บทที่ 386.2 คราบร่างเซียนเหรินมีผีพักอาศัย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจ้าแม่เทพแห่งผืนดินหวนกลับไปยังใต้ดินด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่งยวด

เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแคว้นไฉ่อีครั้งนั้น เดิมทีก็เป็นหนึ่งในหมากจำนวนมากมายที่เขา หรือควรจะพูดว่า ‘พวกเขา’ วางไว้ในปีนั้นอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าปีนั้นชุยตงซานไม่ได้ทุ่มเทความคิดจิตใจกับนักพรตเฒ่าบ้ากามที่ชอบสะสมผีเร่ร่อนสาวงามผู้นั้นนัก ไม่ถือว่าเป็นหมากสำคัญอะไร แต่เมื่อได้อ่านจดหมายลับจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสายลับเมืองหลวงต้าหลีส่งมาดั่งเกล็ดหิมะปลิวปราย ชุยตงซานเคยให้ความสนใจบันทึกฉบับหนึ่ง ตัวอักษรในบันทึกมีไม่มาก แค่ยี่สิบกว่าตัวอักษรเท่านั้น ถือเป็นเนื้อหาที่เขียนลวกๆ อย่างขอไปที คาดว่าแม้แต่ตัวของสายลับต้าหลีที่รายงานเรื่องนี้ก็คงไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่

หากเป็นในอดีต เรื่องน่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกราชครูต้าหลีมองเป็นการฆ่าเวลาอันยาวนานที่น่าเบื่อนี้ก็คงไม่ต่างจากจดหมายลับในคลังของต้าหลีที่กองทับถมกันเป็นภูเขาซึ่งต้องถูกปิดผนึกทิ้งไว้ปีแล้วปีเล่า

เมื่อลองสืบสาวเบาะแสในขณะที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ เนื่องจากชุยฉานเป็นคนจัดการเรื่องลับวงในจำนวนนับไม่ถ้วนของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นเขาจึงกล้าพูดว่าตัวเองรู้ประวัติความเป็นมาของผีสาวตนนั้นดียิ่งกว่าอดีตเจ้านายของนางซะอีก

ค้นหาถ้อยคำจากในตำรา นำบทความมาแต่งกวี ฝึกปรือทักษะอันน้อยนิด และสืบสาวราวเรื่องจนไปเจอสำนักหยินหยาง

ราชครูชุยฉานล้วนถนัดทั้งสองอย่าง

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากห้อง ไปเคาะประตูห้องของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเปิดประตูออกแล้วถามว่า “มีธุระหรือ?”

ชุยตงซานพยักหน้ารับแรงๆ “ศิษย์มีเรื่องใหญ่จะพูดกับอาจารย์!”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา ชุยตงซานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีแค่สำเร็จกับไม่สำเร็จเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์โชคดีหรือไม่ดี”

เฉินผิงอันจึงปิดประตูลง เพียงแต่ว่าชุยตงซานตาไวรีบยื่นสองมือมายันประตูไม้สองบานเอาไว้แน่น พูดอ้อนวอนอย่างอยากลำบาก “อาจารย์ให้ข้าค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังเถอะ หากเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ แต่อาจารย์กลับไม่ยินดีฟัง ถ้าอย่างนั้นก็จะต้องสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์แล้ว อีกทั้งยังถือว่าเป็นการย่ำยีของดีถึงสองชิ้น และยังพลาดวาสนาใหญ่ที่ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในชีวิตไป ศิษย์ไม่โกหกท่านแม้แต่คำเดียว!”

เดิมทีชุยตงซานคิดว่าคงต้องหาโอกาสครั้งหน้า คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยอมให้เขาเข้าไปในห้อง

ชุยตงซานปิดประตู ยิ้มตาหยีแล้วนั่งลงไป รินน้ำชาให้เฉินผิงอันและตัวเองคนละหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ร่ายตราผนึก ปล่อยกระบี่บินที่ได้มาจากการเดิมพันหมากล้อมกับผู้ฝึกกระบี่แผ่นดินกลางคนหนึ่งออกมา แสงสีทองว่องไวราวสายฟ้าพุ่งหมุนวนเป็นวงกลมแนบติดพื้นดิน แล้วบินพรวดกลับมาที่หว่างคิ้วของชุยตงซาน ทว่าแสงสีทองที่หยุดลอยนิ่งอยู่บนพื้นกลับไม่สลายหายไปไหน ราวกับว่าใช้ผงสีทองวาดปากบ่อน้ำสีทองวงหนึ่งไว้บนพื้นอย่างไรอย่างนั้น

