เยี่ยเม่ยฟังแล้วหันไปมองซือถูเฉียงด้วยสายตาแปลกประหลาด
ถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ เจ้ากลัวถูกข้าตี ถูกข้าตัดนิ้วถึงยอมกินข้าวอย่างนั้นหรือ”
ซือถูเฉียงหันมองอีกฝ่าย
ใบหน้าท่านหญิงยังเปรอะเปื้อนน้ำมูกน้ำตา อีกทั้งดวงตาคู่นั้นยังมีน้ำตาไหลไม่ขาดสาย ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งถือดีและความอำมหิตในยามถือกระบี่สังหารคนก่อนหน้านี้
มีเพียงความหวาดกลัวเท่านั้น
พวกเขาต่างบอกว่าพี่เยี่ยนคือคนที่น่าหวาดกลัวที่สุดในใต้หล้า แม้ว่านางกลัวพี่เยี่ยน ทว่าอดเข้าใกล้ไม่ได้
ส่วนความน่ากลัวของสตรีผู้นี้ นางรู้สึกว่าไม่ด้อยกว่าพี่เยี่ยนเลย
เห็นว่าซือถูเฉียงไม่พูดจา สีหน้าเยี่ยเม่ยดูคล้ายอ่อนโยน แต่ก็ยังเฉยชาดั่งเดิม “เป็นอะไรไปเล่า คำถามข้าตอบยากนักเหรอไง”
“ไม่” ซือถูเฉียงส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อกันไม่ให้ถูกตีอีก นางรีบระลึกถึงคำพูดทั้งหมดก่อนหน้าของเยี่ยเม่ย
จากนั้นมองเยี่ยเม่ยอย่างระมัดระวัง สะอื้นตอบ “ข้า…ข้าถูกราศีสูงสง่าของเจ้าสยบ อยากกินอาหารภายใต้รัศมีของเจ้า กินข้าวให้อร่อยสักมื้อ ฮื่อๆๆๆ…”
หากรู้แต่แรกว่าสตรีผู้นี้จะลงมือกับนาง ยามที่อีกฝ่ายเพิ่งก้าวเข้ามาเอ่ยวาจา นางก็จะรับปากในทันที รีบกินข้าวทันที ไม่ต้องถูกตีเช่นนี้
ตอนนี้นางรู้สึกว่ากระดูกสันหลัง กระดูกน่อง ล้วนหักจนหมดสิ้น
เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ ได้ยินเสียง “อึก” จึงเอ่ยอย่างห่วงใยด้วยเสียงเย็น “กินช้า ๆ หน่อย เดี๋ยวจะติดคอ กินอาหารภายใต้รัศมีของข้า สะอึกแบบนี้เป็นกิริยาไม่เคารพต่อข้า”
คำพูดนี้ทำเอาซือถูเฉียงสะอึกจนหน้าเปลี่ยนสี…
หลายปีที่ผ่านมา นางเคยชินกับการถูกเอาใจ มาตอนนี้ต้องเอาใจคนยังไม่พอ ทั้งยังถูกจ้ำจี้จ้ำไช
ครั้นเห็นดวงตาเยี่ยเม่ยจ้องมองตน ก็ไม่กล้าโมโห ก้มหน้ากินข้าวพลางสะอื้นไห้
เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางได้รับความลำบากอย่างอนาถ ถามเสียงเย็นว่า “อาหารอร่อยไหม”
ซือถูเฉียงสะอึกสะอื้นตอบ “อร่อยมาก”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ถามต่ออีก “ยังกล้าคว่ำจานข้าวสิ้นเปลืองความเหนื่อยยากของชาวนาอีกหรือเปล่า”
ซือถูเฉียงร้องไห้ต่อ “ไม่กล้าแล้ว”
สายตาเยี่ยเม่ยพลันเกิดประกายเย็นวาบ จ้องท่านหญิงฉางเล่อ เสียงเฉยชา “เสียงเบาไปแล้ว เจ้าไม่เคารพคนหน้าตาสะสวยอย่างข้าเลย พูดคำเมื่อครู่ใหม่อีกรอบ”
ซือถูเฉียงเห็นท่าดุร้ายของอีกฝ่าย ตกใจจนน้ำตาร่วงรีบขยับท่านั่ง ตะเบ็งเสียงดังฟังชัด “อาหารอร่อยมาก ท่านหญิงอย่างข้าไม่กล้าสิ้นเปลืองผลผลิตอันลำบากลำบนของชาวนาอีกแล้ว ท่านหญิงอย่างข้าจะไม่คว่ำจานอาหารอีก ท่านหญิงอย่างข้าสำนึกผิดแล้ว ฮือ…”
“ห้ามร้อง” เยี่ยเม่ยกวาดตามอง
ซือถูเฉียงหยุดร้องทันที สูดน้ำมูกกลั้นน้ำตา ท่าทางน่าสงสารเกินเปรียบ ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย
เหล่าองครักษ์หน้าประตู มองหน้ากัน
ได้ยินเสียงสาบานดังสนั่นของท่านหญิง กลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก ไม่ว่าพูดอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นทำสำเร็จแล้ว ทำให้ท่านหญิงยอมกินข้าว ใช่ไหม
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนหน้าประตูครู่หนึ่ง คลี่ยิ้มออกมา
เหล่าองครักษ์ได้ยินแต่เสียงสาบานของซือถูเฉียง ได้ยินเสียงซือถูเฉียงถูกทุบตี แต่คนที่มีลมปราณล้ำลึกอย่างเขา กลับได้ยินบทสนาภายในห้องอย่างชัดเจน
เขาหันหน้ากลับไปมองอวี้เหว่ย “ไปเถอะ”
“เตี้ยนเซี่ย ท่านไม่เข้าไปหรือ” อวี้เหว่ยแปลกใจ ชมเรื่องสนุกอยู่ตั้งนาน จะกลับไปอย่างนี้เลยเหรอ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มน่าชมราวแมวเปอร์เซีย จับชุดของตนให้เข้าที่ด้วยท่วงท่าสง่างาม ยืดตัวหมุนกาย “ไปเตรียมเสื้อผ้าหลายชุดหน่อย องค์ชายอย่างข้าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากฟ้ามืดแล้วจะไปล่อลวงแม่นาง…อืม แม่นางหน้าตาสะสวยผู้นั้น”
ครั้นพูดจบเขาก็สาวเท้าออกไป ดูแล้วอารมณ์ดียิ่ง
อวี้เหว่ยอ้าปากค้าง มองตามเงาหลังเจ้านายไปอย่างไม่เชื่อสายตา ตบหัวตัวเองดูทีหนึ่งเพื่อให้ตัวเองได้สติ เตี้ยนเซี่ยบ้าไปแล้วหรือหูเขาฝาดไปกันแน่
อาการ ‘ข้าจะอาบน้ำให้สะอาด แล้วส่งตัวเองไปอยู่บนเตียงคนงาม’ ของเตี้ยนเซี่ย มันคืออะไรกันแน่
อวี้เหว่ยหันกลับไปมองห้องซือถูเฉียงอีกครั้ง หันกลับไปมองเตี้ยนเซี่ยอีกครั้ง ชั่วขณะนั้นเขาลืมความหิวโหย หน้าตางุนงงติดตามฝีเท้าของเตี้ยนเซี่ยไป
เยี่ยเม่ยยังไม่รู้เลยว่ามีคนเตรียมพลีกายให้นาง
หลังจากเฝ้าซือถูเฉียงกินข้าวจนหมด นางลุกขึ้น เดินออกไปพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
ซือถูเฉียงจ้องตามเงาหลังนั้น พลันเอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวข้าแก้แค้นเจ้าจริงๆ หรือ” สตรีผู้นี้ทำเกินไปแล้ว ความอัปยศของนางซือถูเฉียง นางทนความเหยียดหยามได้ชั่วคราวเท่านั้น นางไม่มีทางปล่อยนางแพศยานี้ไปแน่
