DND.863 – เจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง
บางกลุ่มโจรเล็กๆในเมืองส่วนนอกเริ่มกระวนกระวายเพราะพวกเขาอยากจะแก่งแย่งเหล่าคนจากกลุ่มสามสังหาร
ในวันก่อนกลุ่มสามสังหารมิเพียงเสียหัวหน้ากลุ่มที่เป็นจ้าวเทวะไป พวกเขายังเสียรองหัวหน้าที่เป็นภูติระดับเก้าและสมาชิกที่แข็งแกร่งไปอีกร้อยคน ยอดฝีมือชั้นดีหลายคนในกลุ่มตายเพราะถูกไฟคลอก
ในเวลานี้หากกลุ่มสามสังหารที่เหลือพยายามต่อต้านกลุ่มโจรเล็กๆที่เข้าบุก พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสงคราม บอกได้เลยว่าในอนาคต เมืองส่วนนอกจะกลับมาในสถานะอดีตที่มีกลุ่มโจรมากมาย ซึ่งไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เมืองส่วนในต้องการ พวกเขาจะกำจัดได้ทุกเมื่อ เมืองส่วนนอกจะกลับมารับฟังคำสั่งอีกครั้ง
จะไม่มีกลุ่มสามสังหารที่แข็งแกร่งกุมอำนาจอยู่อีกต่อไปแล้ว
ซือหยูผู้อยู่เบื้องหลังเรื่อวราวทั้งหมดไม่สนใจนักเขาเพียงแค่บ่มเพาะพลังอย่างสงบในร้านตงหลิน
เมื่อเขากลับมาเขาพยายามหลายครั้งที่จะกำจัดคำสาปหน้าผี แต่เขาก็ล้มเหลว
เมื่อไร้ทางเลือกเขาทำได้แค่เริ่มบ่มเพาะวิชาลับห้าธาตุ หากบ่มเพาะสำเร็จทั้งหมดเมื่อใด เขาจะสามารถควบคุมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้
หลังจากเขาบ่มเพาะมาทั้งคืนเขาบ่มเพาะอักษรอสูรได้อีกสองตัว เท่ากับว่าเขาบ่มเพาะมาทั้งหมดสี่อักษร
ตราบเท่าที่บ่มเพาะต่อไปเขาจะใช้พลังหนึ่งในสิบของคุกเทวะห้าธาตุได้เมื่อเข้าใจมากกว่าร้อยอักษร ยิ่งไปกว่านั้น พยังเพียงหนึ่งในสิบก็มากพอแล้วที่ซือหยูจะไร้เทียมทานเมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มีพลังน้อยกว่าอสูรเนรมิตร
เช้าวันต่อมา…
ฉิงหลิวกับหยิงหลวนรอจนรุ่งสางแล้วกลับมาที่ร้านตามที่ซือหยูบอกทั้งคู่เดินทำความสะอาดร้านที่ยุ่งเหยิง ทั้งยังซ่อมแซมชั้นที่พัง
หลังจากผ่านวิกฤติมาได้ทั้งสองคิดว่าโอกาสนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ เพราะเจ้าของร้านซือของพวกเขามิเพียงแค่ใจกว้าง เขายังเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย!
หยิงหลวนรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครเพราะซือหยูสามารถบุกเข้ามายังฐานของกลุ่มสามสังหารและช่วยพวกนางทุกคนเขาต้องมีพลังมหาศาลถึงจะทำเช่นนั้นได้ นางกำลังตั้งหน้าตั้งตารออนาคตและเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะได้รู้จากซือหยู
“เจ้าของร้านซือโอสถของเราถูกพวกมันขโมยไปหมด เราจะทำอย่างไรดี?”
ฉิงหลิวถาม
หลังจากฉิงหลิวและหยิงหลวนเก็บกวาดร้านจนเสร็จทั้งคู่เดินไปที่หลังร้าน ซือหยูไม่ได้สนใจโอสถที่ไม่มีค่าเหล่านั้น เขาจึงพูด
“ข้าไม่สนใจพวกมันต่อให้ไม่มีขายก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวอีกไม่กี่วันจะมีโอสถใหม่ขายที่นี่ พวกเจ้าพักจนถึงตอนนั้น”
ฉิงหลิวผงะไปข้างหลังหยิงหลวนพูดด้วยความกังวลใจ
“เจ้าของร้านซือทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ร้านโอสถจะต้องมีโอสถขาย”
ซือหยูเลิกคิ้ว
“หา?ทำไมกัน?”
หลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานมาหยิงหลวนมิได้พูดติดขัดอีก นางพูดอย่างลื่นไหล
“ตามกฎร้านโอสถของตำหนักโลหิตไม่มีร้านใดได้รับอณุญาตให้ชั้นร้าง มิเช่นนั้นเจ้าของร้านจะถูกไล่ออก!”
ซือหยูตกใจ
“ทำไมข้าไม่เคยรู้เรื่องกฎนี้เลยล่ะ?”
หลังจากที่เขามาที่นี่เขาเรียนรู้ทุกอย่างในเรื่องการทำงานที่ร้านขายโอสถ แต่เขาไม่เคยอ่านเจอกฎข้อนี้! เพราะตำหนักโลหิตเพียงแค่สนใจเรื่องกำไรเท่านั้น มันไม่มีรายละเอียดที่กล่าวว่าเจ้าของร้านจะบริหารร้านอย่างไร
“นี่เป็นกฎที่ตั้งจากงานชุมนุมร้านโอสถ…”
หยิงหลวนบอก
“ปีที่แล้วเจ้าของร้านเฟยให้เจ้าของร้านโอสถคุยเรื่องกฎข้อนี้และตอนนี้ก็ไม่มีร้านใดที่จะปล่อยร้านให้ว่างได้เพราะมันสิ้นเปลืองทรัพยากรของตำหนักโลหิต ถ้ามีคนถูกพบว่าไม่ตามกฎข้อนี้ เจ้าของร้านผู้นั้นจะถูกปลดประจำการ ผู้จัดการใหญ่เองก็เห็นด้วย มันเลยเป็นกฎอย่างเป็นทางการไปแล้ว”
หยิงหลวนพูดต่อ
“ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าของร้านตงหลินคนก่อนเอาแต่บ่มเพาะพลังเพราะรู้สึกว่าร้านนี้ขายไม่ดีเขาคิดจะรอจนหมดเวลาก่อนจะกลับไป เขาเลยไม่ได้สนใจเรื่องร้านเลย สุดท้ายก็ไม่มีโอสถวางขายไปห้าวัน”
หยิงหลวนพักและพูดต่อ
“พอเจ้าของร้านอื่นรายงานเรื่องออกไปเจ้าของร้านคนนั้นก็ถูกลงโทษอย่างหนัก เขาถูกปลดจากหน้าที่และถูกไล่กลับตำหนัก”
ซือหยูเลิกคิ้วเขาไม่สนใจเรื่องร้านก็จริง แต่สถานะเจ้าของร้านจำเป็นสำหรับเขา เห็นทีว่าเขาจะต้องทำตามกฎข้อนี้ด้วย
“อืมแล้วข้าจะไปหาโอสถมาขายจากที่ไหน?”
ซือหยูถามร้านโอสถเล็กๆไม่น่าจะมีเงินพอที่จะจ้างนักปรุงยา ร้านน่าจะรับซื้อโอสถมาขายผ่านผู้ค้าส่ง
หยิงหลวนยิ้มและวิ่งไปที่โต๊ะนางหยิบบันทึกบัญชีออกมา ช่องทางการซื้อขายของเจ้าของร้านในอดีตถูกบันทึกเอาไว้ เช่นเดียวกับชื่อของผู้ค้าส่งและที่อยู่
ซือหยูเห็นว่าผู้ค้าส่งของร้านตงหลินตั้งอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าบ้านจันทร์กระจ่างเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างนั้นค้าส่งให้ร้านตงหลินมาหลายปี พวกเขามิได้ปรุงโอสถขึ้นเองและรับซื้อมาจากอีกแห่งที่เรียกว่าพันธมิตรปรุงยา
พันธมิตรปรุงยาคือเหล่านักปรุงยาจากโรงประมูลเทียนหยานั่นหมายความว่าคนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรย่อมเป็นนักปรุงยา คนที่มีความสามารถต่ำสุดเป็นถึงนักปรุงยาชั้นกลาง ยังมีนักปรุงยาชั้นสูงอยู่หลายคน มีนักปรุงยาใหญ่อยู่สองคนที่สามารถปรุงโอสถที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้
