บทที่ 529 ปล่อยวาง

บัลลังก์พญาหงส์

แต่สิ่งที่ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงก็คือ พอเข้าวังหลวงไปวันรุ่งขึ้น นางกลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบทั้งไทเฮาและฮองเฮา ไทเฮาบอกว่าร่างกายเหนื่อยล้าไม่รับแขก ส่วนฮองเฮานั้นกลับบอกว่า ‘ป่วย’ ส่วนป่วยจริงหรือปลอมก็มีเพียงฮองเฮาที่รู้ตนเองดี 

 

 

ถาวจวินหลันกับองค์หญิงแปดจึงได้แต่ออกจากวังหลวงไป 

 

 

ต่อจากนั้นก็มีคนพูดถึงเรื่องปลดองค์รัชทายาท ข่าวนี้แพร่กระจายสะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง เพียงไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นโรงเตี๊ยมโรงน้ำชา ขอแค่เป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องนี้ก็ล้วนพูดถึงกันทั้งนั้น ดูแล้วเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมมาก 

 

 

เรื่องที่ถาวจวินหลันแปลกใจมากที่สุดก็คือ ด้านฮองเฮาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เพียงแค่ไม่ออกมาพูดแทนองค์รัชทายาท แม้แต่ตระกูลหวังเองก็ปิดประตูไม่รับแขก 

 

 

ถาวจวินหลันกับหลี่เย่เคยพูดคุยเรื่องนี้มาก่อน คิดว่าฮองเฮากำลังใช้วิธีไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อยอมรับความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งฮองเฮาต้องมีวิธีรับมืออยู่เป็นแน่ 

 

 

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ฮ่องเต้ก็ไม่ได้มีท่าทีโมโหเหมือนตอนแรกอีก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือฎีกาที่เกี่ยวข้องกับการปลดองค์รัชทายาทถูกเขาปัดตกทั้งหมด หรือเก็บเอาไว้ไม่ส่งเรื่องออกไป 

 

 

ตอนแรกถาวจวินหลันยังคิดว่าฮ่องเต้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น หากฮ่องเต้รีบร้อนปลดรัชทายาทก็จะดูไร้เมตตาต่อลูกชายของตนเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน นางก็ยิ่งคิดได้ถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือฮ่องเต้ไม่อยากปลดองค์รัชทายาทลง 

 

 

ความคิดนี้ทำให้ถาวจวินหลันกังวลเล็กน้อย จึงปรึกษาเรื่องนี้กับหลี่เย่ “ฮ่องเต้ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ปกติแล้วหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮ่องเต้ควรกริ้วมากซี อีกทั้งจากเรื่องก่อนหน้านี้ก็ให้ฮ่องเต้ไม่ชอบองค์รัชทายาทอยู่แล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้ปกป้องเล่า“ 

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ ท่าทีของหลี่เย่ก็ไม่น่ามองนัก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็หัวเราะขมขื่น “นี่เป็นเพราะเสด็จพ่อไม่อยากทำลายเรื่องที่เป็นอยู่ตอนนี้ องค์รัชทายาทไร้ความสามารถ ไม่ได้ใจประชาชน นี่ย่อมเป็นเรื่องดีกับฮ่องเต้มาก” 

 

 

ถาวจวินหลันกะพริบตา นางพลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ พูดรับคำต่ออย่างยากลำบาก “ไม่แบ่งอำนาจ” 

 

 

หลี่เย่หยักหน้า พูดอีกว่า “หรืออาจมีใครไปพูดเป่าหูเสด็จพ่อเข้า ให้เขาคิดว่าพวกลูกชายต่างก็ตั้งใจแก่งแย่งอำนาจกัน จึงไม่เชื่อใจใครแม้แต่คนเดียว แม้แต่เจ้าเจ็ดก็ไม่ถูกเรียกเข้าเฝ้าเช่นเดียวกัน” 

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แม้จะบอกว่าเรื่องแย่งอำนาจนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ฮ่องเต้ไม่เชื่อใจใครเลยเช่นนี้ กลับน่าเศร้าใจอยู่เล็กน้อย แน่นอนว่าคนที่คอยเป่าหูฮ่องเต้อยู่ก็เลวร้ายมาก 

 

 

“แล้วท่านเล่า?” ถาวจวินหลันย่อมต้องใส่ใจสถานการณ์ของหลี่เย่มากที่สุด หากฮ่องเต้เริ่มตั้งป้อมป้องกันหลี่เย่จริง นี่ถือเป็นเรื่องไม่ดีนัก โดยเฉพาะตอนที่สำคัญมากที่สุด 

