ภาคแยก | บทที่ 20 แต่งตั้งสนม

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

ภาคแยก 4 : Bless his cotton socks!

(ขอพระเจ้าอำนวยพร)

ลูซิโอกำลังมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความโกรธออกมา แต่เมื่อใดที่เขาแสดงให้เห็นก็นับว่าน่ากลัวพอสมควร ทันใดนั้นฝีเท้าของเขาก็หยุดลง เขาเอ่ยถามนางกำนัลที่อยู่หน้าประตูเสียงค่อย

“จักรพรรดินีอยู่ข้างในหรือไม่”

ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าห้องของแพทริเซียในตำหนักจักรพรรดินี ครั้นเห็นสีหน้าโกรธขึ้งของจักรพรรดิ นางกำนัลก็หวาดกลัวจนไม่กล้าตอบ ลูซิโอถอนหายใจยาวทีหนึ่งก่อนจะผ่อนคลายสีหน้า เดี๋ยวต้องเจอริซซี่แล้ว ทำสีหน้าแบบนี้คงไม่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ต้องระมัดระวังท่าทีไม่ใช่อีกฝ่าย แต่เป็นเขาต่างหาก ลูซิโอเปลี่ยนสีหน้าเป็นอ่อนโยนในพริบตาแล้วเอ่ยถามนางกำนัลอีกครั้ง

“เราถามว่าจักรพรรดินีอยู่ข้างในหรือไม่”

“ยะ อยู่กับมาร์เชอเนสมีร์ยา พรินสกีเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ”

ขณะกำลังจะเอ่ยปากว่า ‘แจ้งไปว่าเรามา’ ตามความเคยชิน ลูซิโอก็เปลี่ยนใจยั้งปากไว้แล้วถามนางกำนัล

“ตอนนี้จักรพรรดินีเป็นอย่างไรบ้าง”

“เพคะ?”

“เราหมายถึงอารมณ์ของนางเป็นอย่างไร นางรู้เรื่องในที่ประชุมขุนนางเมื่อเช้าหรือไม่”

เมื่อถามมาถึงตรงนี้ลูซิโอก็นึกเสียใจขึ้นมา ช่างเป็นคำถามที่สิ้นคิดนัก คนฉลาดอย่างนางไหนเลยจะไม่รู้ พวกนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีคงรายงานนางแล้ว ลูซิโอเผยสีหน้าประหม่า จากนั้นเขาก็ได้ยินคำตอบจากนางกำนัลซึ่งช่วยยืนยันความคิดของเขา

“พระจักรพรรดิทรงได้รับรายงานการประชุมขุนนางเสมอเพคะ ฝ่าบาท”

“เฮ้อ…”

ลูซิโอถอนหายใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าตนควรจะเข้าไปหรือไม่ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันเคร่งขรึมขึ้นราวกับตัดสินใจได้แล้ว

“บอกนางว่าเรามา” เขากล่าวกับนางกำนัล

“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”

ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงของแพทริเซียดังมาจากในห้องว่า ‘เชิญเสด็จ’ ลูซิโอสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไปด้วยท่าทีที่เป็นปกติที่สุด

เมื่อเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือจักรพรรดินีแสนสวยของเขา ตามด้วยมีร์ยาที่อยู่ด้านข้างรวมถึงนางกำนัลคนอื่นๆ เมื่อแพทริเซียเห็นลูซิโอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง

“ถวายบังคมฝ่าบาท สุริยันผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ”

“ไม่สบายหรือ สีหน้าดูไม่ดีเลย”

“…ทุกคนออกไปก่อน”

สิ้นเสียงออกคำสั่งเบาๆ ของแพทริเซีย เหล่านางกำนัลก็ถอยกายออกไปทันที และแล้วในห้องก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน ลูซิโอนั่งลงข้างแพทริเซียเงียบๆ มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล แพทริเซียเบนหน้าหนีเล็กน้อยราวกับสายตานั้นทำให้รู้สึกลำบากใจ

“เดี๋ยวหน้าหม่อมฉันก็ทะลุกันพอดีเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียว่า

