บทที่ 626 นางเป็นเจ้าน้องชายตัวน้อย

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 624 นางเป็นเจ้าน้องชายตัวน้อย

เมื่อตระหนักว่าไม่ปกติฉีเฟยอวิ๋นก็ปล่อยหนานกงเย่ทันทีและกล่าวว่า: “ท่านอ๋องเป็นกระหม่อมผู้ต่ำต้อยที่เสียมารยาทแล้วพะย่ะค่ะ เมื่อครู่กระหม่อมผู้ต่ำต้อยฝันว่าอาจารย์ที่สั่งสอนเสียชีวิตแล้วจึงเศร้าใจยิ่งนักถึงได้ไม่แยกแยะท่านกับผู้น้อยและกอดท่านอ๋องร้องไห้ซะยกใหญ่

ทั้งยังขอให้ท่านอ๋องอย่าได้บอกกับพระชายา เพื่อหลีกเลี่ยงพระชายาตำหนิกระหม่อม”

ทุกคนต่างสูดอากาศอันเย็นเข้า มือที่สามผู้นี้ช่างทำได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ ช่างเปิดเผยได้อย่างตรงไปตรงมาที่จะให้โกหกลับหลังภรรยาเอก

อ๋องเย่ชื่นชอบเพศเดียวกันนั้นไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะต้องการโปรดปรานอนุและทำร้ายภรรยาอีกด้วย?

ขณะที่ทุกคนจ้องมองอยู่นั้นหนานกงเย่ก็เข้ามาใกล้หนึ่งก้าว: “หักห้ามใจด้วย!”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าเนื่องจากโศกเศร้าและไม่ได้มองผู้คนอื่นๆ นางพยายามที่จะจัดการกับความรู้สึกนึกคิดแต่จะจัดการเช่นไรก็ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องที่งอาจารย์เสียชีวิตได้

หนานกงเย่ยังต้องรีบเดินทางและพวกเขาได้เข้าเมืองแล้ว

ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ใช้เวลานอนมากเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น แต่หนึ่งวันสำหรับหนานกงเย่แล้วช่างทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก

กองทัพของเขาบุกเข้าไปในเมืองและจับกุมแม่ทัพซานเต๋อเอาไว้ซึ่งเดิมทีเป็นเรื่องอันน่ายินดี

แต่หนานกงเย่รอฉีเฟยอวิ๋นเป็นเวลาหนึ่งวันก็รอให้ฉีเฟยอวิ๋นมากลับมาไม่ได้ หลังจากได้รับข่าวแล้วถึงได้รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นยุ่งอยู่กับการนอนทั้งวัน

เดิมทีไม่ได้กังวลมากนักแต่หนานกงเย่รู้สึกร้อนรนอยู่บ้าง ดังนั้นจึงใช้ประโยชน์จากขณะที่ทุกคนกลับมายังค่ายตามกลับมาด้วย

หาฉีเฟยอวิ๋นพบแล้วหนานกงเย่ก็รู้สึกผิดปกติ กองทัพกำลังจะเข้าเมืองไม่สามารถให้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ได้จึงทำได้เพียงพาไปด้วย

การปรากฏตัวของฉีเฟยอวิ๋นในครานี้ทำให้หนานกงเย่รู้สึกร้อนใจ

ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดจึงได้กล่าวตามใจปากไปประโยคหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าและเช็ดน้ำตาอยู่สองครั้ง ไม่ต้องการร้องไห้แต่ก็อดไม่ได้

อู๋กั่วไม่สามารถทนดูได้จึงลงจากม้าไปดูฉีเฟยอวิ๋น: “ด้านหน้าก็มีม้าอยู่แล้วพวกเราขึ้นม้ากันเถอะ เจ้าก็อย่าได้ร้องไห้อีกเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าจากนั้นหันกลับไปมอง: “หีบยาของข้าน้อยหล่ะ?”

หนานกงเย่นำเอาหีบยาไป ฉีเฟยอวิ๋นวิ่งเข้าไปกอดมันเอาไว้อย่างไร้เดียงสาและกล่าวตามหลังว่า: “ข้าน้อยสบายดี ท่านอ๋องอย่าได้ทรงขัน”

ข้าไม่ได้ขบขัน อาจารย์ของเจ้าก็ตายไปแล้ว ข้าจะเป็นผู้ที่ไม่มีความเป็นคนเช่นนั้นที่จะยังมีเวลาขบขันอยู่หรือ? เมื่อครู่หนานกงเย่ยังรู้สึกยินดีอยู่ในใจแต่ในเวลานี้กลับหมองเศร้ายิ่งนัก

อู๋กั่วพยักหน้าแล้วเดินตามฉีเฟยอวิ๋นไปด้านหน้า

จากนั้นหนานกงเย่ก็เดินตามไป ผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินไปทางเมืองที่พวกเขาเพิ่งโจมตีเอาไว้ได้