เยี่ยเม่ยฟังคำ สองมือกอดอก
หันกลับมามองซือถูเฉียงด้วยสายตาคมกริบ เวลานั้นซือถูเฉียงตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
กริยาตอบสนองด้วยความหวาดกลัว เยี่ยเม่ยพอใจมาก แต่หน้านางยิ่งนิ่งเฉยเหมือนเคย ยักไหล่เป็นเชิงไม่ใส่ใจ “แก้แค้น ตามสบาย เจ้าพอใจก็พอ”
หากนางกลัวการเอาคืนก็ไม่ใช่เยี่ยเม่ยแล้ว
เยี่ยเม่ยก้าวเท้าออกจากประตูใหญ่ภายใต้แววตาโมโหไม่ยินยอมของซือถูเฉียง
เจ้าเมืองหลินหน้าตาสับสนยืนอยู่หน้าประตู ใช้สายตาเคารพหวาดกลัวกังวลไม่รู้สมควรพูดอะไรดีมองไปที่เยี่ยเม่ย หากท่านหญิงรู้ว่า ตนเป็นคนตามเยี่ยเม่ยมาตบตีท่านหญิงยกหนึ่ง ตัวเขา…
แต่อย่างน้อยเวลานี้เรื่องด่วนอย่างท่านหญิงไม่กินข้าวแก้ไขแล้ว
เยี่ยเม่ยมองเขา “นางกินข้าวแล้ว”
เจ้าเมืองหลินพยักหน้า น้ำตาคลอเอ่ย “ขอบคุณแม่นางมาก” เป็นแม่นางหน้าตางดงามแท้ๆ ไฉนถึงไม่ใช้วิธีอ่อนโยนแก้ไขปัญหา ไม่ลงมือไม่ได้หรือ
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองภายในห้อง เห็นว่าซือถูเฉียงตอนนี้ชะเง้อคอยาวมองตามหลังนางมา
เยี่ยเม่ยมองเจ้าเมืองหลินอีกครั้ง สีหน้านิ่งเฉย กลัวดูสนิทชิดเชื้อขึ้นหลายส่วน “ครั้งหน้านางไม่กินข้าวอีก ยินดีให้เจ้ามาเชิญข้าช่วยเหลือ หากข้ายังอยู่ที่นี่”
เวลานี้ซือถูเฉียงตัวสั่นเทิ้ม
เจ้าเมืองหลินพยักหน้าติดกัน ฝืนใจเอ่ย “ได้ ได้” ในใจนั้นน้ำตานองหน้า ครั้งหน้าข้ากล้าตามท่านอีกก็บ้าแล้ว หากตีท่านหญิงตาย เขามีหัวเก้าหัวก็ไม่พอให้ตัด
“อืม” จัดการเรื่องจบ เยี่ยเม่ยอารมณ์ดีมาก
นางสาวเท้ายาว ๆ กลับห้อง
นางจากไปได้ไม่นาน
ซือถูเฉียงเดินกะโผลกกะเผลกมาหน้าประตู กัดฟันเอ่ยว่า “พวกเจ้ารีบนำคนไปล้อมห้องนางสารเลวนั่นไว้ ใช้ธนูเพลิง…”
……
ฟ้ามืดลงแล้ว
เยี่ยเม่ยเข้าห้อง มองข้าวของภายในไม่มีสิ่งใดที่ห่อเก็บไปได้สักน้อย
หลังจาก ‘ตักเตือน’ ท่านหญิงที่ชอบรังแกคนอ่อนแอ หวาดกลัวคนเข้มแข็งกินข้าว ปัญหาที่ตามมาต้องมากมายแน่ นางไม่กลัวการเอาคืนของซือถูเฉียง แต่นางรู้สึกว่าที่นี่วุ่นวายนัก ไม่เพียงแต่องค์ชายที่มองไปแล้วอันตรายยิ่ง ยังมีท่านหญิงราชนิกุล ล้วนเป็นคนที่นางไม่อยากใส่ใจ
นางมองไปรอบห้อง แจกันดอกไม้มุมห้อง คล้ายของโบราณสมควรมีค่าราคา นางไม่พูดพร่ำเดินเข้าไปห่อไว้ จากนั้นเปิดหน้าต่างจึงเห็นว่าทั่วสี่ด้านแปดทิศทางถูกทหารองครักษ์ล้อมไว้
ธนูเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วน เล็งเป้ามาที่ห้องของตน