บัญชามังกรเดือด บทที่ 766 เรื่องใหญ่แล้ว
หยางหลิวยิ้มพลางเอ่ย “ราชาถงจิ่ง อย่าได้รีบร้อนไปเลย”
“ทำไมฉันถึงเห็นว่าคุณนั้นดูประหม่านัก?”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเรามาคุยกัน จากที่ฉันรู้มา คุณน่ะเพื่อตระกูลฉินแล้วตลอดทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยแต่งงานเลยใช่หรือไม่?”
“ไอหยา เอ่ยถึงเรื่องนี้ตระกูลของพวกเราต้องขออภัยต่อคุณด้วย”
“แต่ทว่าตอนนี้ก็ยังไม่สายไปหรอกนะ ฉันคิดว่าร่างกายของคุณนั้นยังคงแข็งแรงมาก คุณคิดว่ายายแม่มดนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ฉันคิดว่าพวกคุณทั้งสองนั้นเหมาะสมกันมาก ไม่อย่างนั้น—-”
ใบหน้าชราของถงจิ่งแดงก่ำ เอ่ยเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก “คุณหญิง อย่าได้ล้อเล่นกันเลย!”
“ฉันขอตัวก่อน!”
ขณะที่พูด เขานั้นไม่ได้สนใจแล้วว่าหยางหลิวจะฝากสิ่งของอะไร เขารีบจากไปราวกับกำลังหลบหนี
ไหนเล่าจะเป็นการช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่านี่คือการสอดส่องสถานการณ์ของเขา หลังจากที่ครุ่นคิดว่าในอนาคตจะต้องมียายแก่คอยอยู่เคียงข้าง ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าสะอิดสะเอียด
เมื่อเห็นราชาถงจิ่งที่มียศถาบรรดาศักดิ์และขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมรอบคอบวิ่งหนีจากไปเช่นนั้น ใบหน้าของหยางหลิวพลันปรากฏรอยยิ้ม
“ยายแม่มด คู่หูที่ฉันหามาให้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
ยายแม่มดเอ่ยอย่างไร้ยางอาย “อันที่จริงเมื่อมองดูแล้วก็ยังแข็งแรง ไม่รู้ว่าจะทนต่อการกระทำซ้ำไปซ้ำมาได้หรือไม่”
“คุณหญิงไม่รู้อะไร ในตอนที่ฉันยังเป็นหญิงสาววัยละอ่อน ทักษะเอวของฉันนั้นน่าทึ่งมาก”
“ถุย!” หยางหลิวพลันนึกถึงบางสิ่ง ฉับพลันใบหน้าแดงก่ำหัวใจเต้นระนัว เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “แก่แล้วหน้าไม่อาย พูดสองประโยคก็แสดงท่าทีฮึกเหิมเสียแล้ว”
“คุณออกไปเสียเถอะ ฉันจะสวดมนต์”
ยายแม่มดยิ้มร้ายกาจ คุณหญิงที่อยู่ตรงหน้าแม้ว่าจะอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ทว่าคนประเภทนี้นั้นมักจะปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี
อีกทั้งยังมีพื้นฐานที่ไม่เลว ดังนั้นเมื่อมองดูแล้วดูเหมือนหญิงสาวในวัยสามสิบต้นๆ
มีเสน่ห์และสามารถทำให้ผู้คนหลงใหล สังหารหญิงสาวผู้คนอื่นได้ภายในไม่กี่วินาที
คนเช่นนี้จะไม่มีความต้องการบางอย่างได้อย่างไร?
ยายแม่มดในฐานะแม่นมคอยรับใช้ข้างกาย ในช่วงกลางดึกหลายคืนมักจะได้ยินเสียงที่ผู้คนบางส่วนนั้นไม่รู้จักดังขึ้น
เสียงนั้นคือความปรารถนาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณหญิง เพียงแค่คุณบอก ฉันจะนำนายท่านกลับมาด้วยกำลัง!”
“เป็นคู่สามีภรรยาที่ดีไม่ได้ กลับไปเป็นนักบวช!”
“ตราบใดที่คุณออกคำสั่ง ฉันจะไปจับตัวเขากลับมาในทันที!”
ความไม่พอใจปรากฏขึ้นในดวงตาของหยางหลิว
“จับตัวเขากลับมาได้ แต่ไม่อาจนำหัวใจของเขากลับมาได้”
“เป็นนักบวชอะไรกัน ฉันว่าการที่เขาหลบซ่อนเช่นนี้ นั่นก็เพราะคิดถึงอดีตภรรยา!”
“เขาแต่งงานกับฉันในขณะที่อดีตภรรยาของเขากำลังป่วย เรื่องนี้จะต้องเป็นปมที่อยู่ภายในหัวใจของเขาและไม่อาจแก้ปมนี้ได้ไปตลอดชีวิต!”
“ฉินฉี พวกคุณสองแม่ลูกต้อนรับฉันเข้ามาภายในตระกูล ยืมอำนาจของตระกูลของฉันเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ตระกูลตนเอง ตอนนี้เมื่อใช้ประโยชน์เสร็จก็ทิ้งไป!”
