บทที่ 571 เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 571 เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
โลกแห่งปัญญาของลูเซียนยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง สัญลักษณ์ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเส้นขอบอวกาศแนวตั้งก็เริ่มบิดเบี้ยว แลกเปลี่ยนอวกาศจากทรงลูกบาศก์เป็นทรงรี ราวกับว่าขอบเขตที่บิดเบี้ยวถูกเพิ่มลงในเส้นรอบวง

ท่ามกลางอวกาศเต็มไปด้วยหมู่ดาว จากทั้งดาวหลักแห่งเทวลิขิตและดาวมายาอย่างอื่นๆ แรงโน้มถ่วงก็เริ่มบิดลำแสงครบรอบๆ อวกาศโดยรอบเปลี่ยนอากาศที่โปร่งแสงและเกิดการหดตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้คนอื่นๆ มองเห็นเป็นภาพมายา

ดาวหลักแห่งเทวลิขิตซึ่งดูเหมือนหลุมดำก็ดูน่าขนลุกขนพองยิ่งขึ้นไปอีก มวลพลังงานหมุนสู่ด้านหน้า สัญลักษณ์ทั้งหมดทั้งลม ไฟ น้ำ ธาตุ อิเล็กตรอน และสัญลักษณ์อื่นๆ เพิ่มขึ้นเหนือการควบคุม กลายเป็นความโกลาหลขั้นสมบูรณ์แบบ

ปากกาขนนกในมือของลูเซียนเขียนในทันใด แล้วเขาก็ระบุคำพยากรณ์และหลักฐานพิสูจน์อีกสองสามประเด็นตามการพรรณนาและสมการสนามแรงโน้มถ่วงก่อนหน้านี้

“จากการพิจารณาว่ามวลของดวงอาทิตย์ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของอวกาศ จึงสามารถคำนวณได้ว่าการหมุนควงที่มากเกินไปของดาวประกายพรึก จุดโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดของดาวประกายพรึก ซึ่งสอดคล้องกับผลการสังเกต…”

“จากการขยายขนาดของเวลาที่เกิดจากสนามแรงโน้มถ่วง และลบด้วยปรากฏการณ์การหน่วงเวลาที่เกิดจากดาวเคราะห์เทียม เราสามารถสรุปได้ว่าเวลาบนดาวเคราะห์เทียมจะเดินเร็วกว่าเวลาบนพื้นดิน… ซึ่งสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนในปฏิบัติการจริง…”

“ลำแสงจะเบี่ยงเบนในสนามแรงโน้มถ่วง มุมของการเบี่ยงเบนใกล้ดวงอาทิตย์เท่ากับ…”

“การเลื่อนไปทางแดงของเส้นสเปกตรัม…”

และแล้วบทความที่มีปริมาณหนาก็หยุดลง เนื้อหาส่วนใหญ่ยกมาจากต้นฉบับที่ลูเซียนรวบรวมไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากการปรับแก้บางส่วน

เขาหลับตาลงครึ่งหนึ่ง ลูเซียนสัมผัสได้ถึงหมู่ดาวในโลกแห่งปัญญาของเขา ดวงดาวเรียงร้อยต่อกันกับสัญลักษณ์พิเศษที่ซับซ้อนและสร้างรูปแบบเวทมนตร์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่งขึ้นมาสองรูปแบบ เขารู้สึกว่าวิญญาณและพลังวิญญาณของเขาถูกดูดเข้าไปในรูปแบบเวทมนตร์ หลังจากเพียงแค่ชำเลืองมอง จนเขาก็รู้สึกหมดเรี่ยวแรงและเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง

ลูเซียนเกิดความรู้สึกเดียวกับตอนที่อ่านตำรา ‘โหราศาสตร์และธาตุ’ เป็นครั้งแรกและได้เห็น ‘เจ้าแห่งธาตุ’ และ ‘ศาสดาพยากรณ์’ นักเวทระดับชั้นตำนานทั้งสองคน

“นักเวทชั้นตำนานคนใหม่…” ลูเซียนไม่ดีใจแม้แต่น้อยและถึงขั้นขมวดคิ้ว หลังจากโลกแห่งปัญญาของเขากลายเป็นปึกแผ่นขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ก็เป็นเรื่องยากที่จะปรับโครงสร้างรากฐานใหม่ เขาวางแผนมาตลอดว่าจะใช้ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมแทนทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเป็นรากฐานของเขา!

นักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ ไม่มีใครต้องกังวลก่อนที่จะก้าวหน้าเหมือนกับลูเซียน เมื่อนักเวทชั้นตำนานพัฒนาถึงระดับตำนานแล้ว องค์ประกอบในโลกแห่งปัญญาและเส้นทางที่ต้องการเลือกก็เหมือนเกือบจะกำหนดไว้แล้ว การพัฒนาโลกแห่งปัญญาให้เป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ยากที่สุด หากเขามีพลังไม่ถึงระดับแปด เขาคงต้องล้มเหลวเนื่องจากมีพลังวิญญาณไม่มากพอ

และแน่นอน หลังจากการสร้างโลกแห่งปัญญาให้เป็นปึกแผ่นครึ่งนึงแล้ว ก็ยังมีอีกปัญหาหนึ่งสำหรับผู้วิเศษ ซึ่งจะต้องเลือกระดับชั้นตำนานที่เหมาะกับโลกแห่งปัญญาของตนเพื่อการพัฒนาที่ง่ายดายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การสร้างเวทมนตร์ระดับตำนานต้องใช้พลังวิญญาณและความรู้เชิงคณิตศาสตร์อย่างสูง

เพราะฉะนั้นมหาจอมเวททุกคนที่สร้างทฤษฎีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จะพัฒนาขึ้นเป็นชั้นตำนานได้ง่ายกว่าผู้วิเศษธรรมดา พลังระดับชั้นตำนานถูกสร้างขึ้นโดยตรงภายในโลกแห่งปัญญาด้วยผลสะท้อนกลับในโลกความเป็นจริง และซึ่งเกือบจะสอดคล้องตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่

เมื่อคิดอยู่ครู่ใหญ่ ลูเซียนก็ลุกขึ้นเดินไปยังเครื่องไซโคลตรอน ระหว่างแผ่นโลหะที่เตรียมการไว้นานแล้วลงในวงเวท แล้วจึงวางแผ่นพาราฟินไว้ด้านหลังแผ่นโลหะ

แม้โลกแห่งปัญญาที่เป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งของเขายังไม่สมบูรณ์นัก ลูเซียนก็เปิดเครื่องไซโคลตรอนและยิงนิวเคลียสของฮีเลียมใส่แผ่นโลหะ

ตู้ม! ตู้ม!

เนื่องจากโลกแห่งปัญญาที่เป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่ง ลูเซียนมีภาพมายาที่เขาได้ยินเสียงนิวเคลียสของฮีเลียมยิงใส่แผ่นโลหะ เป็นภาพการระเบิดครั้งรุนแรง

ทันใดนั้น อุปกรณ์ด้านหลังวงเวทก็จับร่องรอยของโปรตอนด้านหลังแผ่นพาราฟิน และบันทึกระยะพร้อมกับข้อมูลอื่นๆ

หลังจากได้ผลข้อมูลออกมา ลูเซียนก็ใช้พลังวิญญาณคำนวณดู ด้วยการอนุรักษ์โมเมนตัม การอนุรักษ์พลังงาน… ลำแสงที่ถูกยิงออกจากโปรตอนก็ค่อยๆ เผยให้เห็นคุณลักษณะที่แท้จริง

ลำแสงมีลักษณะเหมือนกับมวลที่เต็มไปด้วยโปรตอนแต่ไม่สามารถถูกจับในสนามแม่เหล็กไฟฟ้า

ลำแสงพวกนี้แท้จริงแล้วก็คือนิวตรอนที่เหล่านักเวทตามหามาแสนนาน ตั้งแต่การตีพิมพ์ ‘การเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่’ ออกมา

เนื่องจากลำแสงนี้มีคุณสมบัติเป็นกลาง จึงไม่ได้รับอิทธิพลจากสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า ดังนั้น แสงนี้จะไม่ถูกค้นพบได้โดยตรง แต่เขาต้องอาศัยวิธีอื่นที่ใกล้เคียงกัน วิธีทางอ้อม!

ตู้ม!