“…ได้ยินว่าเจ้ารู้เรื่องที่คุยกันในที่ประชุมขุนนางแล้ว”

“เพคะ” แพทริเซียตอบเสียงเรียบ “ที่ประชุมเสนอให้ฝ่าบาทรับสนมเพราะหม่อมฉันเป็นหมันใช่ไหมเพคะ”

“…เราจะผัดไปก่อน”

“ฝ่าบาท”

แพทริเซียยิ้มบางๆ และกุมมือทั้งสองข้างของลูซิโอไว้ ทำให้ร่างกายของลูซิโอสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว

นั่นเป็นความรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่เขาไม่สามารถปกป้องนางให้ถึงที่สุด และรู้สึกผิดที่เขาดึงคนรักมาจมปลักเช่นนี้

“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”

“จักรพรรดินี เรา…”

“ฝ่าบาทรักหม่อมฉัน…ใช่ไหมเพคะ”

“…”

“ตอบหม่อมฉันหน่อยเถิดเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ไม่รักหม่อมฉันหรือเพคะ”

“ได้อย่างไร” ลูซิโอตอบด้วยเสียงแหบพร่า “เราจะไม่รักเจ้าได้อย่างไร”

ได้ฟังดังนั้นสีหน้าของแพทริเซียจึงสดใสขึ้น

“เพียงพอแล้วเพคะ ฝ่าบาท แค่นั้นหม่อมฉันก็พอใจแล้ว”

ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็พูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “รับฟังความเห็นของเหล่าขุนนางเถิดเพคะ การรับสนมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

“จักรพรรดินี!” เขาถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจ็บปวด “แล้วเจ้ารักเราบ้างหรือไม่”

“ที่หม่อมฉันพูดแบบนี้ก็เพราะหม่อมฉันรักฝ่าบาทและรักจักรวรรดิที่พระองค์ปกครองอยู่นี้เพคะ ผู้สืบทอดบัลลังก์ต้องเป็นทายาทสายตรงเท่านั้น นั่นก็เพื่อตัวของพระองค์เองหรืออย่างน้อยก็เพื่อจักรวรรดิ หม่อมฉันไม่อยากเห็นเชื้อพระวงศ์สายรองขึ้นเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดินี้เพคะ”

น้ำเสียงของแพทริเซียช่างสงบนิ่ง ฟังผ่านๆ คล้ายปราศจากความรู้สึกใดๆ ลูซิโอได้ยินดังนั้นก็อ้อนวอนอย่างปวดใจ

“อย่าทำเช่นนี้เลย ริซซี่”

“…”

น้อยครั้งที่เขาจะเรียกนางด้วยชื่อเล่น เพราะเขาปฏิบัติกับนางอย่างสุภาพเสมอภายใต้เหตุผลที่ว่าเขาให้เกียรตินาง ดังนั้น นอกจากตอนอยู่บนเตียง แพทริเซียก็แทบไม่ได้ยินเขาเรียกตนด้วยชื่อเล่นเลย

แพทริเซียตกใจเล็กน้อยและเอ่ยเรียกลูซิโอทั้งน้ำตาคลอ

“ฝ่าบาท”

“ริซซี่ ข้าไม่ต้องการ ข้า…ไม่อยากมีสนม”

เขามองแพทริเซียด้วยดวงตาแดงก่ำและออกแรงบีบมือที่จับกันไว้

“ต้องมีวิธีแน่ ข้าจะลองหาวิธีดู”

“…”

แพทริเซียไม่พูดอะไร เพราะนางรู้ดีที่สุดว่าไม่มีวิธีใดอีกแล้ว

นางเป็นหมัน ไม่ว่าจะทำอย่างไร ต้นอ่อนก็ไม่มีวันงอกเงยขึ้นมาบนผืนดินที่แห้งแล้ง เว้นแต่จะพลิกหน้าดินทั้งหมดเสียใหม่

แพทริเซียนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยปากขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“วันนี้เสด็จกลับไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันเพลียเหลือเกิน”

สุดท้ายลูซิโอก็จำต้องออกจากห้องและทิ้งให้แพทริเซียอยู่คนเดียว สีหน้าของเขาตอนออกจากห้องดูเศร้าหมองเหมือนท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยเมฆฝน ทำเอาคนรอบข้างเห็นแล้วสงสารจับใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

‘ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า’

ลูซิโอคิดเช่นนั้น เขาโง่งมมองไม่เห็นความรักที่จริงใจตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้เขาต้องโชคร้าย และความผิดที่เขาเคยทำร้ายคนที่รักก็กลายเป็นบ่วงบาปที่คืนสนอง

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และขอร้องมีร์ยา

“เราจะหาวิธีให้ได้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นฝากเจ้าดูแลจักรพรรดินีให้ดีด้วย”

“เพคะ ฝ่าบาท”

ลูซิโอวางใจได้บ้างเล็กน้อยที่อย่างน้อยก็ยังมีมีร์ยา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนจะกลับตำหนักกลาง ส่วนมีร์ยาก็กลับเข้าไปในห้องทันที ทันใดนั้นนางก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นหลังจากกลับเข้ามา

“ฝ่าบาท!”

แพทริเซียกำลังร้องไห้อย่างเงียบๆ ใช้มือปิดปากตัวเองไว้ราวกับกลัวว่าเสียงจะเล็ดลอดออกไป มีร์ยารีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความตกใจ

“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปหรือเพคะ”

“ฮึก…มีร์ยา” แพทริเซียสะอื้นเบาๆ พลางถาม “ฝ่าบาทเสด็จกลับไปหรือยัง”

“เพคะ ฝ่าบาท พระจักรพรรดิตรัสว่าจะหาวิธีให้ได้ ขอพระองค์อย่าได้กังวล…”

“จะหาวิธีได้อย่างไร ในเมื่อปัญหามันอยู่ที่ข้าตั้งแต่แรก”

เมื่อรู้ว่าลูซิโอกลับไปแล้วแพทริเซียก็วางใจและเริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้น มีร์ยาลูบหลังปลอบโยนแพทริเซียเบาๆ

“ฝ่าบาท อาจจะมีวิธีอยู่จริงๆ ก็ได้เพคะ รวมถึงวิธีรักษาด้วย”

“มีร์ยา หรือข้าไม่ควรรักฝ่าบาทตั้งแต่แรก”

“ฝ่าบาท ตรัสอะไรเช่นนั้นเล่าเพคะ”

มีร์ยาช่วยเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของแพทริเซียด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ ในขณะที่แพทริเซียยังคงส่งเสียงสะอึกสะอื้น

“ข้าทำใจไว้แล้วว่าสักวันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…แต่ข้าคงอ่อนแอเกินไปใช่หรือไม่” แพทริเซียว่า

“อ่อนแออะไรกันเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ทรงเข้มแข็งมากเพคะ”

“ถึงเจ้าจะพูดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ข้าทรมานเหลือเกิน มีร์ยา”

แพทริเซียสะอื้นถามมีร์ยา “ทำไมข้าถึงมีลูกไม่ได้ ข้าก็อยากคลอดลูกของฝ่าบาทเหมือนกันนะ…”

“ฝ่าบาท…”

“ข้าอยากมีลูกชายที่เหมือนกับฝ่าบาท และมีลูกสาวที่เหมือนกับข้า ข้าอยากทำเช่นนั้นเหลือเกิน”

มีร์ยามองแพทริเซียด้วยความเวทนา แม้แพทริเซียจะไม่แสดงออก แต่นางก็รู้ว่าแพทริเซียอยากจะมีลูกมาก ทุกครั้งหลังร่วมหอกับจักรพรรดิ นางจะคอยตรวจนับรอบเดือนว่ามาปกติหรือไม่ เห็นได้ชัดว่านางปรารถนาที่จะมีลูกที่เหมือนจักรพรรดิมากเพียงใด หากเป็นไปได้มีร์ยาก็อยากยกมดลูกของตนให้นางไปเสีย