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “หลายวันมานี้ก็ไม่เรียกข้าเข้าพบเช่นกัน แต่ต่อให้จะป้องกันข้าจริง ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมาลงมือกับข้า ในเมื่อเขาไม่ทำอะไรองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ไม่มีทางลงมือกับข้าเป็นแน่” 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ถ้าเช่นนั้นเรื่องปลดองค์รัชทายาทจะทำอย่างไรเล่า?” หวาดระแวงระมัดระวังอยู่ทุกอย่างมานานขนาดนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนท้ายเรื่องนี้จะกลายเป็นกำแพงป้องกันขององค์รัชทายาท มิน่าเล่าฮองเฮาถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ยังไม่ยอมทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็ยังไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น องค์รัชทายาทยิ่งนิ่งเงียบมากเท่าไร ก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น 

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้าด้วยรำคาญใจเล็กน้อย “เกรงว่าจะต้องปล่อยวางสักช่วงหนึ่ง” เขาเองก็เหมือนกับถาวจวินหลัน คิดว่าครั้งนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ 

 

 

เขารู้เรื่องที่ถาวจวินหลันทำทั้งหมด จึงแอบรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง “เสียแรงเปล่าแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “จะเสียเปล่าได้อย่างไรเพคะ ไม่ปลดองค์รัชทายาทวันนี้ ก็ต้องปลดได้สักวันอยู่ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องแน่นอน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าไม่เชื่อว่าองค์รัชทายาทจะยังนั่งตำแหน่งนี้ได้อีกนานราษฎรไม่นับถือเชื่อใจ ต่อให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้วอย่างไร? อย่างไรก็ไม่ชนะใจราษฎร” 

 

 

หากฮ่องเต้พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง สุดท้ายเขาจะต้องปลดองค์รัชทายาท และแต่งตั้งคนใหม่เป็นแน่ 

 

 

“แต่ครั้งนี้เราถูกตลบหลังแล้ว เกรงว่าฮ่องเต้รู้ข่าวลือที่กระจายอยู่ด้านนอกแล้วคงจะระแวงท่านมากกว่าเดิม” ถาวจวินหลันคิดถึงข่าวลือในตอนนี้ พลันก็ถอนหายใจ ท่าทีเคร่งขรึมเล็กน้อย “ข้าลองคิดดูแล้ว มีวิธีหนึ่งที่สามารถจัดการได้เพคะ” 

 

 

หลี่เย่สบตาถาวจวินหลัน ก็เข้าใจความหมายของนางทันที ก่อนพูดวิธีนี้ออกมาด้วยตนเอง “ขอความเห็นใจแทนองค์รัชทายาท” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า เวลานี้การขอร้องแทนองค์รัชทายาทนั้น อย่างแรกถือเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อฟังที่จวนตวนชินอ๋องมีต่อฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้รู้ว่าไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร จวนตวนชินอ๋องก็ไม่มีทางกล่าวโทษและเห็นต่างแน่นอน อย่างที่สองก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง แม้จะบอกว่าเป็นคู่ต่อสู้ แต่เมื่อคนอื่นคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทและหลี่เย่ ก็ต้องคิดถึงความสัมพันธ์พี่น้องเป็นอันดับแรก 

 

 

ในเมื่อเป็นพี่น้องกัน ย่อมไม่อาจซ้ำเติมกันได้ หากอยู่นิ่งคอยดูความเคลื่อนไหวก็ไม่เหมาะสมนัก เห็นได้ชัดว่าเย็นชาไร้หัวใจจนเกินไป 

 

 

สำหรับชาวบ้านแล้ว บางทีเรื่องความสามารถทางราชการนั้นเป็นเรื่องรอง ก่อนอื่นเลยจะต้องมีความรักก่อนถึงจะดี ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างพ่อลูก ความรักระหว่างพี่น้อง เมื่อถ่ายทอดไปถึงหูของราษฎร ก็ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น จะต้องกลายเป็นต้นแบบและที่น่านับถือของประชาชนแน่นอน 

 

 

“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น วันหน้าพวกเราถึงจะพูดได้เต็มปากว่าถูกตลบหลังใส่ร้ายเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “มิเช่นนั้นแค่อธิบายอย่างเดียวคงขจัดมลทินไม่ได้” 

 

 