ครั้งนี้เป็นเสียงจริงๆ ที่ดังก้องอยู่ใกล้กับหูของลูเซียน โลกแห่งปัญญามีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงอีกครั้ง และนิวเคลียสภายในก็เปิดเผยให้เห็นลักษณะที่แท้จริงในที่สุด โปรตอนและนิวตรอนผสมควบรวมกันอยู่ภายใต้แรงปริศนาแรงหนึ่ง

ดูเสียงสัมผัสได้ถึงอวกาศที่จับต้องไม่ได้และอยู่เหนือธรรมชาติอีกครั้ง ซึ่งมีปฏิกิริยากับโลกแห่งปัญญาของเขา มันช่วยเติมเต็มรูปแบบเวทมนตร์ของ ‘ปฏิกิริยาฟิชชันของอะตอม’ และ ‘ปฏิกิริยาฟิวชันของอะตอม’ ที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

ภายใน ‘สถานีวิทยุสกาย’…

ซาแมนธามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความดีใจ ช่างเป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่งที่มีผู้วิเศษสามารถพัฒนาโลกแห่งปัญญาให้เป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งด้วยทฤษฎีแรงโน้มถ่วงในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้!

ภาพมายาความมืดมิดที่ดูดกลืนทุกสิ่งค่อยๆ จางหายไป พายุอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็มาถึงจุดสิ้นสุด

“ท่านผู้วิเศษคนไหนกันที่พัฒนาโลกแห่งปัญญาให้กึ่งปึกแผ่น? พรุ่งนี้เราต้องสัมภาษณ์เขา!” ซาแมนธาพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งนัก ความเชื่อมั่นของนางเพิ่งหวั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อไม่นานมานี้

ผู้วิเศษซึ่งโลกแห่งปัญญาพัฒนาเป็นกึ่งปึกแผ่น ตราบใดที่ยังสอดคล้องกับพลังระดับชั้นตำนานเกินกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ก็มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาขึ้นเป็นชั้นตำนาน เพราะฉะนั้นนางจึงเริ่มเรียกเขาว่าท่านผู้วิเศษ

จอมเวทคนอื่นๆ ก็พูดขึ้นด้วยความดีใจและโล่งอก “ดูเหมือนว่าทฤษฎีแรงโน้มถ่วงใหม่นี้ใกล้เคียงกับธรรมชาติความเป็นจริงเสียยิ่งกว่าของท่านประธานอีกด้วย ข้าไม่เคยเห็นความมืดมิดที่ดูดกลืนทุกสิ่งมาก่อนในบันทึกใดๆ เลย”

ซาแมนธากำลังจะตอบเขา ขณะที่ระเบิดเสียงดังสนั่นและทำให้ทั้งนครอัลลินสั่นไหว

ซาแมนธามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความงงงวย แล้วนางก็เห็นความมืดมิดในยามราตรีกลายเป็นอเวจี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังแสดงความคุ้มคลั่งเป็นลำแสงให้เห็นอยู่บนท้องฟ้า ลูกไฟที่กำลังกลิ้งอยู่ตรงกลางก็แผ่พายุพลังงานที่น่ากลัวออกมา

ลูกไฟทะยานขึ้นลงอยู่ภายในเมฆรูปเห็ด อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเมฆรูปเห็ดของ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ที่ซาแมนธาเห็นกับตาเมื่อครั้งก่อน หัวของเมฆรูปเห็ดครั้งนี้มีขนาดเล็กกว่ามาก บรรยากาศความมืดและเปลวไฟกำลังเต้นรำล้อไปด้วยกัน

“อะไรกันเนี่ย?” จอมเวททุกคนต่างสับสน

ตู้ม!

เสียงระเบิดที่ดังยิ่งกว่าเดิมก็ระเบิดขึ้น ซาแมนธาก็รู้สึกว่าหูของนางอื้อ และแทบไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น

หลังจากการระเบิด ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นจากด้านนอก ขับไล่ความมืดและคำสาปร้ายออกไปอย่างน่ามหัศจรรย์

“นี่มัน…” เบลครีบวิ่งจากโซฟาไปที่หน้าต่าง หากเขาจำไม่ผิด นี่คือ ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ที่เขาเคยเห็นมาแล้วในนครอัลลินก่อนหน้านี้แน่ๆ!

ต่างกันอย่างเดียวก็ตรงที่ครั้งก่อนเป็นภาพจริง แต่ครั้งนี้เป็นภาพมายา!

“หรือว่าท่านอีวานส์? เขาอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศครั้งนี้?”

