บทที่ 525 เวลา

บัลลังก์พญาหงส์

แน่นอนว่าต่อให้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ นางก็ยังมีไพ่ตายอยู่ อย่างเช่นเรื่องลูกของอี๋เฟย แต่เรื่องนี้อย่างไรแล้วก็เป็นข่าวเหม็นเน่า หากกระจายออกไปแล้วก็จะส่งผลเสียต่อราชวงศ์ ดังนั้นหากไม่ถึงขั้นวิกฤติจริงๆ นางก็ไม่อยากใช้วิธีนี้ อีกทั้งนางคำนึงถึงจิตใจของหลี่เย่ จึงไม่ยินยอมให้ฮ่องเต้และไทเฮาต้องกริ้วเพราะเรื่องนี้ ถึงเวลานั้นแม้ว่าหลี่เย่จะไม่พูดออกมา ก็ยังรู้สึกไม่ดี และนางย่อมต้องไม่รู้สึกดีเช่นกัน 

 

 

 

 

 

อีกอย่างแม้จะบอกว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์มากจนเกินไป แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ถึงขั้นใช้วิธีไร้คุณธรรมขนาดนั้น มิเช่นนั้นเพียงหาโอกาสส่งองค์รัชทายาทไปโลกหน้าจะไม่เร็วกว่าหรืออย่างไร? 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเรียกให้หลิวเอินเข้ามาในจวนเพื่อสอบถามข้อมูลเรื่องการสั่งสมทรัพยากร 

 

 

 

 

 

หลิวเอินดูผ่ายผอมกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย ถาวจวินหลันจึงพูดติดตลกว่า “ดูแล้วช่วงนี้ท่านอ๋องคงจะแบ่งงานให้เจ้าเยอะเกินไปแล้ว เจ้าถึงเหนื่อยจนผอมลงเช่นนี้ รอจบเรื่องแล้ว หากเขาไม่ตกรางวัลเจ้าให้ดี ข้าไม่มีทางยอมเป็นแน่” 

 

 

 

 

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลิวเอิน ก่อนพูดว่า “ช่วยท่านอ๋องทำธุระได้ ถือเป็นเกียรติของบ่าวขอรับ” 

 

 

 

 

 

“เอาเถิด ข้าจะไม่พูดอะไรกับเจ้ามาก วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาด้วยอยากถามเรื่องเสื้อผ้าและฝืนถ่านว่าจัดการไปถึงไหนแล้ว?” ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้ว่าเวลานั้นมีค่า จึงไม่กล้าเสียเวลาอีก และเอ่ยถามทันที 

 

 

 

 

 

หลิวเอินพยักหน้า “ทั้งหมดเป็นไปตามแผนขอรับ เพียงแค่รอให้เงินเท่านั้น” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ท่านจั่วช่วยเหลือไปไม่น้อย กระตือรือร้นและตั้งใจมากขอรับ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เห็นได้ชัดว่าเขาอยากร่วมมือกับจวนของพวกเราจริง” จั่วเสี่ยนอวี้ลงแรงขนาดนั้น หลังจากจบเรื่องนี้หลี่เย่จะต้องไม่ละเลยเขาแน่นอน ที่จริงแล้วจั่วเสี่ยนอวี้ถือว่าเป็นคนมีแววจริงๆ หากเขาไม่ร่วมมือกับหลี่เย่ และไม่คิดสานสัมพันธ์อันดีกับหลี่เย่ เช่นนั้นเมื่อไรที่หลี่เย่เริ่มตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเฝินหยางโหว จั่วเสี่ยนอวี้ก็จะเป็นหญ้าแพรกที่แหลกไปด้วย 

 

 

 

 

 

และนางเองก็ชื่นชมจั่วเสี่ยนอวี้มาก อีกทั้งยังเป็นเหตุผลที่ดึงจั่วเสี่ยนอวี้เข้ามาเป็นพวกด้วย 

 

 

 

 

 

“เจ้ามอบเรื่องนี้ให้จั่วเสี่ยนอวี้จัดการเถิด เจ้าจะได้ไม่ดึงดูดสายตาคนอื่นมากเกินไป คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าจวนตวนชินอ๋องของพวกเราให้เจ้าคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของราชสำนักเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องที่องค์รัชทายาทมีเอี่ยวด้วย หากองค์รัชทายาทส่งข่าวที่เป็นประโยชน์กับองค์รัชทายาทเอง ก็พยายามคิดหาวิธีบิดเบือน และทำลายมันเสีย อย่างน้อยที่สุดก็เปลี่ยนทิศทางของเรื่องราวได้ พยายามอย่าให้องค์รัชทายาทได้รับประโยชน์ใดๆ แต่หากในกรณีที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท เจ้าก็กระพือข่าวออกไปให้ทั่ว แล้วพูดถึงเรื่องที่องค์รัชทายาทเคยทำมาก่อน” ถาวจวินหลันหลุบตาลงมองนิ้วมือของตนเองด้วยท่าทีเย็นชา “ครั้งนี้ จะต้องให้เรื่องปลดองค์รัชทายาทถูกเสนออีกครั้งให้ได้” 

