ตอนที่ 706 การเปลี่ยนแปลงแห่งพรสวรรค์ โดย ProjectZyphon
หนอนกินเทพสำแดงอำนาจเหี้ยมโหด ทำเอาบรรดาผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นลังเลละล้าละลัง ไม่กล้าพุ่งเข้ามา
เหตุการณ์พลันชะงักงันอยู่ตรงนั้นทันใด
นี่ก็คือพลังอำนาจ!
หลินสวินตัวคนเดียวเข้าสังหารในหุบเขาพยัคฆ์สองคราติดต่อกัน ทำเอาที่นี่เลือดหลั่งรินดั่งกระแสธาร ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนบาดเจ็บล้มตายมากมาย
บัดนี้เขายิ่งใช้ศรเดียวฆ่าราชันกึ่งระดับผู้หนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ภายในใจสงสัยนักว่าหลินสวินเสแสร้ง ทำทีว่ามีกำลังเหลือ แต่กลับไม่มีใครกล้าหยั่งเชิงเป็นคนแรก
แต่ในใจหลินสวินร้อนรนไม่หยุด มีเพียงตัวเขาที่เข้าใจสถานการณ์ตนเองที่สุด ว่าตัวเขามาถึงขั้นธนูแกร่งหมดแรงบินแล้วจริงๆ
หืม?
ขณะหลินสวินช่วงชิงเวลาเล็กๆ นั้นแอบสูบพลังของผลึกวิญญาณระดับสูง ทันใดนั้นจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจที่หน้าอกเขาแผ่กระแสความร้อนแปลกประหลาดกระจายไปทั่วร่าง
พลังภายในร่างที่เดิมแห้งขอดประหนึ่งได้รับน้ำอมฤตฟ้าประทานจนชุ่มฉ่ำในฉับพลัน แค่พริบตาก็ทำให้หลินสวินมีกำลังวังชา ฟื้นคืนพลังส่วนหนึ่ง
นี่มัน…
พลังแห่งชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด!
หลินสวินในใจสั่นสะท้านไม่หยุด สามารถรับรู้อย่างชัดแจ้งว่าชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์ขาวสะอาด ขณะนี้กำลังเรืองแสงเปล่งประกายอยู่บนหัวใจ กระแสพลังร้อนเร่าอันเร้นลับไหลหลั่ง ประดุจรู้ตื่นก็ไม่ปาน
นี่เป็นเรื่องที่ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หุบเหวกลืนกิน…
เมื่อเผชิญเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดจึงประสบเคราะห์ดี!
‘หรือว่า… มีเพียงเมื่อใช้พลังถึงขีดสุด จึงจะสามารถปลุกพลังที่มาจากชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดให้ตื่นขึ้นได้?’ หลินสวินตระหนักได้ถึงบางอย่าง
หุบเหวกลืนกิน คุณลักษณะพรสวรรค์หนึ่งซึ่งสมัยบรรพกาลถูกจัดอยู่ในหมู่พรสวรรค์ชั้นยอด ข่าวลือและความน่ากลัวเกี่ยวกับมันมีบันทึกไว้น้อยนัก
เพราะมันยากพบเห็นเกินไป!
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หุบเหวกลืนกินมีปริศนายากจินตนาการ มิฉะนั้นในตอนนั้นบุคคลแห่งยุคอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า มีหรือจะใจเกิดโลภโมโทสัน คิดช่วงชิงชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดของหลินสวินซึ่งยังแบเบาะอย่างโหดร้าย
และอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้ อาศัยพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินก้าวเข้าสู่มรรคาสมบูรณ์ในตำนาน เป็นผู้ฝึกกระบี่ชั้นยอดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันที่ดินแดนรกร้างโบราณ รู้จักกันในนามราชันระดับสังสารวัฏไร้พ่าย!