อวิ๋นเซวียนอี้อารมณ์เสียเล็กน้อย นั่นคือภรรยาเขา

หมอทหารน้อยผู้นี้ทำเกินไปแล้ว

อวิ๋นเซวียนอี้เดินเข้าไปตามอู๋กั่วจากนั้นยื่นมือออกไปจับมือของอู๋กั่วเอาไว้: “เดินช้าลงหน่อยไม่ต้องรีบร้อน เจ้าน้องชายมีหน้าที่ดูแลหนานกงเย่โดยเฉพาะ เจ้าอย่าได้ตามติดเจ้าน้องชายอยู่ตลอดเวลา”

อู๋กั่วไม่เข้าใจจึงได้โต้กลับทันทีว่า: “ตอนนี้เจ้าน้องชายเสียใจเนื่องจากสูญเสียอาจารย์ ข้าปลอบเขาท่านพี่มิต้องตามข้ามา”

อู๋กั่วออกจากอวิ๋นเซวียนอี้แล้วก้าวเดินไป ฉีเฟยอวิ๋นได้หยุดร้องไห้แล้วและเดินเร็วนัก นางกำลังพยายามสงบสติอารมณ์ลงและไม่ให้อารมณ์ส่งผลต่อตัวนางเองเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงให้เกิดความล่าช้า

อู๋กั่วมองไปยังคนผู้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้จึงได้ยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของฉีเฟยอวิ๋นทีหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นมองดูอู๋กั่วจากนั้นอู๋กั่วแนบชิดเข้าไปและกระซิบที่หูของฉีเฟยอวิ๋นว่า: “เจ้าอย่าได้ร้องไห้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นไม่ต้องคิดจริงจัง ข้ามักจะฝันว่าเจ้าหอตายแล้วก็มีเวลาทึ่ร้องไห้ตื่นขึ้นมา แต่ทุกครั้งที่ข้าตื่นขึ้นก็พบว่าเขานั้นอยู่ดี ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยสักนิด

ความฝันล้วนเป็นสิ่งปลอม บางครั้งฝันร้ายแต่ความจริงนั้นก็ยังดี”

การกระทำของอู๋กั่วทำให้อวิ๋นเซวียนอี้ไม่พอใจโดยแท้จริงจึงได้กัดริมฝีปากจากนั้นอวิ๋นเซวียนอี้สะดุดล้มลงบนพื้น: “อืม!”

อวิ๋นเซวียนอี้ครางเสียงหนึ่งอู๋กั่วจึงหันกลับไปมองบนพื้น เมื่อเห็นอวิ๋นเซวียนอี้ล้มลงก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด

“ท่านพี่!” อู๋กั่วแค้นเคืองที่แต่งงานก็มิใช่แค่วันหรือสองวันแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ตนเองออกเรือนไปได้ มีสามีผู้หนึ่งเหมือนว่าได้สมบัติล้ำค่าเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เชื่อฟังอวิ๋นเซวียนอี้และยังดูแลเป็นอย่างดีและไม่ยอมให้อวิ๋นเซวียนอี้เกิดเรื่องขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย

แม้แต่ในเข้าสนามรบอู๋กั่วยังคงจ้องมองอวิ๋นเซวียนอี้ตาเขม็ง เพียงแค่เห็นสัญญาณที่ไม่ดีอู๋กั่วก็จะพุ่งตัวเข้าไป ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ฆ่าคนได้ในไม่กี่วินาทีเลยโดยตรง

วิธีการนี้ทำให้ศัตรูอกสั่นขวัญแขวนจนทำให้หัวหน้าทัพของเมืองอู๋โยวไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนามอู๋กั่วผู้นี้ แต่ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของอู๋กั่วรู้แค่เพียงว่าอู๋กั่วคือฮูหยินน้อยอวิ๋น รู้ว่าเป็นภรรยาซึ่งเพิ่งแต่งงานกันของอวิ๋นเซวียนอี้

ภายในของเมืองอู๋โยวก็มีคนกล่าวว่าอู๋กั่วเป็นเสือตัวเมียที่คอยปกป้องสามี หากว่ามีผู้ใดก็ตามต้องการที่จะทำร้ายอวิ๋นเซวียนอี้นางก็จะไม่ยอมปล่อยไป เลือดไม่ไหลดังแม่น้ำไม่ยอมรามือ

อู๋กั่วรีบพยุงอวิ๋นเซวียนอี้: “ท่านพี่!”