โอสถที่ยอดเยี่ยมนั้นคือโอสถที่จ้าวเทวะใช้ได้ขั้นตอนการปรุงนั้นยากเป็นอย่างมาก มันยากยิ่งกว่าโอสถวิญญาณที่ภูติใช้ แม้ว่าโอสถยอดเยี่ยมกับโอสถวิญญาณจะต่างกันแค่คำเดียว ผลของโอสถก็ต่างกันมหาศาล
ทักษะของซือหยูตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะปรุงโอสถเหล่านั้นมิใช่ว่าเขาขาดประสบการณ์ แต่สิ่งสำคัญคือการขาดพลังดวงวิญญาณ ขั้นตอนการปรุงโอสถขั้นที่สูงกว่านั้นมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
ในขั้นตอนการปรุงผู้ปรุงจะต้องไม่สัมผัสกับสิ่งที่จับตจ้องได้ ขั้นตอนการปรุงเข้มงวดอย่างมาก แม้แต่มนุษย์ที่ไม่บริสุทธิ์ก็มิอาจสัมผัสแตะต้อง นั่นก็เพราะถ้าหากมือที่ไม่สะอาดได้สัมผัสระหว่างขั้นตอน หม้อปรุงอาจจะระเบิดได้!
นั่นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่แน่นอนและเมื่อใช้การสัมผัสด้วยมือหรือสิ่งอื่นได้ สิ่งเดียวที่ต้องใช้ก็คือพลังดวงวิญญาณ
ดังนั้นแล้วการปรุงจะต้องใช้วิญญาณควบคุมทุกขั้นต้น มันคือการใช้วิญญาณที่ยากและซับซ้อน ถ้าหากดวงวิญญาณแข็งแกร่งไม่พอหรือไม่ผ่านการฝึกมาเป็นระยะเวลานาน ผู้ปรุงก็จะใช้วิญญาณได้ผิดพลาดระหว่างการปรุง
นี่เป็นเหตุให้นักปรุงยาใหญ่เป็นทรัพยากรล้ำค่าที่แม้แต่เมืองใหญ่อย่างเมืองเทียนหยามีแค่สองคน!นักปรุงยาใหญ่ในดินแดนพรสวรรค์นั้นมีเพียงหยิบมือเดียว มันมีไม่ถึงสิบคน
ตำหนักโลหิตมีอยู่สามตำหนักเมฆาม่วงก็มีสาม ส่วนอีกสองคนนั้นเป็นผู้บ่มเพาะอิสระที่ไม่มีพันธะกับที่ใด พันธมิตรปรุงยานั้นมีสองนักปรุงยาใหญ่เป็นเสาหลัก
ทั้งสองได้สร้างสำนักที่เป็นกลางที่ทำหน้าที่ด้านการปรุงยาเพียงอย่างเดียวนักปรุงยาของพันธมิตรจะต้องส่งโอสถทั้งหมดขึ้นตรงกับพันธมิตร
พันธมิตรไม่อยากจะค้าขายผ่านร้านและไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกค้าอีกด้วยพวกเขาเลยจัดการเรื่องนี้ผ่านพ่อค้าที่รู้จักกัน พ่อค้าเหล่านี้มักจะเป็นมิตรสหายหรือญาติของนักปรุงยาของพันธมิตร
หลังจากนั้นเหล่าพ่อค้าจะขายโอสถไปยังทุกมุมในดินแดนพรสวรรค์ พ่อค้าเหล่านี้เรียกว่านายหน้าค้าโอสถ พวกเขามีชีวิตโดยขึ้นอยู่กับพันธมิตรปรุงยา หากพันธมิตรปรุงยาล่มสลาย พวกเขาก็ไม่มีทางเลี้ยงชีวิตอยู่ได้
“บ้านจันทร์กระจ่าง…เจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง…”
ซือหยูอ่านชื่อเหล่านั้น
ร้านตงหลินนั้นเล็กและไม่ต้องการโอสถปริมาณมากซือหยูไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องไปหานายหน้าเหล่านั้นและซื้อโอสถจากคนที่เรียกว่าเจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง ซือหยูถูกบังคับให้ไปแม้จะไม่ชอบใจนัก เขาจำเป็นต้องไปซื้อโอสถมาเติมในร้าน