ภายในหอคอย…

อันโนนิสซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับราเวนติถึงกับอ้าปากค้างเมื่อจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึง โลกแห่งปัญญากึ่งปึกแผ่นด้วยทฤษฎีแรงโน้มถ่วงจะอาศัย ‘การเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่’ ได้อย่างไร?

นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์เวทมนตร์!

“อันโนนิส แล้วเสียงที่ดังสนั่นสองครั้งในอัลลินคืออะไร?”

“ข้าเหมือนจะเห็นดวงอาทิตย์กับเมฆรูปเห็ดขึ้นในอัลลินใช่ไหม?”

“เฮ้ย เฮ้ย! อันโนนิส?”

เสียงของราเวนติดังก้อง แต่อันโนนิสว้าวุ่นเกินกว่าจะตอบ

ณ ชั้นที่สามสิบสามของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน สายตาของเฟอร์นันโดเบิกโพลงในจังหวะที่เขาเห็นเมฆรูปเห็ด “นี่มันลูเซียน!”

“ข้ากำลังกังวลว่าเขาไปไหน!”

นี่คือเวทมนตร์ระดับชั้นตำนานซึ่งมีแต่ดักลาส แฮททาเวย์ ลูเซียน และตัวเขาที่รู้จัก สำหรับผู้วิเศษคนอื่นๆ แม้จะสามารถสร้างโลกแห่งปัญญาให้กึ่งปึกแผ่นได้ด้วย ‘การเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่’ แต่คงไม่สามารถสร้างรูปแบบเวทมนตร์ระดับชั้นตำนาน เนื่องจากขาดผลสะท้อนกลับจากโลกความเป็นจริง ดังนั้น แม้พวกเขาจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันได้นี้ แต่ก็ไม่อาจกระจ่างชัดและสมบูรณ์ขนาดนี้!

“ลูเซียน อีวานส์?” เฮลเลนมองเฟอร์นันโดด้วยความประหลาดใจ “เขาเข้าใจเรื่องแรงโน้มถ่วงลึกซึ้งขนาดนี้เชียวหรือ? แล้วทำไมโลกแห่งปัญญากึ่งปึกแผ่นของเขาถึงแบ่งออกเป็นสองส่วน?

เฟอร์นันโดกัดฟันกรอด “ข้าจะไปรู้ได้ไง? เขาคงเก็บซ่อนบทความไว้กับตัวเองอีกแล้ว!”

บนท้องฟ้าไกลออกไปจากเมืองอัลลิน คริโนเนียมองเมฆรูปเห็ดที่คุ้นเคยของ ‘เปลวไฟนิรันดร์’ และถามด้วยความสับสน “มีผู้วิเศษกี่คนที่กำลังสร้างโลกแห่งปัญญาให้กึ่งปึกแผ่นกันแน่?”

เบเนดิกต์ที่สามส่ายศีรษะและตอบด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “ข้าคิดว่านี่เป็นความสำเร็จตอนที่เฟอร์นันโดกับแฮททาเวย์พัฒนาพลังชั้นตำนานถึงระดับสูงสุด แต่ดูเหมือนว่านี่จะถูกคนอื่นสร้างขึ้นมากกว่า…”

เมื่อนักเวทชั้นตำนานพัฒนาพลังสู่ระดับสูงสุด โลกแห่งปัญญาจะหลอมรวมกับวิญญาณโดยสมบูรณ์ และจะก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในระดับที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ อย่างไรก็ตาม นักเวทชั้นตำนานสามารถซ่อนตัวอยู่ในมิติพิเศษหรือมิติดินแดนใหม่ เพื่อไม่ให้ศัตรูล่วงรู้

ในโลกแห่งปัญญาของเขา อวกาศมีสภาพกึ่งปึกแผ่นภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง และธาตุ เช่น ลม ไฟ และน้ำก็จะมีสภาพกึ่งปึกแผ่นเช่นกันด้วยความสมบูรณ์แบบในชั้นปฐมภูมิของโครงสร้างภายใน อวกาศและธาตุปะทะกันอย่างรุนแรง จนกระทั่งโลกแห่งปัญญาของลูเซียนสั่นไหว!