อวิ๋นเซวียนอี้กลัวว่าอู๋กั่วจะตกใจนักจึงค่อยๆลุกขึ้นแกล้งทำเป็นยังลุกขึ้นไหวแล้วพิงอู๋กั่วโดยที่อวิ๋นเซวียนอี้กล่าวว่า: “ต้องเป็นเพราะการโจมตีอย่างต่อเนื่องร่างกายจึงรับไม่ไหวซะแล้ว”

แววตาอันคลุมเครือของอวิ๋นเซวียนอี้และใบหน้าอู๋กั่วแดงก่ำ เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำก่อนที่จะเริ่มออกรบก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“เช่นนั้นท่านลุกขึ้นตอนนี้ข้าจะพยุงท่าน?” อู๋กั่วเป็นกังวลยิ่งนักและก็เชื่อฟังมากขึ้นด้วย

อวิ๋นเซวียนอี้ชื่นชอบอู๋กั่วยิ่งนัก นางเป็นผู้หญิงที่งดงามและมีนิสัยที่ดี เฉยชาต่อผู้คนภายนอก ดุร้ายต่อศัตรู มีน้ำใจต่อคนในจวนกั๋วกงและเชื่อฟังทำตามเขา

อวิ๋นเซวียนอี้พยักหน้าแล้วลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นวางมือไว้บนไหล่ของอู๋กั่วให้อู๋กั่วประคองเขาเดิน ทั้งสองคนหนึ่งโอบไหล่และอีกคนหนึ่งโอบเอวแล้วประคองกันเดินไปด้านหน้าพร้อมกับพวกเขา

ฉีเฟยอวิ๋นยังสังเกตเห็นอาการแปลกๆของอวิ๋นเซวียนอี้เล็กน้อยดังนั้นจึงไม่ได้เข้าไปถามว่าดีหรือไม่ดี ต้องการให้ตรวจดูหรือไม่

หันหลังกลับแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เดินต่อไป เดิมทีหนานกงเย่คิดที่จะไปดูฉีเฟยอวิ๋นแต่ถูกหวาชิงขวางเอาไว้

“ท่านอ๋อง พวกเราเข้าเมืองมีแผนการอะไรบ้าง?”

หวาชิงไม่ชอบอันเสี่ยวฮวนผู้นี้มากนัก ฉีเฟยอวิ๋นเป็นพระชายาเย่นางต้องเคารพเป็นเรื่องปกติ แต่อันเสี่ยวฮวนถือว่าเป็นอะไร?

หมอทหารตัวเล็กๆผู้หนึ่งแล้วยังเป็นบุรุษอีกด้วย

เช่นนี้ไม่ได้เป็นแน่

แม้ว่าหนานกงเย่จะชอบบุรุษนางก็จะไม่ยอมแพ้

“เรื่องนี้ข้าได้จัดการเอาไว้แล้ว พักผ่อนกันเสียก่อน ทิ้งกองทัพส่วนหนึ่งไว้ในเมือง ส่วนที่เหลือจะตั้งค่ายอยู่นอกเมือง หากว่าแม่ทัพน้อยมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจก็ถามท่านอ๋องหย่งจวิ้นได้”

หนานกงเย่รำคาญ เห็นฉีเฟยอวิ๋นแบกหีบยาเดินไปด้านหน้าผู้เดียวเขาก็แอบรู้สึกเจ็บปวดใจ

คงจะเป็นผู้ที่สำคัญนัก มิเช่นนั้นก็คงจะไม่เศร้าใจถึงเพียงนี้

หนานกงเย่เดินไปยังด้านข้างของฉีเฟยอวิ๋น: “หากว่าต้องการจะร้องไห้จริงๆก็ร้องเถอะไม่มีผู้ใดเห็น ข้าจะพาเจ้าไปร้องไห้ด้านหน้า”

ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะร้องไห้จริงๆ นางกำลังจัดการกับอารมณ์แต่ว่ายังจัดการไม่เรียบร้อย

ที่จริงแล้วแยกจากกันกับอาจารย์มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่แยกจากกันแล้วก็ไม่เคยพบเจอกันอีกเลย แม้ว่าจะเป็นในช่วงเทศกาลฉีเฟยอวิ๋นก็จะไม่โทรศัพท์หาและอาจารย์ก็จะไม่มาหานางด้วย

แต่อย่างน้อยคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้พบหน้ากันครั้งเดียวก็ไม่อยู่เสียแล้ว

นางไม่ใช่ก่อนหิน เหตุใดจะไม่เศร้าเสียใจ?

“ข้าไม่เป็นไร ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นกังวล” ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดดวงตาอีก

หนานกงเย่กล่าวอย่างเย็นชาว่า: “เจ้าร้องไห้เช่นนี้ข้าก็ไม่ได้ตาบอด จะไม่สนใจได้เช่นไร?”

หวาชิงตามอยู่ด้านหลังด้วยจิตใจอันหนักอึ้ง ทำเช่นไรดีหล่ะ?