ครุ่นคิดอยู่นาน ก็ต้องยอมรับตอนนี้มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่ดีที่สุดและได้ผลมากที่สุด แม้ว่าแอบตะขิดตะขวงใจ แต่ก็ยังหัวเราะพูดหยอกเย้า “ดูซี ข้าพูดแล้วว่าข้าแต่งงานกับจูเก๋อร่างสตรี เจ้าคิดเรื่องเหล่านี้แทนข้าเสียหมด ข้าไม่ได้แสดงความสามารถอะไรเลย จนดูไร้ความสามารถไปเสียอย่างนั้น” 

 

 

ถาวจวินหลันถลึงตากล่าวโทษเขารวบหนึ่ง “ถ้ายังพูดไม่หยุดอีก ข้าจะทำทำโทษท่านแล้วนะเพคะ อีกอย่างสิ่งที่ข้าคิดเหล่านี้ก็เป็นเรื่องเล็ก ไฉนเลยจะเทียบกับเรื่องใหญ่ที่ท่านทำได้เล่าเพคะ? ข้าเป็นเพียงสตรี มีความรู้น้อยนิด สิ่งที่พูดไปก็เพียงแค่เสนอความคิดเห็นให้ท่านฟังเท่านั้น แต่ท่านเอามาหยอกล้อข้าเล่นเช่นนี้ ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรอีกแล้ว“ 

 

 

แต่หลี่เย่พูดเช่นนี้ถือเป็นการเตือนนาง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ถามหลี่เย่อย่างระมัดระวังว่า “ข้าสอดมือไปยุ่งเช่นนี้ ถือว่ายิ่งทำให้คนไม่ชอบหรือไม่?” 

 

 

เมื่อคิดได้ว่าคนส่วนใหญ่ใต้หล้านี้คิดว่าสตรีควรต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ปักดอกไม้ ทำอาหาร เลี้ยงลูก อย่างมากที่สุดก็เพียงจัดการเรื่องราวภายในบ้านเท่านั้น ส่วนเรื่องเข้ามายุ่งงานราชการ สอดมือเรื่องของสามี ออกความคิดเลยเถิด เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงจะไม่ชิน ถือว่าเป็นสตรีออกนอกลู่นอกทางใช่หรือไม่? 

 

 

แน่นอนว่าความคิดของคนอื่นก็แล้วไป ที่นางกังวลมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องหลี่เย่ หากไม่พูดแต่ในใจยังไม่พอใจอยู่เล่า? หรือคนอื่นอาจจะเอาเรื่องนี้มาเย้ยหยันหลี่เย่? 

 

 

หลี่เย่ถูกถามก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “นี่ถือเป็นอะไรกัน? เจ้ายังจำเรื่องของเสด็จทวดและเต๋อหรงฮองเฮาได้หรือไม่? นั่นถือเป็นสตรีที่ตามเสด็จทวดขึ้นบนหลังม้าไปกู้แผ่นดินนี้ด้วยกัน! แม้แต่สิทธิ์อำนาจในเรื่องราชการของเต๋อหรงฮองเฮากับเสด็จทวดก็ถือร่วมกัน ต้องเข้าว่าราชการ ฟังเรื่องราวทั้งหลาย หลังจากนั้นมาเสด็จทวดทรงล้มป่วยเพราะบาดแผลเก่า ไม่สามารถว่าราชการได้ จะต้องนอนพักอยู่นิ่งๆ ก็ไม่ใช่เต๋อหรงฮองเฮาถืออำนาจทางการเมืองเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ? ถ้าจะให้ข้าพูด คนที่ได้แต่งกับผู้หญิงอย่างเต๋อหรงฮองเฮาถือว่าเป็นโชคดี สตรีทั่วไปในโลกหล้านี้มีมากมายเพียงใด? เจ้าไม่เหมือนกับพวกนาง ข้าถึงรู้สึกว่าเป็นความโชคดีของข้าต่างหากเล่า” 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ แต่กลับจงใจดึงสีหน้ามุ่ยใส่ “ท่านพูดเช่นนี้ หากข้าเหมือนสตรีทั่วไปเพียงแค่เดินไปมาอยู่ในเรือนหลังอย่างสบายใจ เกรงว่าท่านคงไม่ยอมแลข้า” 

 

 

หลี่เย่ถูกถามแบบนี้ก็เงียบไป รีบเอ่ยปฏิเสธทันที “ไปเอาคำพูดนี้มาจากที่ใดกัน? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร ข้าก็ชอบทั้งนั้น” 

 

 

หลี่เย่พูดด้วยท่าทางจริงจัง ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึง พูดงึมงำว่า “พูดอะไรเหลวไหล? ไม่จริงจังเลยเพคะ!” บอกชอบตรงๆ เช่นนี้ ไม่กลัวคนอื่นมองเป็นเรื่องตลกหรืออย่างไร! 