“คุณคอยดู!”
“ฉันไม่มีทางวางมือจากเรื่องนี้แน่!”
“รอให้ฉันสังหารเมล็ดพันธ์ที่ผู้หญิงคนนั้นได้ให้กำเนิดแก่คุณก่อนเถอะ คอยดูว่าคุณจะยังนิ่งเฉยได้อีกหรือไม่!”
ต่อหน้าพระพุทธรูปที่น่าเกรงขาม ใบหน้าของเธอนั้นพลันร้ายกาจขึ้นทันที เมื่อมองดูแล้วเป็นเสมือนอสูรร้ายที่ต้องการหลุดพ้นจากพันธนาการของพระพุทธเจ้า
ถงจิ่งออกจากจวนฉิน เขาเดินทางออกจากเมืองด้วยความเรียบง่าย เดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลนั้นด้วยความรวดเร็ว
ท่ามกลางวิหารของศาสนาเต๋ามีต้นไม้โบราณสูงตระหง่าน มีลานกว้าง สายลมพัดผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำให้ความต้องการทางโลกนั้นบรรเทาและจางหายไป
จากระยะไกลมีเสียงพิณดังขึ้น
ถงจิ่งเดินตามเสียงพิณ เมื่อเดินเข้ามาภายใน พลันมองเห็นป่าสน ชายในชุดลิทธิเต๋ากำลังนั่งดีดพิณ
ด้านข้าง เด็กชายของลัทธิเต๋าสองคนกำลังยืนเฝ้าอยู่ คนหนึ่งถือดาบ อีกคนหนึ่งถือผงธุลี
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่สง่างามและไม่แยแสของชายที่กำลังดีดพิณ ถงจิ่งขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
บางครั้งเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉินฉี ในฐานะลูกชายคนโตของนายหญิงใหญ่ อีกทั้งในนามของเจ้าบ้านตระกูลฉิน
ตราบใดที่เขาเต็มใจ เขาสามารถกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งซีเป่ยได้
แต่เขากลับเพิกเฉยและไม่ใยดี ไม่คิดวิวาททางโลก ยินดีทอดทิ้งภรรยาและอนุภรรยามาใช้ชีวิตทนทุกข์ต่อความอ้างว้างที่วิหารลัทธิเต๋าแห่งนี้
ถงจิ่งลอบทอดถอนหายใจ ภายในหัวใจบอกว่าตนเองนั้นใช้สกุลอื่น แต่วันนี้อายุเจ็ดสิบปีแล้วก็ยังคงทำงานให้กับตระกูลฉินของพวกนาย
นายเองก็เป็นเจ้าบ้าน อายุเพียงห้าสิบต้นๆ เป็นวัยแห่งการต่อสู้และช่วงชิง แต่ทว่ากลับใช้ชีวิตราวกับคนเกษียณอายุแล้ว
แต่ทว่าเมื่อได้นึกถึงสถานการณ์ของตระกูลฉิน ถงจิ่งเองก็รู้สึกลำบากใจแทนฉินฉีเช่นกัน
การมาหลบซ่อนตัว อาจเป็นทางออกเดียวของเขา
ความบาดหมางระหว่างแม่กับลูกเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว นายหญิงใหญ่บังคับให้เขาทอดทิ้งภรรยาที่ป่วยหนักอยู่บนเตียง บังคับให้เขานั้นไปแต่งงานกับหยางหลิว
เช่นนี้ นายหญิงใหญ่รู้สึกว่าลูกชายคนนี้ไร้ความสามารถ
เพื่อความรู้สึกส่วนตัว เขาสามารถเพิกเฉยต่อกิจการอันใหญ่โตได้!
พูดให้น่าฟังสักหน่อยนั่นก็คือความหลงใหลโง่งม กล่าวให้ไม่น่าฟังนั่นก็คือคนขี้ขลาด ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย!
