“สังคมสมัยนี้เปลี่ยนไป ถ้าอยากได้ยินคำชื่นชมจากใจก็ต้องฟังจากปากของเพื่อนๆ ญาติ คนรักหรือคนที่คบกันด้วยความจริงใจ ส่วนมากจะได้ยินคำพูดประจบเสแสร้งเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ว่าจะเป็นคำพูดจริงหรือคำพูดจอมปลอม ขอแค่เป็นคำชม คุณก็ต้องยอมรับ คำชื่นชมจอมปลอมของพวกเขาอาจจะพูดขึ้นเพื่อหวังผลประโยชน์ แต่ถ้าหากคุณไร้ประโยชน์เมื่อไหร่ คำชมก็จะกลายเป็นคำพูดแดกดัน และนี่ก็คือสังคมแห่งความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าจริงหรือไม่ แค่เรารู้ดีแก่ใจก็พอ ……”
ฉันทัชพูดเชื่องช้ามาก จ้องมองเธอพร้อมกับยกมุมปากขึ้นยิ้มเบาๆ
ยู่ยี่ก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขาด้วย ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปากพูด เธอก็รู้สึกว่าพูดมีเหตุผล
สายตาของเรนนี่กับหัสดินมองมายังพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าทั้งสองกลับไม่มองพวกเขาเลยสักปราดเดียว
ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ผู้คนยุ่งกับการผูกมิตรผูกสหาย มีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่เฉย ๆ อย่างสบายอกสบายใจ ฉันทัชกับยู่ยี่นั่งพูดคุยกันสองกัน
ยู่ยี่อยากไปเข้าห้องน้ำ จึงถามบริกรแล้วมุ่งหน้าไปยังที่หมาย
เมื่อออกจากห้องน้ำก็เห็นหัสดินโดยบังเอิญ สีหน้าเธอราบเรียบ ไม่ได้ขึ้นลงใด ๆ เมื่อล้างมือเสร็จก็คิดจะเดินจากไป
หัสดินมาขวางทางเธอ ยู่ยี่ไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย แค่มองรองเท้าหนังบนพื้นอย่างเย็นชา “หลีกไป”
หัสดินไม่ยอมหลีกทาง ดวงตาดอกท้อหยุดอยู่ที่ตัวเธอ และเห็นรอยจูบที่ลำคอขาวผุดผ่อง
สีหน้าเขาเขียวช้ำ มือใหญ่กำหมัดขึ้น เสียงเย็นเยียบที่ไม่สบอารมณ์ดังลอยขึ้นมา “คุณไม่รู้จักรักษาเกียรติของตัวเองบ้างเลยหรือ”
ยู่ยี่ไม่อยากคุยกับเขา กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า“สุนัขที่ดีไม่ขวางทาง”
“ไม่เจอกันแค่ช่วงเดียว นิสัยคุณก้าวร้าวขึ้นเยอะเลยนะ ตอนนี้ยังไปเป็นน้อยของเขาอีก ดูคอของตัวเองสิ รู้สึกขายหน้าบ้างไหม?”
หัสดินเอ่ยปากพร้อมกับจ้องเขม็งเธอ เพลิงไฟในหัวใจแผดเผาอย่างร้อนแรง เธออยากใช้ชีวิตสุขสบาย ถึงกลับปีนขึ้นไปบนเตียงของผู้ชาย
“คุณรู้ไหม ทุกครั้งที่ฉันคุยกับคุณ ฉันจะรู้สึกสกปรกมาก ดังนั้น คุณอย่ามาพูดคุยกับฉัน ฉันขยะแขยงในตัวคุณ”
ยู่ยี่รู้สึกตลกในสิ่งที่เขาพูด รู้สึกแดกดันผิดปกติ เธอเอามือกอดอก จ้องมองหัสดินอย่างไม่อินังขังขอบ เสียงเย็นยะเยือกไร้ความอบอุ่นใด “พวกเราไม่จำเป็นต้องคุยกัน อีกอย่าง ไม่ว่าฉันจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย”
ความรักเจ็ดปี ระหว่างที่เธอตั้งครรภ์ เขากับเรนนี่กลับไปพลอดรักกัน แถมยังไปฮันนีมูนอีกต่างหาก แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าเธอทำตัวขายหน้า ฮ่า ๆ ๆ ……
“ถ้าคุณไม่มีเงิน ผมให้คุณได้ คุณเปลี่ยนพฤติกรรมเลวๆของคุณซะ” หัสดินเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
เธอสวยขึ้นจริง ๆ สวยกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า เรียกได้ว่าผู้หญิงทุกคนในงานเทียบชั้นเธอไม่ได้เลย
แต่ความสวยนี้กลับแลกมาด้วยวิธีการสกปรกเช่นนี้ เธอไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนบ้างหรือ?