เท่านี้ก็พอคาดเดาความน่ากลัวของ ‘หุบเหวกลืนกิน’ ออกแล้ว
เพียงแต่สำหรับหลินสวิน ความเข้าใจและการหยั่งถึงที่เขามีต่อ ‘หุบเหวกลืนกิน’ อยู่ในขั้นสำรวจมาตลอด ยังไม่อาจหยั่งถึงปริศนาแห่งพรสวรรค์ซึ่งติดตัวแต่กำเนิด
ด้วยเหตุนี้เมื่อปัจจุบันสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของ ‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด’ จึงเพิ่งทำให้หลินสวินรู้สึกเกินคาดหมายและประหลาดใจเช่นนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ร่างกายซึ่งเดิมเหมือนดั่งตะเกียงไร้น้ำมัน บัดนี้การเปลี่ยนแปลกครั้งนี้กำลังฟื้นคืนพลังด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์!
น่าเสียดาย…
ช่วงเวลาเร่งด่วนเหลือเกิน!
หลินสวินแทบอยากจะนั่งสมาธิลงกับพื้น สงบจิตหยั่งรู้ความเร้นลับของการเปลี่ยนแปลกทั้งมวลนี้ แต่ศัตรูฉกาจอยู่ตรงหน้าเขาจึงได้แต่อดกลั้น อีกทั้งยังต้องระวังการต่อสู้ที่พร้อมปะทุทุกเมื่อ
สวบ!
ท่ามกลางบรรยากาศนิ่งค้าง จู่ๆ แสงหนึ่งโฉบออกมา ความหนาวเยือกไหลหลั่ง แหวกห้วงอากาศทะลวงใส่ลำคอหลินสวิน
นั่นคือกระบี่บินกระดูกขาวเล่มหนึ่ง!
“รนหาที่!”
นัยน์ตาหลินสวินฉายแววเยียบเย็น พลันง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสาร เพียงแค่แรงกดดันมหาศาลชวนประหวั่นที่แผ่ออกจากคันธนูก็บดกระบี่บินกระดูกขาวเล่มนั้นให้กลายเป็นจุณในพริบตา ส่งเสียงปึงก่อนกลายเป็นละอองแสงลอยละล่อง
ผึง!
ขณะเดียวกันธนูวิญญาณดอกหนึ่งก็ถูกยิงออกไป อาศัยความเร็วไม่อาจจินตนาพุ่งตรงไปทางผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งกลางกองทัพศัตรู
นั่นคือผู้แข็งแกร่งมหาเวทคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เรียกกระบี่บินออกมา เพราะอยากลองหยั่งเชิงหลินสวิน
ทว่าเขาคาดคิดไม่ถึงโดยเด็ดขาด ว่าการโต้กลับของหลินสวินจะรุนแรงและดุดันเช่นนี้!
“บัดซบ!”
เขาเปล่งเสียงด่าเดือดดาลหนึ่งก่อนหลบไปอีกฝั่ง เพียงช้าไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด ถูกธนูวิญญาณยิงใส่แขนขวาจนแหลกระเบิด เลือดเนื้อสาดกระจาย เจ็บจนเขาแผดเสียงคำราวราวสัตว์ป่า
ทุกคนตรงนั้นสั่นสะท้าน การหยั่งเชิงครานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมหาเวทคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง นี่ทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนพวกนั้นหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุดอีกครา
หรือเจ้าเด็กนี่จะมั่นใจเกินร้อยจริง ไม่เกรงกลัวสิ่งใด?
แต่ในใจหลินสวินกลับทอดถอนใจ เพิ่งจะฟื้นคืนพลังส่วนหนึ่ง กลับถูกผลาญจนหมดไปกับการยิงธนูครั้งนี้
ที่โชคดีเพียงหนึ่งเดียวคือชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดยังคงอบอวลด้วยกระแสความร้อนปริศนา เพิ่มเสริมพลังที่แห้งขอดภายในร่างเขาไม่หยุด
“ข้าไม่เชื่ออยู่ดี เขาไม่มีทางรบชนะเด็ดขาด! ลุย ไปฆ่ามันพร้อมกัน วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำลายไอ้เด็กนี่ให้สิ้นซาก!”