หลังจากที่หยางหลิวให้กำเนิดฉินเปียว สองแม่ลูกนั้นได้สร้างความมั่นคงภายในตระกูลฉิน เบื้องหลังได้รับความสนับสนุนจากตระกูลหยางซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับสองแห่งซีเป่ย
อยู่ตรงกลางระหว่างสตรีผู้ทรงพลังสองคน ด้วยนิสัยของฉินฉีที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด ทำให้เขานั้นไร้สิทธิ์ไร้เสียงในการพูด
ในความเป็นจริง เมื่อ20ปีก่อน ตอนที่หยางหลิวได้แต่งงานกับฉินฉี ตอนนั้นไม่ใช่ว่าทำเพื่อต้องการทรัพย์สินของตระกูลฉิน
ตอนนั้นหยางหลิวอายุเพียงยี่สิบแปดปี เช่นเดียวกับเด็กผู้หญิงทุกคนในโลก เธอโหยหาความรักที่บริสุทธิ์และงดงาม
ในตอนนั้นพี่ชายของเธอไปหาเธอเพื่อปรึกษาหารือ ให้เธอแต่งงานกับตระกูลฉิน
เขาวางแผนอยู่เบื้องหลัง ใช้เวลาเพียงไม่นาน ตระกูลหยางสามารถกลืนกินตระกูลฉินได้ ทว่าหยางหลิวนั้นปฏิเสธ
เธอจะแต่งงานกับชายที่แต่งงานแล้วและมีลูกแล้วเพื่ออำนาจทางโลกได้อย่างไรกัน
แต่เพียงว่าเมื่อเธอเห็นฉินฉีในคราแรก เธอพลันอยากครอบครอง
ต้องบอกเลยว่าคุณชายใหญ่ฉินนั้นงดงามมาก เขาในวัยห้าสิบ ร่างกายสวมชุดของลัทธิเต๋า เขายังคงสามารถดึงดูดเด็กสาวนับพันได้
ลูกชายทั้งสองคน ฉินเทียนลูกชายคนโตสืบทอดความงดงามและน่าเกรงขามของเขา ฉินเปียวลูกชายคนรองสืบทอดความยิ่งใหญ่ของเขา
เมื่อเปรียบเทียบจากรูปลักษณ์ภายนอก เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ลูกชายทั้งสองแทบจะไร้ความหมาย
แต่ทว่าหลังจากที่ได้ฝึกฝนมาเนิ่นนานหลายปี ความสามารถที่แสดงออกมาสู่ภายนอกของคุณชายใหญ่ฉินนั้นดูลดน้อยลง สำหรับตอนนี้กล่าวได้เพียงแค่ดูสง่างามและมีความรู้
ฉินฉีดื่มด่ำกับเสียงพิณอันไพเราะ ราวกับว่าไม่รู้ว่ามีคนมา
ถงจิ่งนั้นรู้สึกรำคาญใจมาก เดิมทีเกียจคร้านเกินกว่าจะฟังเสียงพิณ แต่ทว่าด้านข้างนั้นมีโต๊ะขนาดเล็กอีกทั้งยังมีชุดน้ำชาตั้งอยู่
เขานั่งลงด้วยอารมณ์โกรธเคืองจากนั้นรินชาให้กับตนเอง
หลังจากที่เดินมาหลายร้อยก้าว ชายชราเองก็รู้สึกกระหายน้ำ เขาดื่มชาไปหลายแก้ว
จากนั้นใบหน้าของเขาบึ้งตึงและไม่กล่าวสิ่งใด
ท้ายที่สุดเสียงพิณของฉินฉีก็จบลง เขายิ้มและอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ราชาถงจิ่ง วันนี้มีเวลาว่างหรืออย่างไรถึงได้มาดื่มชารสฝาดของฉันได้?”
“เป็นอะไรไป ดูท่าแล้วเหมือนมีใครทำให้คุณขุ่นเคือง?”
ถงจิ่งเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นายยังมีหน้ามาถามอีกหรือ!”
“ฉันไม่สน ครั้งนี้นายจะต้องช่วยฉัน!”
“ฉันแก่ชราและอายุมากขนาดนี้แล้วยังถูกพวกหล่อนคิดร้าย!”
ฉินฉียิ้มและกล่าว “พูดมา ในสถานที่แห่งนี้มีใครที่สามารถคิดร้ายต่อคุณได้?”
“ใครกล้าวางแผนร้ายต่อราชาแห่งตระกูลฉิน?”
ถงจิ่งพูดด้วยความโกรธ “นายรู้อยู่แก่ใจยังกล้าถามอีกหรือ!”
“นอกจากผู้หญิงสองคนนั้นแล้วจะสามารถเป็นใครไปได้อีก”
ฉินฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขายิ้มเย็นและไม่กล่าวสิ่งใด
ถงจิ่งทอดถอนหายใจ “คนที่วางแผนร้ายต่อฉันก็คือแม่ของนายและภรรยาของนาย แต่ครั้งนี้คนที่สร้างปัญหาคือลูกชายทั้งสองคนของนาย”
“เจ้าบ้านฉินของฉัน นายไม่คิดจะออกไปดูแลเรื่องนี้จริงๆหรือ?”
“ครั้งนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
“อ้อ” ฉินฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไอ้เด็กสองคนนั้นมันต่อสู้กันหรือ?”
“เทียนเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ทางใต้หรือ ทำไมเปียวเอ๋อร์ถึงได้ไปฆ่าถึงทางใต้ล่ะ?”
ถงจิ่งทอดถอนหายใจ “เทียนเอ๋อร์ประสบความสำเร็จ มั่นคงในทางใต้ นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำแห่งเจ็ดเมืองทางใต้”
“ได้ยินมาว่าวันที่เข้ารับตำแหน่ง ได้เปิดศึกกับจินยีโหวแห่งเกาะตงไห่ นับว่าโชคดีที่คนของมังกรซ่อนรูปตะวันตกนั้นออกหน้าให้ พวกเขาขับไล่จินยีโหวออกไป”
“หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เทียนเอ๋อร์ได้เข้าสู่มังกรซ่อนรูป อีกทั้งยังได้นั่งในตำแหน่งแส้มังกร”
“โอ้?”
“แส้มังกร?”
ฉินฉีเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย