในอ่างน้ำเอนกายพิงขอบอ่าง เหมียวอี้ที่ร่างเปลือยเปล่าเอนกายอยู่ในอ้อมอกนาง ศีรษะหนุนอยู่บนหน้าอกขาวอวบอิ่มพลางหลับตางีบ ดื่มด่ำความรู้สึกยามหวงฝู่ออกแรงนวดขมับให้เขา

หลังจากคุยเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับข่าวลือข้างนอกไปสักพัก หวงฝู่จวินโหรวก็วางมือมากอดเหมียวอี้ แล้วลองถามหยั่งเชิงว่า “ข้างนอกมีข่าวลือบิดเบือนเกี่ยวกับเจ้ามากมายขนาดนั้น เจ้าไม่โกรธสักนิดเลยเหรอ?”

“โกรธแล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ แล้วลืมตาสองข้าง มือที่อยู่ใต้น้ำบีบนวดต้นขาของนาง “โกรธแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ แค่ต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้เป็นแบบนี้พวกเขาบอกก็พอแล้ว

หวงฝู่ใช้นิ้ววาดบนหน้าอกของเขาหลายวง “จะพิสูจน์ยังไง?”

ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววดุดันแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ใช้เวลาพิสูจน์”

“เฮ้อ!” ถอนหายใจเบาๆ “ข้าแค่รู้สึกว่าถ้ามีคนใส่ร้ายเจ้าแบบนี้ต่อไป ก็จะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าป่นปี้หมดแล้ว”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ยกมือลูบใบหน้าที่อยู่เหนือศีรษะตัวเอง “แค่คำด่าเล็กน้อยพวกนั้นจะสำคัญอะไร ตลอดทางที่เดินมา ข้าโดนด่าจนชินแล้ว”

“เจ้าเคยโดนคนด่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?” หวงฝู่แปลกใจ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ด่าว่าเจ้าแอบคบกับผู้หญิงที่มีสามีแล้วน่ะเหรอ?” สิ่งที่นางนึกได้ก็คือเรื่องของเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา

เหมียวอี้ยิ้มพลางส่ายหน้า เรื่อง ‘ไอ้เหมียวจัญไร’ ในปีนั้น เรื่องแต่งงานกับผู้หญิงมือสองในปีนั้น เพียงแต่ไม่สะดวกจะพูดออกมา

ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกแล้ว เขาพลิกตัวแล้วจูบบนริมฝีปากนาง โถมทับทั้งร่างกายให้ลงไปพัวพันกันอยู่ในน้ำ…

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เมื่อเตรียมวัตถุดิบหลอมขอวิเศษครบแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากตลาดสวรรค์ คนที่ออกไปด้วยกันยังมีอวิ๋นจือชิวและเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเขากลับพิภพเล็กด้วยกัน จะกลับไปร่วมงานแต่งงานของเยารั่วเซียน

…………………………