 

 

 

 

 

ครั้งนี้หลิวเอินไม่ได้ตื่นตกใจอะไรอีก แต่กลับมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง แล้วรับคำอย่างหนักแน่นมั่นคง “บ่าวจะต้องทำให้ดีที่สุดขอรับ” เขาย่อมรู้ความตั้งใจของถาวจวินหลัน จึงไม่ได้แปลกใจ สิ่งเดียวที่เขาซาบซึ้งก็คือ ความเชื่อใจที่ถาวจวินหลันมีต่อเขา 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า บีบมือเข้าหากันเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มบางๆ “จำไว้ว่า ไม่ว่าตอนไหนก็ต้องทำให้จวนตวนชินอ๋องสะอาดอยู่เสมอ” 

 

 

 

 

 

หลิวเอินย่อมต้องรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ ต่อให้ถาวจวินหลันไม่พูด เขาเองก็ไม่กล้าละเลยเป็นแน่ แล้วถาวจวินหลันยังกำชับเรื่องนี้จริงจังอีกด้วย เขาจึงตอบรับไปว่า “บ่าวจะระวังขอรับ” 

 

 

 

 

 

พอส่งหลิวเอินกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็นั่งนิ่งๆ อยู่คนเดียวครู่หนึ่ง จากนั้นก็พบความจริงเรื่องหนึ่ง ว่าตอนนี้นางไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอะไรดี 

 

 

 

 

 

สิ่งที่นางทำได้ก็ล้วนทำไปหมดแล้ว เหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นก็คือรอ แต่การรอนั้นกลับเป็นสิ่งที่ทรมานมากที่สุด 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด ส่งเสียงเรียกชุนฮุ่ยให้เข้ามา “ไปเชิญจิ้งหลิงอี๋เหนียงและกั่วเจี่ยเอ๋อร์มากินข้าวเป็นเพื่อนข้าเถิด” นางคิดว่าหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนตน และหาเรื่องทำฆ่าเวลา อาจจะไม่ได้ว่างจนทรมานขนาดนั้น 

 

 

 

 

 

ตอนนี้ด้านนอกกำลังมีฝนตก จิ้งหลิงได้ยินชุนฮุ่ยบอกว่าถาวจวินหลันเชิญไปก็ยังรู้สึกอึดอัด อากาศเช่นนี้ยังเรียกให้ตนเองกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไปอย่างนั้นหรือ? 

 

 

 

 

 

แม้นนางจะแอบสงสัย แต่จิ้งหลิงก็ยังคงทำตามคำสั่ง ใส่ผ้าคลุมเสร็จก็พากั่วเจี่ยเอ๋อร์เดินไปยังเรือนเฉินเซียง 

 

 

 

 

 

ตอนที่จิ้งหลิงมาถึงเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็กำลังอุ้มหมิงจูนั่งลงบนตั่งเล่นกระดานกลกับซวนเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าจิ้งหลิงเข้ามา นางก็เงยหน้าส่งยิ้มให้จิ้งหลิง “มาแล้วหรือ? พอดีเลย อีกไม่นานก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นแล้ว” 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงถอดเสื้อคลุมเล็กของกั่วเจี่ยเอ๋อร์ออกก่อน จากนั้นก็ถอดผ้าคลุมของตนเองออกตาม แล้วถึงนั่งลงบนริมตั่ง พร้อมกับอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์วางลงไปบนตั่ง 

 

 

 

 

 

ซวนเอ๋อร์เห็นกั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่เล่นกระดานกลต่อไป ยิ้มร่าเริงพุ่งเข้าไป “น้องสาว!” 

 

 

 

 

 

กั่วเจี่ยเอ๋อร์จำซวนเอ๋อร์ได้ ก็แย้มยิ้มทันที เผยให้เห็นฟันซี่เล็กเหมือนเม็ดข้าวเหนียว ยิ่งเห็นก็ยิ่งให้คนดูใจละลาย 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหยอกล้อกั่วเจี่ยเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะพูดว่า “กั่วเจี่ยเอ๋อร์อายุขวบกว่าแล้ว ปีหน้าก็วิ่งเล่นกับซวนเอ๋อร์ได้แล้ว แต่ตอนนี้หมิงจูเพิ่งจะเริ่มมีฟันเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมฟันของนางถึงขึ้นช้ากว่าพี่ชายของนางอยู่นานนัก” 

 

 

 

 

 

หมิงจูได้ยินถาวจวินหลันเรียกชื่อตนเอง ก็เงยหน้ามองถาวจวินหลัน เผยให้เห็นฟังสีขาวใหญ่สองซี่ที่เพิ่งโผล่พ้นเหงือกสีชมพูออกมา 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงมองดู แล้วก็หัวเราะกล่าว “ฟันออกมาช้าหรือเร็วก็ไม่เห็นเป็นเรื่องแย่ ข้าเห็นว่าหมิงจูโตได้ดีนัก ดูแข็งแรงกว่ากั่วเจี่ยเอ๋อร์อยู่มาก” 

 

 

 

 

 

“กั่วเจี่ยเอ๋อร์คลอดก่อนกำหนด ย่อมต้องเทียบกับหมิงจูที่ครบอายุครรภ์ไม่ได้” ถาวจวินหลันมองกั่วเจี่ยเอ๋อร์ทีหนึ่ง “เจ้าดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ได้ดีนัก ต่อให้หงฉวีเลี้ยงเอง เกรงว่าคงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน หากมีโอกาสข้าจะให้กั่วเจี่ยเอ๋อร์จดอยู่ใต้ชื่อเจ้า ถือว่าเป็นลูกแท้ๆ เจ้า แม้จะบอกว่าเป็นหญิงสาว แต่ก็ยังมีที่พึ่ง” 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงมองกั่วเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความเอ็นดู “ข้าเองก็ไม่ได้ร้องขอชื่อปลอมๆ นี้ จะจดไว้ใต้ชื่อข้าหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงกั่วเจี่ยเอ๋อร์แข็งแรงก็พอแล้ว ส่วนจะเป็นที่พึ่งได้หรือไม่ นั่นเป็นเพียงพูดไปเท่านั้น ข้าไม่ได้เลี้ยงดูนางด้วยหวังพึ่งพิงนาง แต่เพื่อฆ่าเวลาไปวันๆ เท่านั้น” หากไม่มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ชีวิตของนางก็ะต้องเงียบเหงาเดียวดายเป็นแน่ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะ ยิ่งเข้าใจความรู้สึกของจิ้งหลิง มีเด็กอยู่ด้วยตลอด ย่อมต้องแบ่งสมาธิไปให้พวกเขามาก นางยังไม่เท่าไร แต่จิ้งหลิงต้องใช้เวลาส่วนมากไปกับการเลี้ยงด้วยตนเอง เมื่อต้องทุ่มใจไปเลี้ยงเด็ก ย่อมต้องไม่มีใจไปคิดถึงสิ่งอื่น 

 

 

 

 

 

“หากชายารองเจียงคิดเช่นเจ้าก็คงดี” ถาวจวินหลันส่ายหน้า แล้วก็คิดถึงเจียงอวี้เหลียน “ไม่รู้ว่านางสั่งสอนเซิ่นเอ๋อร์จนกลายเป็นอะไรไปแล้ว” 

 

 

 

 

 

เมื่อเทียบกับจิ้งหลิงแล้ว แม้เจียงอวี้เหลียนรักใคร่เซิ่นเอ๋อร์มากกว่า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทุ่มเทเวลาไม่มากพอ และที่น่ากังวลกว่าเดิมก็คือ นิสัยและความคิดของเจียงอวี้เหลียน ไม่เหมาะสมกับการสั่งสอนเด็กเลย โดยเฉพาะลูกชาย 

 

 

 

 

 

“อย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของนาง นางคงใส่ใจมากกว่าใครอื่น แต่เรื่องการเลี้ยงดูนั้น รอจนเริ่มเรียนหนังสือก็หาอาจารย์ที่เคร่งครัดไปสอน เท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว” จิ้งคิดแล้วก็เข้าใจ ยิ้มพลางเอ่ยปลอบประโลม “ยังมีท่านอ๋องคอยสั่งสอน คิดว่าไม่มีทางให้ชายารองเจียงสอนจนเสียคนเป็นแน่” 

 

 

 

 

 

พูดเรื่องลูกอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดถึงเรื่องอื่น “วันนี้กลองแจ้งข่าวถูกตีดังแล้ว” 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงย่อมไม่รู้เรื่องนี้ มือที่กำลังถือป๋องแป๋งเล่นอยู่พลันหยุดลงในทันใด เงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ “อะไรนะ? กลองแจ้งข่าวที่อยู่หน้าประตูวังหรือเจ้าคะ? ใครกล้าถึงขนาดนั้นกัน?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง และพูดว่า “ยามนี้ท่านอ๋องยังไม่กลับมา เกรงว่าคงถูกกักเอาไว้ในวังหลวงเพราะเรื่องนี้” 