“การค้นพบนิวตรอนยังดีไม่พอ” ลูเซียนกัดฟันกรอดแล้วเปิดเครื่องไซโคลตรอนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเอาแผ่นโลหะและแผ่นพาราฟินออก และใส่ผลึกซิลิคอนเชิงเดี่ยวไว้แทนที่

ภายในเครื่องไซโคลตรอน อิเล็กตรอนถูกรวมเข้าด้วยกันและยิงออกไป

ตู้ม! ตู้ม!

ลูเซียนเห็นภาพมายาเป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ถูกยิงออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าปราสาทอันงดงามกำลังพังทลายลงในทันทีท่ามกลางการระเบิดอย่างบ้าคลั่ง!

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม จู่ๆ ลูเซียนก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ราวกับว่าปริศนาอันเรียบง่ายและลึกลับที่สุดกำลังจะถูกเปิดเผย

อิเล็กตรอนปะทะเข้ากับผลึกซิลิคอนเชิงเดี่ยวและเผยให้เห็นรูปแบบอันงดงามเหมือนฝันผ่านอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุเครื่องนี้ เป็นภาพที่น่าตกตะลึงและเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!

นี่คือภาพการเลี้ยวเบนคลาสสิค ในฐานะอนุภาคพื้นฐาน อิเล็กตรอนเผยให้เห็นภาพการเลี้ยวเบนที่มีเพียงคลื่นเท่านั้นปรากฏอยู่!

“คลื่นและอนุภาค อะไรคือลักษณะสำคัญ หากปรากฏขึ้นโดยเป็นอิสระจากกัน?”

ข้อความที่ลูเซียนเคยอ่านในโลกเดิมผุดขึ้นมาในหัว ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวซึ่งไร้ขอบเขตและโปร่งแสงก็เลื่อนลงมาอีกครั้ง แต่มีลักษณะที่โลกความเป็นจริงกับโลกแห่งปัญญาสอดคล้องกันมากขึ้น

ภายในโลกแห่งปัญญาของเขา อิเล็กตรอนภายนอกของโครงสร้างอะตอมกระจายตัวออก เรากับเมฆที่ปกคลุมทุกสิ่ง สภาวะกึ่งปึกแผ่นที่เกิดจากแรงโน้มถ่วงถูกสกัดกั้นไว้

คริโนเนียและเบเนดิกต์ที่สามมองดูเมฆรูปเห็ดเปลี่ยนสภาวะกลายเป็นเมฆสีดำและปกคลุมนครอัลลินด้วยภาพมายาสีขาวดำทั่วทุกพื้นที่ และไม่อาจเข้าใจปรากฏการณ์นี้ได้แม้แต่น้อย

“นี่คือภาพสะท้อนของอะไร?” คริโนเนียแสดงความสับสนในใจออกมาอีกครั้ง

เบเนดิกต์ที่สามส่ายศีรษะ แต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา

เฟอร์นันโด เฮลเลน และซาแมนธากำลังเฝ้าดูปรากฏการณ์เดียวกันจากหอคอยเวทมนตร์อัลลิน และต่างก็ไม่เข้าใจแหล่งที่มาของภาพสะท้อนนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ไม่นานเมฆก็หายไป และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็ถึงจุดสิ้นสุดโดยสมบูรณ์

“นี่น่าจะเป็นภาพสะท้อนปกติในกระบวนการสร้างโลกแห่งปัญญากึ่งปึกแผ่นด้วย ‘การเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่’ มันอาจไม่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีที่มีอยู่ใดๆ เลย” ซาแมนธาพูดพึมพำกับตัวเอง และไม่นานก็เลิกสนใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสั้นๆ อันคลุมเครือนี้

นอกจากนี้ นางพอจะเดาได้ว่านี่เป็นฝีมือของใคร!

เมื่อเห็นว่าสภาพอากาศหยุดการเปลี่ยนแปลงแล้ว เฟอร์นันโดก็พูดขึ้นกับเฮลเลน “ข้าจะบอกให้ลูเซียนมาบอก ‘ความจริงของโลก’ เพื่อนำเสนอทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขา และประกาศการพัฒนาโลกแห่งปัญญากึ่งปึกแผ่นของเขา ทุกคนจะได้เชื่อมั่นในเหตุการณ์นี้”

“ส่วนเจ้าพยายามเปิดประตูมิติแดนสัจธรรมต่อไป”

…………………………………………………