หลังการดิ้นรนช่วงสั้นๆ เฟิงคุนก็คำรามดุดันตัดสินใจสู้ ยอมพลีชีพหลั่งโลหิต ก็ต้องสังหารหลินสวินให้ได้
ทันใดนั้น บรรยากาศกลางสมรภูมิเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
แม้กล่าวแล้วดูเหมือนช้า แต่อันที่จริงเหตุการณ์ตั้งแต่ทุกสิ่งหยุดชะงักมาจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่นานเท่านั้น แต่ความล่อแหลมอันตรายที่อยู่ภายใน มีเพียงหลินสวินที่เข้าใจกระจ่าง
บัดนี้ท้ายที่สุดเห็นศัตรูไม่ลังเลและหวาดกลัวอีก ตัดสินใจลงมือแล้ว หลินสวินพลันทอดถอนใจ ได้แค่กัดฟันสู้สุดชีวิตแล้ว
พลังที่ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดมอบให้แม้ไม่อาจทำให้เขาฟื้นคืนดังเดิมทันที แต่การฟื้นพลังอย่างต่อเนื่องก็พอทำให้หลินสวินมีพลังต่อสู้ส่วนหนึ่ง
เพียงแต่…
การต่อสู้นี้จะต้องเลวร้ายอันตรายยิ่ง!
ครืน ครืน…
ทว่ายังไม่รอศึกเดือดฉากนี้ปะทุ กลางนภากาศที่ห่างไกลพลันมีเสียงอึกทึกดับโสตประสาทดังขึ้น
ก็เห็นเรือรบดำสนิทลำหนึ่งที่ยาวกว่าพันจั้งลอยคว้างเหนืออากาศประดุจผืนแผ่นดินใหญ่ บดชั้นเวหาพุ่งหวือแผดคำรามมาทางนี้
หลินสวินแอบเป่าปากโล่งอก พึมพำในใจ ‘ในที่สุดก็มาแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยพวกเจ้าครั้งหนึ่ง…’
แต่ทางเผ่าพ่อมดเถื่อนกลับส่งเสียงตระหนกขุ่นเคือง
“เป็นเรือรบดำเกิงเหินขนาดใหญ่ของจักรวรรดิเผ่ามนุษย์!”
“สวรรค์ กองทัพผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเคลื่อนไหวแล้ว…”
ทุกคนตรงนั้นหน้าเปลี่ยนสี เรือรบดำเกิงเหินคือเรือรบขนาดใหญ่ของจักรวรรดิจื่อเย่า ทันทีที่เคลื่อนพลจะต้องก่อให้เกิดศึกใหญ่อันเกรียงไกร
สำหรับเผ่าพ่อมดเถื่อนซึ่งโรมรันกรำศึกกับจักรวรรดิมาหลายพันปี พวกเขาไหนเลยจะไม่เข้าใจ ว่าการปรากฏตัวของเรือรบดำเกิงเหินส่อเค้าว่าคนใหญ่คนโตของจักรวรรดิก็ร่วมรบด้วย!
“บัดซบ!”
ผู้แข็งแกร่งมหาเวทอย่างพวกเฟิงคุน จินอู้ต่างสีหน้าอึมครึม ต่อให้ผ่าสมองออกมาก็คาดไม่ถึง ว่าเวลานี้กองหนุนแห่งจักรวรรดิจะมาแล้ว อีกทั้งยังเอิกเกริกเช่นนี้!
“สู้มัน!”
เฟิงคุนไม่พอใจ วันนี้หากไม่ฆ่าเด็กนี่แล้วชิงศรกับคันธนูในมือมันมา ภายภาคหน้าต้องนำเภทภัยใหญ่หลวงมาให้แน่
เพียงแต่เสียงเขาเพิ่งแผ่วลง ก็ได้ยินเสียงแค่นไม่สบอารมณ์ดังจากเหนือฟ้าในฉับพลัน…
“สู้? ข้ากลับอยากดูนักว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้!”