เมื่อก่อนเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนี้
ยู่ยี่ไม่แยแสเขา หยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรออกไปด้วยเสียงนุ่มนวล“ที่รัก ฉันเกิดเรื่องหน้าห้องน้ำ คุณมารับฉันหน่อยได้ไหม?”
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเจ็ดปี เขารู้จักเธอไม่ดีพอ แต่เธอกลับมองเขาจนทะลุหมดเปลือกแล้ว
เขาไม่เข้าใจเธอเลย มิฉะนั้นคงไม่พูดจาอย่างนี้กับเธอหรอก ความจริงแล้วเธอควรโกรธที่เขาพูดจาเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกไม่คุ้มเลยที่ต้องโกรธหรือทะเลาะกับเขา
ความรักจางหาย หัวใจตายไปแล้ว แม้แต่ความเกลียดก็หายไปด้วย เธอรู้สึกเหนื่อยที่ต้องพูดคุยกับเขา ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอต้องทะเลาะกับเขาให้ตายกันไปข้างเลย ทว่าเธอในตอนนี้ ไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด
“ยู่ยี่” เสียงเคร่งขรึมของหัสดินดังขึ้น
เธอคล้ายกับไม่ได้ยินที่เขาเรียก ก้มหน้ากุมมือถือไว้ ผ่านไปสักพัก เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ร่างสูงโปร่งของฉันทัชพลันปรากฏสู่สายตา
“ที่รัก” ยู่ยี่โบกมือให้ฉันทัชด้วยรอยยิ้มที่สดใสและงดงามเสมือนดอกไม้เบ่งบาน
ฉันทัชก้าวเท้ายาวแล้วเดินผ่านหัสดิน เอ่ยเสียงอ่อนโยน“เจอเรื่องอะไร?”
“ไม่มีค่ะ” ยู่ยี่ควงแขนของเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ มืออีกด้านจัดแจงกระโปรงตัวยาวให้เข้าที่ อิริยาบถช่างสง่างามและเรียบร้อย
หัสดินปรายตาเห็นรอยข่วนสีแดงบนคอฉันทัชด้วย รู้สึกเหมือนกับรอยจูบบนคอเธอมาก
ทั้งสองทำอะไรมา ไม่บอกก็รู้……
เพลิงโทสะของหัสดินลุกโชน จ้องฉันทัชพร้อมกับเอ่ยปากพูด“เดี๋ยวก่อน เธอเป็นเมียเก่าผม เงินที่เลี้ยงเธอผมจะคืนให้คุณเอง นับจากวันนี้พวกคุณอย่าข้องเกี่ยวกันอีก”
ยู่ยี่ไม่หันหลังมอง ยิ่งไม่แยแสเขา แค่เลิกคิ้วอย่างแดกดัน
เธอต้องขอบคุณในความเมตตากรุณาและใจกว้างของสามีเก่าหรือเปล่า?
ฉันทัชหยุดเดิน หันกลับมามอง มือใหญ่ได้รูปนวดระหว่างคิ้วเบา ๆ “ขอโทษด้วย เหมือนคุณเข้าใจผิดแล้ว เธอเป็นแฟนสาวของผม ……”
สิ้นเสียง ทั้งสองก็จูงมือหายลับไป เหลือเพียงหัสดินยืนนิ่งอยู่กับที่ คิ้วงามของเขาขมวดแน่นเป็นปม
หัสดินกลับเข้างานช้าหน่อย เรนนี่มองเขา“ทำไมไปนานจังคะ?”
“อืม” เขาขานรับเสียงเรียบเฉย
“เมื่อกี้รุ่นพี่ยู่ยี่ก็ไปเข้าห้องน้ำเหมือนกัน” เรนนี่พูดต่อ
หัสดินมองเธอปราดหนึ่ง รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร
“ฉันรู้ว่าชีวิตของรุ่นพี่ยู่ยี่ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเมียเก่าคุณ ย่อมมีความผูกพันเป็นเรื่องธรรมดา เธอเป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ เพราะคุณเป็นคนจิตใจดี ฉันไม่ใช่ผู้หญิงไร้เหตุผล คุณอยากช่วยรุ่นพี่ยู่ยี่ ฉันก็ไม่คัดค้านอะไรหรอกค่ะ แต่คุณไม่ต้องปิดบังฉันได้ไหมคะ”เสียงเรนนี่อ่อนโยนมาก อ่อนโยนดั่งสายลมที่พัดผ่าน และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
“ขอโทษด้วย” หัสดินกล่าวขอโทษ ไม่ได้พูดอย่างอื่น แค่เสริมขึ้นว่า “เธอเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ไม่ใช่ยู่ยี่คนเดิมแล้ว”
ยู่ยี่ในอดีตก็เป็นคนอ่อนโยน เข้าใจความรู้สึกคนอื่น เป็นห่วงเป็นใยเขา ทว่าตอนนี้เขาไม่รู้จักใช้คำใดมาบรรยายเธอ
เรนนี่พยักหน้าหงึกหงัก“สังคมสามารถทำให้คนเปลี่ยนไป ที่แท้ก็มีเหตุผลจริง ๆ ฉันรู้สึกเสียดายเธอมากเลยค่ะ ……”
“ถ้าตัวคุณไม่อยากเปลี่ยนก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนคุณได้ เธอเปลี่ยนไปแบบนี้ก็เป็นเพราะตัวเธอเอง” หัสดินว่า
สายตาของทั้งสองมองไปอีกทั้ง ขณะนี้เริ่มมีการเต้นรำในห้องโถงกันแล้ว จึงมีผู้ชายทยอยขอยู่ยี่เต้นรำไม่น้อย แต่เธอก็ยิ้มปฏิเสธอย่างอ่อนโยนทุกครั้ง ……
ซึ่งทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของหัสดินและเรนนี่ เรนนี่รู้สึกอิจฉาตาร้อน ไม่พอใจ เคียดแค้น ……
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เธอสวยขึ้นจริง ๆ เวลาเดียวกันก็ยังทำให้เรนนี่รู้สึกหงุดหงิด กลุ้มใจด้วย
ทว่าเธอรู้จักเก็บอารมณ์ของตัวเอง ไม่แสดงต่อหน้าหัสดินเด็ดขาด เธอต้องรักษาภาพลักษณ์ต่อหน้าหัสดินไว้
ภาพลักษณ์ของผู้หญิงสำหรับในสายตาผู้ชายมาก
เธอรับรู้ได้ว่าสายตาผู้ชายทุกคนล้วนหยุดอยู่ที่ตัวยู่ยี่ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงทุกคนในงานก็จ้องไปยังผู้ชายที่สง่างามและเป็นผู้ใหญ่คนนั้น
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า งานเลี้ยงครั้งนี้ยู่ยี่กับเขาคนนั้นจะเป็นจุดโฟกัสของงานนี้
ตอนเรนนี่บอกหัสดินว่ายู่ยี่เป็นเด็กถูกเลี้ยง หัสดินก็ไม่ได้เชื่อ
เพราะไม่ว่าอย่าไร เขาก็เคยรักยู่ยี่มาเจ็ดปี เขารู้จักนิสัยใจคอยู่ยี่ดี