 

 

ทั้งสองคนหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศอึมครึมก่อนหน้านี้พลันก็สลายหายไปทันที 

 

 

วันรุ่งขึ้นหลี่เย่เข้าวังไป จุดประสงค์ย่อมต้องเหมือนที่ถาวจวินหลันพูด นั่นคือขอร้อง และขอความเห็นใจแทนองค์รัชทายาท 

 

 

พูดแล้วก็น่าบังเอิญนัก วันนี้องค์หญิงเก้ากลับมาที่จวนตวนชินอ๋องเพื่อมาพูดคุยกับนาง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงแล้วองค์หญิงเก้าต้องการมาขอความช่วยเหลือ 

 

 

องค์หญิงเก้าเห็นถาวจวินหลันก็รีบพูด “ท่านพี่ต้องช่วยข้านะเจ้าคะ!” 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงเก้าร้อนรนเช่นนี้ก็ตกใจมาก รีบพูดว่า “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจึงร้อนรนเช่นนี้? อย่าเพิ่งรีบร้อน ค่อยๆ นั่งคุยกันเถิด” 

 

 

พูดไปก็ดึงมือองค์หญิงเก้าให้นั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็รับจอกชาและส่งไปให้องค์หญิงเก้าถือไว้ “ชาพุทรา ดื่มสักอึกให้ใจเย็นแล้วค่อยพูด” 

 

 

องค์หญิงเก้ากลับรอไม่ได้อีก รีบวางจอกชาลง จากนั้นก็จับมือของถาวจวินหลัน พลางถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านพี่รีบไปเกลี้ยกล่อมจิ้งผิงเถิดเจ้าค่ะ เขาคิดจะเสนอตัวไปเป็นผู้ตรวจราชการ สืบเรื่องเงินบรรเทาภัยที่ถูกคดโกงไป ปล่อยให้เขาไปที่แห่งนั้นได้หรืออย่างไร? ไม่ต้องพูดเรื่องทนลำบาก คนเหล่านั้นกล้าทำอย่างเหิมเกริม แล้วจะเข้าไปยุ่งง่ายๆ ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ? เขาออกไปสืบเปิดเผยเช่นนี้ กลัวว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตนะเจ้าคะ!” 

 

 

องค์หญิงเก้าแสดงท่าทางร้อนรนอย่างชัดเจน ความห่วงใยก็ชัดเจนเช่นเดียวกัน แม้แต่ดวงตาสองข้างของนางก็เริ่มแดงก่ำแล้วด้วย 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงเก้าเป็นเช่นนี้ และยิ่งได้ยินคำพูดของนางแล้ว ก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรถึงจะดี ถ้าให้พูดจากใจ คำพูดขององค์หญิงเก้าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น และเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุด ตั้งแต่อดีตมา เรื่องผู้ตรวจการถูกลอบฆ่าก็มีตั้งมากมาย 

 

 

แต่คำพูดนี้ขององค์หญิงเก้าก็ผิดเช่นเดียวกัน นางถอนหายใจเบาๆ พลางจับมือขององค์หญิงเก้าเอาไว้ นางมองไปที่องค์หญิงเก้าและส่ายหน้าช้าๆ “อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยจะดีกว่า ไม่มีทางไปกล่อมเขาได้หรอก เจ้าเองก็อย่าไปห้ามเขาเลย ในเมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วเจ้าก็ควรต้องสนับสนุนถึงจะถูก ทำไมถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขาเสียเล่า?” 

 

 

องค์หญิงเก้านิ่งอึ้งไป จากนั้นท่าทีก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มองถาวจวินหลันอย่างไม่อยากเชื่อ “ทำไมท่านถึงได้พูดเช่นนี้” 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่งองค์หญิงเก้าก็เริ่มน้ำตาคลอเบ้า นางลุกพรวดด้วยความโกรธ พลางมองไปทางถาวจวินหลัน แล้วตะคอกถาม “ท่านยังเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขาอยู่หรือไม่ ท่านห่วงอำนาจเขนาดนั้นเชียวหรือ? รักเกียรติยศศักดิ์ศรีเช่นนั้นเลยหรือ? ท่านทนดูจิ้งผิงไปตายได้ลงอย่างนั้นหรือ! ไม่! ท่านทนได้ แต่ข้าทนไม่ได้! เขาเป็นสามีของข้า ข้าไม่ยอมให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้แน่!”