น้ำเสียงนั้นเด็ดขาดและหนักแน่น สะท้อนก้องทั่วสารทิศ ที่ตามมาคือแรงกดดันมหาศาลน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบที่พัดม้วนใส่ที่แห่งนั้น ทำเอาเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นพลันร่างแข็งทื่อ ขวัญหนีดีฝ่อราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็งในชั่วพริบตา
ราชันระดับสังสารวัฏ!
คราวนี้แม้แต่พ่อมดเถื่อนมากฝีมืออย่างพวกเฟิงคุน จินอู้ต่างหนาวสะท้านภายในใจ ดวงตาแทบถลน ตระหนักได้ว่าข้อได้เปรียบได้หายไปแล้ว!
“ถอย!”
เฟิงคุนตะโกนดุดัน
อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องออกปากเลย ทันทีที่เห็นราชันระดับสังสารวัฏและเรือรบดำเกิงเหินมาถึงพร้อมไอสังหารล้นทะลัก ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้นก็หมดใจสู้แล้ว ต่างหลบหนีไม่เป็นกระบวน
หลินสวินคลายความตึงเครียดโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงถาโถมจิตใจราวกระแสน้ำทันที
ศึกนี้คือเป็นสถานการณ์อันตรายอย่างที่สุด ทันทีที่ไม่ระวังก็จะพบจุดจบที่ร่างแหลกกระดูกป่น ยังดีที่ทุกอย่างนี้ใกล้สิ้นสุดแล้ว
“ดูไม่ออกเลยว่าเด็กอย่างเจ้าถึงกับมีชีวิตอยู่ ช่างดวงแข็งซะจริง!”
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งลงมาจากฟากฟ้า ปรากฏตัวต่อหน้าหลินสวิน รูปร่างผ่าเผยดุจมังกรเหินพยัคฆ์ก้าว ผมเผ้าหนวดเคราดำสนิทดั่งสีหมึก ยามลืมตา ความอหังการอันชวนประหวั่นก็แผ่ซ่านออกมา
นี่คือแม่ทัพแห่งค่ายหมายเลขเจ็ดจ่างซุนเลี่ย!
เพียงแต่ที่ทำให้หลินสวินคิดไม่ถึงคือ หลังจากจ่างซุนเลี่ยปรากฏตัวกลับไม่ลงมือไล่สังหารผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนที่หนีกระเจิดกระเจิงพวกนั้น
สิ่งที่เกินคาดหมายยิ่งกว่าคือ ยามนี้จ่างซุนเลี่ยสีหน้าถมึงทึง จ้องตนเองเขม็ง ท่าทางเหมือนโมโหเดือดดาล
“จำไว้ จากนี้ไปบนสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ก่อเรื่องให้ข้าให้แม่งน้อยๆ หน่อย ครานี้ข้าสามารถช่วยเจ้าไว้ได้ แต่ครั้งหน้าหากเจ้ายังหาเรื่องอีก อย่าว่าแต่ช่วยเจ้า ซากกระดูกก็ล้วนไม่มีคนเก็บให้!”
จ่างซุนเลี่ยไม่สนว่าหลินสวินจะรู้สึกอย่างไร สั่งสอนออกมาอย่างดุดันทันทีที่มาถึง จากนั้นไม่สนว่าหลินสวินจะฟังหรือไม่ เขาก็หันหลังจากไปแล้ว
หลินสวินตะลึงงันอยู่ตรงนั้น แม่ทัพผู้นี้นี่ช่างอารมณ์ร้อนมากจริงๆ…
“คุณชายหลิน ท่านยังมีชีวิตอยู่ ช่างดีเหลือเกิน!”