 

 

 

 

 

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก” จิ้งหลิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ “เกรงว่าปีนี้คงจะไม่สงบสุขเป็นแน่” 

 

 

 

 

 

“ใช่แล้ว” ถาวจวินหลันถอนหายใจเช่นกัน และยังกังวลอีกเรื่อง “หากองค์รัชทายาทปกป้องขุนนางเหล่านั้น ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ฮ่องเต้จะจัดการอย่างไร อีกทั้งต้องส่งคนไปทำให้เรียบร้อยอีก ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะเป็นใครที่ไป” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกกังวล หากถึงเวลานั้นฮ่องเต้ให้หลี่เย่ไป หลี่เย่ย่อมต้องไป แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หลี่เย่ไม่ควรออกจากเมืองหลวงไป 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ก้มหัวลงมีท่าทีเหม่อลอย พูดตามจริงแล้วก่อนหน้านี้ตอนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่เย่ นางก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าองค์ชายรองสงบเสงี่ยมรูปงามจะมีจิตใจฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญ มีปณิธานมุ่งหวังอันยิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองในตอนนั้น ต้องทนทุกข์อยู่ทุกวัน 

 

 

 

 

 

บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่หลี่เย่ไม่เคยมีใจให้นาง เพราะนางไม่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของหลี่เย่เลยแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

และถาวจวินหลันก็ไม่ได้รู้เพียงเท่านี้ แต่ยังช่วยเหลือหลี่เย่ได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางทำไม่ได้ โดยปกติแล้วนางมักคิดว่าถาวจวินหลันสู้ตนเองไม่ได้ แต่ตอนนี้นางยิ่งมองดูเงียบๆ ก็ยิ่งเข้าใจว่า ที่จริงแล้วความแตกต่างระหว่างนางกับถาวจวินหลันก็เหมือนพื้นดินกับท้องฟ้า 

 

 

 

 

 

“ฮ่องเต้ก็คงจะไม่ปล่อยให้ท่านอ๋องไปเช่นกัน” จิ้งหลิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าไปมา “ราชสำนักมีขุนนางมากมายขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องส่งท่านอ๋องไป หากไม่พอก็ยังมีท่านอ๋องคนอื่นอีก” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจขึ้น ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าพูดถูก” ไทเฮาไม่มีทางให้หลี่เย่จากเมืองหลวงไปตอนนี้อย่างแน่นอน 

 

 

 

 

 

แต่พอคิดถึงสุขภาพของไทเฮา นางก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ตอนนี้ร่างกายของไทเฮาทรุดลงเรื่อยๆ จนน่าเป็นกังวลยิ่งนัก” หากไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของไทเฮาเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่ต้องเร่งรีบดำเนินการปลดองค์รัชทายาท 

 

 

 

 

 

ไทเฮาสิ้นพระชนม์ไป ก็ไม่มีคนคานอำนาจกับฮองเฮาอีก ฮ่องเต้ก็ยิ่งไม่เชื่อใจใคร เกรงว่าถึงเวลานั้นสถานการณ์จะยิ่งส่งผลเสียต่อหลี่เย่ 

 

 

 

 

 

อีกอย่างมีเพียงแค่ตอนที่ไทเฮายังแข็งแรงอยู่ พอปลดองค์รัชทายาทแล้ว ไทเฮาถึงจะโน้มน้าวฮ่องเต้ให้แต่งตั้งหลี่เย่เป็นองค์รัชทายาทแทนได้ ตอนนี้ฟังเพียงแค่คำพูดของไทเฮา 

 

 

 

 

 

ดังนั้นนางจึงกลัวว่าจะรอไม่ไหว 

 

 

 

 

 

จิ้งหลิงก็ถอนหายใจเช่นเดียวกัน “อย่างไรก็มีพระชนมายุมากแล้ว แม้ว่าจะบำรุงดีเพียงใด ก็ยังมีอายุคอยขัดขวางอยู่ดี เรื่องนี้ใครๆ ก็จนปัญญา” 

 

 

 

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ เพียงไม่นาน บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นหดหู่ 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นว่าซวนเอ๋อร์จับสังเกตได้ หันมามองตนเองอยู่บ่อยครั้ง ก็รีบแย้มยิ้ม “เอาเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านั้นแล้ว น่าหดหู่เสียจริง” 

 

 

 

 

 

ปากพูดเช่นนี้ แต่ในใจของนางยังคงเป็นห่วงหลี่เย่