***

แม้ลูซิโอจะยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่รับสนมแต่เหล่าขุนนางก็เฝ้าทวงถามไม่เลิก แม้กระทั่งมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ บิดาของแพทริเซียก็ยังสนับสนุน ลูซิโอจึงไม่อาจอ้างเพียงเหตุผลที่ว่าเขารักจักรพรรดินีเพื่อที่จะไม่รับสนมได้อีกต่อไป

สุดท้ายเขาก็จำต้องประกาศออกไปว่าเขาจะรับสนม

“…สุดท้ายก็กลายเป็นเช่นนี้สินะ”

หลังจากได้ยินข่าวนั้น แพทริเซียกลับนิ่งเฉยผิดคาด ราวกับที่นางร้องไห้เสียใจอยู่ในอ้อมแขนของมีร์ยาเมื่อไม่นานมานี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เห็นดังนั้นมีร์ยาจึงเริ่มเป็นกังวล แม้ภายนอกจะทำเหมือนไม่เป็นไร แต่ภายในต้องแตกสลายไม่มีชิ้นดีเป็นแน่

มีร์ยาลอบถอนหายใจออกมา

“กำหนดการของวันนี้มีอะไรบ้างหรือ มีร์ยา”

“เสด็จเยี่ยมราษฎรในสลัมเพคะ”

“เช่นนั้นก็เตรียมตัวเถอะ”

แพทริเซียออกคำสั่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะเริ่มอ่านเอกสารตามปกติ มีร์ยาและราฟาเอลามองท่าทีนั้นด้วยความกังวล

การปลอมตัวเยี่ยมราษฎรในสลัมเป็นกิจกรรมอาสาสมัครที่แพทริเซียทำอย่างลับๆ เป็นระยะหลังจากขึ้นเป็นจักรพรรดินี สถานที่ที่แพทริเซียมาเยือนในวันนี้คือ ‘โซเบโท’ สลัมชื่อดังที่ตั้งอยู่รอบนอกของเมืองหลวง ที่นั่นเต็มไปด้วยขอทานและคนยากไร้สมเป็นสลัม หลังจากมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือแล้ว แพทริเซียและนางกำนัลก็นำธัญพืชที่เตรียมมาไปทำโจ๊กธัญพืชหม้อใหญ่และแจกจ่ายให้ชาวบ้านตามลำดับ แม้การแจกจ่ายอาหารนี้มีร์ยาจะขอร้องให้แพทริเซียใช้นางกำนัลไปทำ แต่แพทริเซียก็ยังคงลงมือทำด้วยตัวเองทุกครั้ง

“กินเยอะๆ นะ”

แพทริเซียตักโจ๊กให้กับเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งด้วยตัวเองพลางยิ้มละไม หนุ่มน้อยหน้าตามอมแมมมองปราดเดียวก็รู้ว่าสกปรก แต่แพทริเซียก็ไม่รังเกียจที่จะยื่นมือไปลูบหัวกลมเล็กนั้น แม้จะรู้สึกถึงสายตาตกใจของนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง แต่แพทริเซียก็ไม่พูดอะไรและตักอาหารลงในถ้วยที่ว่างเปล่าของชาวบ้านคนต่อไป

ชาวบ้านคนถัดมาเป็นชายชราคนหนึ่ง มีแผ่นหลังโก่งโค้ง ศีรษะมีผมงอกประปราย แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูเฉียบคม ไม่รู้ทำไมแพทริเซียจึงรู้สึกว่าเคยพบคนผู้นี้มาก่อน พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นถ้วยโจ๊กให้อีกฝ่าย

“ทานเยอะๆ นะคะ ท่านลุง”

“…ก่อนแต่งงาน ท่านใช้นามสกุล ‘โกรเชสเตอร์’ ใช่ไหมขอรับ”

ชายชรารับถ้วยพลางถาม แพทริเซียตกใจกับคำถามเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ

“ใช่ค่ะ”

“จักรพรรดินีแพทริเซีย”

“…”

“ใช่ไหมขอรับ”

หญิงสาวมองชายชราด้วยสีหน้าตกตะลึง คนที่รู้จักตัวตนของนางไม่มีทางมาอยู่ในที่แบบนี้ได้

แพทริเซียถามชายชราเสียงสั่น

“ท่านรู้จักเราหรือ”