ไกลออกไปหลูเหวินถิงวิ่งเหงื่อออกเต็มหน้าเข้ามา เมื่อแน่ใจว่าหลินสวินแขนไม่ขาดขาไม่แหว่ง เขาราวยกภูเขาออกจากอก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
จากนั้นเขาพลันทำหน้าตำหนิ “คุณชายหลิน คราวหน้าอย่าได้เสี่ยงอันตรายเด็ดขาดเชียว หากท่านเกิดเรื่อง แม้แต่ท่านแม่ทัพเองก็จะลำบากไปด้วย”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กล่าวคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าในหุบเขาพยัคฆ์นี่ถึงกับรวบรวมคนใหญ่คนโตเผ่าพ่อมดเถื่อนมากเช่นนี้ หากจะกล่าวโทษจริงต้องโทษเจ้าถึงจะถูก เพราะภารกิจครั้งนี้เป็นเจ้าช่วยข้าตระเตรียม”
หลูเหวินถิงเก้กังไปชั่วขณะ ใบหน้าชราแทบแขวนไว้ไม่อยู่ พูดอย่างอักอ่วน “สถานการณ์เปลี่ยนแปลงกะทันหันเป็นเรื่องปกติบนสมรภูมิกระหายเลือดนี้”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ก็รบกวนใต้เท้าหลูแล้ว” หลินสวินกล่าวประสานมือ
หลูเหวินถิงถอนหายใจกล่าว “เฮ้อ ขอแค่จากนี้คุณชายไม่เสี่ยงชีวิตเช่นวันนี้อีก ข้าก็พอใจแล้ว”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยวาจา
ไกลออกไป เรือรบดำเกิงเหินร่อนลงพื้น เงาร่างผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิมากมายออกจากตัวเรือ เมื่อพวกเขามาถึงพลันใจสะท้านทันที
ตลอดทางพวกเขาเห็นศพผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนศพแล้วศพเล่า บ้างแหลกละเอียดบ้างเหลือซากอนาถ แอ่งเลือดเห็นได้ทั่วจนชวนเขย่าขวัญ
และกลางหุบเขาพยัคฆ์ เนินเขาพังทลายพื้นแตกระแหง เกือบถูกทำลายจนพินาศ ทุกหนแห่งมีร่างไร้วิญญาณสุมกอง รอยธนูเด่นชัด หินซึ่งถูกไอดาบฟันผ่าร่วงกระจายทั่วทุกที่
นี่ทำให้พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เกิดจากเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว!
“สวรรค์! นี่มันคราบเลือดของราชันกึ่งระดับ หรือที่นี่เคยมีราชันกึ่งระดับผู้หนึ่งหลั่งเลือด”
มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติแห่งจักรวรรดิที่เจนจัดคนหนึ่งอุทานเสียงหลง ค้นพบเศษเนื้อรอยเลือดที่หลงเหลือยามหมายจิ่วถูกสังหาร
ประโยคเดียวก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมในหมู่ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทั่วบริเวณนั้น ต่างฮือฮากันไม่หยุด สายตาที่มองหลินสวินล้วนเปลี่ยนไปแล้ว บ้างยำเกรงบ้างยากจะเชื่อ
“ทรัพย์หลังศึกเยอะมาก!”
ไม่นานนัก แม้แต่ห่อสัมภาระขนาดใหญ่สามใบที่หลินสวินทิ้งไว้ตรงทางเข้าหุบเขาพยัคฆ์ก็ถูกค้นพบ เห็นทรัพย์หลังศึกนองเลือดซึ่งแน่นขนัดห่อสัมภาระ ทำเอาบรรดาผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิเหล่านั้นดวงตาแทบถลน เจ้าเด็กนี่… ป่าเถื่อนไปแล้วกระมัง
ส่วนเวลานี้หลินสวินก้าวขึ้นเรือรบดำเกิงเหินไปนานแล้ว
สำหรับเขาที่นี่ไม่มีความหมายอะไรแล้ว อีกทั้งเขายังต้องการเวลาเร่งฟื้นฟูพลัง ไม่มีใจจะล่าช้าอยู่ที่นี่อีก
ส่วนทรัพย์หลังศึก…
มีตาเฒ่าหลูเหวินถิงที่ดูแลกองพลาธิการอยู่ ต้องไม่มีคนกล้าแตะต้องเป็นอันขาด
………………