“พวกเจ้าพักได้ข้าจะไปซื้อโอสถกลับมา”
หลังพูดจบซือหยูออกจากร้านตงหลินและมุ่งหน้าไปที่บ้านจันทร์กระจ่าง
บ้านจันทร์กระจ่างเป็นเพียงบ้านธรรมดาๆที่มีสวนหนึ่งแห่งในเมืองส่วนในแต่มันคือทางเลือกที่มีหากเจ้าของร้านโอสถคนใดจะซื้อโอสถ เมื่อซือหยูกำลังจะเดินเข้าบ้าน เขาก็ได้เห็นสตรีที่ใบหน้าคุ้นเคย เขาหยุดเดิน
สตรีงดงามสวมชุดสีเขียวยืนอยู่หน้าทางเข้าสวนนางดูงดงามและสง่างาม ฝีเท้าของนางเบาราวกับแมว
ครึ่งก้าวด้านหลังนางคือปราชญ์วัยกลางคนเขาเดินตามนางอย่างใกล้ชิดและยิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดกับนาง
“แม่นางลู่ไม่ต้องเครียดหากโอสถเช่นนั้นมาจากพันธมิตรปรุงยา ท่านก็เป็นคนแรกที่จะได้ข่าวของมัน ข้าเป็นหนึ่งในสามนายหน้าใหญ่ของพันธมิตรที่ทำงานร่วมกับพันธมิตรปรุงยา ข้าเชื่อว่าถ้าพวกเขาอยากจะขายโอสถเช่นนั้น พวกเขาย่อมบอกข้าและบอกให้ข้าขายก่อน…”
เขากล่าว
ลู่จือยี่ขมวดคิ้วนางพยักหน้าเบาๆก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ข้าแค่อยากจะลองเสี่ยงดูเจ้าไม่ต้องสนใจมากนัก ขอโทษที่รบกวนเจ้า”
เมื่อพูดจบนางกำลังจะเดินออกจากบ้านจันทร์กระจ่าง แต่ในตอนนั้นเองนางก็เหลือบเห็นคนผู้หนึ่งยืนอย่างใจเย็นอยู่ที่มุมนอกสวน
นางตัวสั่นและเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขานางมองเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
นั่นมันเขา!ภาพชายหนุ่มผมสีเงินปรากฏในใจ เขาผู้เด็ดเดี่ยว อบอุ่น ใจดี และลึกลับ และเขายังเป็นบุรุษที่พรากครั้งแรกของนางไป
เงาที่นางเห็นในหางตานั้นคล้ายกับภาพซือหยูในใจบรรยากาศของบุรุษทั้งสองเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อนางมองไปอีกครั้ง คนที่นางเห็นกลับเป็นชายแก่ผมขาว!
ชายผู้นี้มีผมหงอกขาวปลิวไสวตามแรงลมแม้จะดูแก่เฒ่า เขาก็ยืนตรงตระหง่าน เขาดูไม่เหมือนคนจากจิวโจว
โอ้…ไม่ใช่หรอกรึ!ลู่จือยี่ตกใจกับความแตกต่างของรูปลักษณ์ แม้ว่าบรรยากาศจะคล้ายกันมากในความคิดของนาง
ซือหยูหันไปมองลู่จือยี่เขามีความคิดที่จะตรงเข้าไปเผยตัวกับนาง แต่เขาก็รู้ว่าทำไม่ได้
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแก่เฒ่าเขาถาม
“แม่นางมองข้าเพราะมีเรื่องจะถามงั้นหรือ?”
ลู่จือยี่กลับมาได้สติและส่ายหน้านางกำลังเหม่อลอย จากนั้นนางจึงชายตามองซือหยูและสาวเท้าเดินออกไป
“ข้าไม่…”
นางมิอาจพูดต่อได้เมื่อพบสายตาของเขานางพบว่าแววตาของบุรุษทั้งสองคล้ายกันจนเกินไป ดวงตานั้นกว้างใหญ่ดุจดั่งนภาเปี่ยมดารา มันคือดวงตาที่เหมือนกับซือหยู!
เขายังมีเสน่ห์ที่พิเศษที่ทำให้คนรอบข้างเหม่อลอยเหมือนกับชายอีกคนชายทั้งสองมีบรรยากาศอันลึกลับ ยากที่นางจะลืมทั้งซือหยูและชายแก่ผู้นี้ไปได้
ทั้งหมดทั้งมวลทำให้นางมิอาจหยุดคิด…เป็นไปได้รึที่จะมีคนสองคนที่คล้ายกันเช่นนี้อยู่บนโลก?
หัวใจของลู่จือยี่ยุ่งเหยิงนางคิดในใจอยู่นานและถามเบาๆ
“เจ้ารู้จักคนที่ชื่อหยินหยูหรือไม่?”
นามเดียวของซือหยูที่นางรู้ก็คือ‘หยินหยู’ ที่เป็นนามที่ซือหยูใช้ที่กระโจมเทพสวรรค์ ซือหยูเผยรอยยิ้มและส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้จักเขาข้าชื่อซือหยูเซี่ยน แม่นาง เขาเป็นอะไรกับแม่นางรึ?”
ไม่ใช่รึ?มันก็ต้องไม่ใช่น่ะสิ! มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว! นี่จะต้องเป็นความคิดโง่ๆของเด็กหญิง…ลู่จือยี่ทำได้แค่หัวเราะเยาะตัวเอง นางหน้าแดงและขอโทษเขา
“เขาก็แค่คนที่ข้าเคยรู้จักขอโทษที่รบกวนเจ้า”…..novel-lucky
หลังพูดจบสีหน้าของนางดูผิดหวัง นางก้าวออกไปบนสายลมทะยานขึ้นฟ้า นางสง่างามราวกับผีเสื้อและหายไปในขอบนภาสีครามในไม่นาน
ซือหยูถอนหายใจยาวเมื่อมองนางที่บินหายหลังจากเก็บความรู้สึกทั้งหมด เขาเดินเข้าไปในสวนที่เขาได้เจอกับปราชญ์วัยกลางคนที่เดินมาส่งลู่จือยี่
นี่บ้านเขารึ?ซือหยูเพิ่งจะคิดได้ว่าชายตรงหน้าอาจเป็นเจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง
“ข้าชื่อซือหยูเซี่ยนเป็นเจ้าของร้านตงหลินคนใหม่ ข้ามาที่นี่เพื่อพบเจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง”
ซือหยูยิ้มจางๆ
เมื่อได้ฟังสีหน้าของเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างที่ดูนับถือเมื่อก่อนหน้านี้แข็งทื่อ เขายืนนิ่ง รอยยิ้มหายไปเมื่อมองซือหยู
เขายิ้มเยาะที่มุมปาก
“ข้าก็สงสัยอยู่พอดีว่าเจ้าของร้านคนใหม่เป็นใคร…เจ้าของร้านคนใหม่คือซือหยูเซี่ยนที่กำลังดังอยู่นี่เอง…”
ซือหยูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถากถางเขาพยายามจะคิดว่าเขาทำให้ชายคนนี้โกรธเมื่อใด!
“พูดมา!เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างซ่อนมือทั้งสองไว้ในชายเสื้อเขาแสร้งยิ้มถามราวกับสั่งว่าทำไมซือหยูจึงมาที่นี่
ซือหยูขมวดคิ้วมองเจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง
“เจ้าไม่คิดจะขายโอสถให้ข้าสินะ”
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างยิ้มที่มุมปากอีก
“หึหึมิใช่ว่าข้าไม่อยากขาย แต่ข้าก็แค่ไม่กล้า! เจ้าของร้านซือผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านที่กล้าเผชิญหน้าแม้แต่เจ้าของร้านเฟยขณะที่ข้าได้แต่หวาดกลัว ข้าจะกล้าค้าขายกับท่านได้ยังไงเล่า?”
ทั้งหมดเป็นฝีมือเจ้าของร้านเฟย!ซือหยูเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมร้านโอสถ ซือหยูไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกปอกลอกและฉีกหน้าเจ้าของร้านเฟยต่อหน้าทุกคน!
เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าของร้านเฟยจะใจแคบจนมาสร้างปัญหาให้กับเขา!เพราะร้านกลิ่นสวรรค์ของเจ้าของร้านเฟยนั้นเป็นลูกค้าคนสำคัญของเจ้าบ้านจันทร์กระจ่าง ร้านตงหลินของซือหยูมิอาจเทียบได้ ถ้าเจ้าของร้านเฟยห้ามเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างไม่ให้ขายโอสถกับซือหยู มันก็เป็นคำขอที่น่าฟัง!
แต่เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างกลับเยาะเย้ยซือหยูเพื่อกรีดแผลให้ลึกลงไปเพื่อทำให้เจ้าของร้านเฟยพอใจกว่าเดิมนั่นแสดงว่านิสัยของเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างไม่น่าคบเท่าใดนัก
หากพูดมาถึงขั้นนี้ซือหยูไม่คิดจะถูกถากถางอีก เขาเพียงแค่หันจากไป
“ช้าก่อน!”
สีหน้าของเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างเยือกเย็น
“ก่อนเจ้าจะไปเจ้าต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดของงเจ้าเสียก่อน!”
ซือหยูรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วจากการดูบันทึกบัญชีเขาพบว่าเจ้าของร้านคนก่อนๆเหลือหนี้เอาไว้จำนวนหนึ่ง เขาต้องซื้อโอสถผ่านสินเชื่อเป็นจำนวนแก้วหนึ่งร้อยดวง การจ่ายหนี้คืนค้างชำระมาจนถึงตอนนี้เพราะร้านตงหลินไม่มีเจ้าของร้านคนใหม่มาจัดการก่อนที่ซือหยูจะมาถึง
ซือหยูเรียกแก้วร้อยดวงงออกมาเมื่อซือหยูรับตำแหน่งเจ้าของร้าน เขาก็ย่อมต้องจ่ายหนี้นี้!
แต่เจ้าบ้านนจันทร์กระจ่างยังคงมีไพ่ซ่อนเอาไว้อีกเขาไม่ได้คิดจะรับการจ่ายหนี้ครั้งนี้ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจแรง
“ร้อยดวง!เจ้าล้อข้าเล่นเรอะ?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“อะไรของเจ้า?หนี้ไม่ใช่แค่หนึ่งร้อยรึ?”
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างถอนหายใจแรงกลับ
“มันร้อยเมื่ออดีตแต่ตอนนี้มันหนึ่งหมื่นแล้ว! ทหาร!”
ฟึ่บ!
สวนถูกทหารจำนวนมากบุกเข้ามาในทันทีทุกคนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งและเป็นภูติระดับหก
ซือหยูรู้ตัวแล้ว
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างตอบอย่างใจเย็น
“การซื้อด้วยสินเชื่อมีดอกเบี้ยอยู่ด้วยปีก่อนคือหนึ่งร้อย แต่ตอนนี้เป็นหนึ่งหมื่น ถ้าเจ้าไม่จ่ายในวันนี้ก็อย่าคิดว่าจะรอดออกไปได้! เจ้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะจ่ายได้ครบ!”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาสมคบคิดกับเจ้าของร้านเฟยเพราะในวันที่ซือหยูไม่กลับไป ร้านตงหลินย่อมเปิดไม่ได้ และถ้าหากร้านตงหลินไม่ได้ค้าขายเกินห้าวัน เขาจะถูกริบตำแหน่งเจ้าของร้านคืนไปด้วย!
ซือหยูเก็บแก้วพลังงของตัวเองสายตาของเขาเยือกเย็น ถึงแม้ว่าเจ้าบ้านจันทร์กระจ่างจะไม่อยากขายโอสถ เขาก็ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องซือหยู เขามีสิทธิ์เลือกหนทางที่มีผลกำไรมากกว่า และซือหยูก็จะไม่บังคับอีกฝ่าย
แต่ถ้าหากเขาพยายามจะทำร้ายซือหยูโดยเจตนาเพื่อช่วยเหลือคนชั่วเรื่องนี้มันก็ต่างออกไป!
“เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหม?”
ซือหยูถามอย่างใจเย็น
เจ้าบ้านจันทร์กระจ่างถอนหายใจแรง
“ถึงขั้นนี้เจ้ายังใจเย็นอยู่ได้ช่างน่านับถือจริงๆ ทหาร จับมัน!”
กลุ่มคนรับใช้ล้อมซือหยูซือหยูเพียงมองเจ้าบ้านและพยักหน้า
“ก็ได้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องการอะไร ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…หวังว่าเจ้าคงจะไม่ผิดหวัง…”