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เจ้าแม่เทพผืนดินของที่แห่งนี้ใจกล้า ไม่รู้จักกลัวตาย บังอาจสะกดรอยตามอาจารย์ไปที่ศาลบู๊ และนางก็ได้เห็นเรื่องบางอย่างที่ไม่สมควรเห็น ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือ นางถึงกับกล้าเอามาขอความดีความชอบจากศิษย์ นางไม่รู้จักห้าสิ่งที่มีความหมายและบุญคุณต่อมนุษย์ (ได้แก่ ฟ้า ดิน กษัตริย์ บุพการีและครูบาอาจารย์) บ้างเลยหรือ…”

เฉินผิงอันถามเข้าประเด็น “ดังนั้นเจ้าเลยฆ่าเจ้าแม่แห่งผืนดินไปแล้ว?”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ศิษย์ก็แค่ใช้เหตุผลพูดจากับนางอย่างปรองดอง บอกนางว่าวันหน้าอย่าทำผิดแบบนี้อีก เจ้าแม่แห่งผืนดินผู้นี้รู้เหตุผลและมารยาทดี แค่มองก็รู้แล้วว่าฟังเข้าหู ดังนั้นข้าจึงมอบโชควาสนาครั้งหนึ่งให้กับนาง ถือว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์เล็กๆ”

เฉินผิงอันพูดแทงใจดำชุยตงซานด้วยประโยคเดียว “หากไม่เป็นเพราะเจ้ายังต้องมาหาข้าครั้งนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าแม่แห่งผืนดินที่ขอความดีความชอบไม่สำเร็จคงถูกตัดรายชื่อทิ้งจากทำเนียบวงศ์ตระกูลแห่งแม่น้ำภูเขาแคว้นชิงหลวนไปแล้วกระมัง”

ชุยตงซานยิ้มประจบ “อาจารย์เข้าใจข้าผิดไปไกลแล้ว เดี๋ยวนี้ศิษย์ทำดีกับคนอื่นทุกเรื่องทุกเวลาเชียวนะ”

เฉินผิงอันดื่มน้ำชาหนึ่งอึก “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานกันเถอะ”

ชุยตงซานดื่มน้ำชาให้ลำคอชุ่มชื้น ตรึกตรองหาถ้อยคำที่เหมาะสมแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “เกี่ยวกับคราบร่างเซียนที่เป็นดั่งซี่โครงไก่นั้น หากอาจารย์โชคดี ไม่แน่ว่าอาจมีวิธีที่ทำให้ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

เฉินผิงอันเบิกตากว้าง “ชุยตงซาน เจ้าไม่ได้เป็นบ้ากระมัง?! ผีสาวในแผ่นยันต์ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าในสายตาของสำนักหยินหยาง กระดูกของมันแข็งพอหรือไม่ ต่อให้เจ้าใช้วิธีชั่งน้ำหนักหน่วยจินให้เป็นตำลึง ยกโครงกระดูกแข็งๆ นั่นไม่ไหว แต่ไม่ว่าจะพูดอีกสักกี่พันกี่หมื่นอย่าง นางก็ยังเป็นผี! เป็นผี! คราบร่างเซียนเหรินนี้คือจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่า!”

ชุยตงซานใช้นิ้วลูบไปบนถ้วยชาเบาๆ สีหน้าเฉยเมย จ้องตาเฉินผิงอันนิ่ง “จะมาสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม? ต่อให้สนใจก็ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของผีสาวในแผ่นยันต์หรอกหรือ อาจารย์จะต้องเปลืองแรงกายแรงใจไปกับมันทำไม?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปก่อน แต่จากนั้นก็พยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “คงไม่มีคำว่า ‘แต่ว่า’ ตามมาหรอกกระมัง?”

เมื่อความคิดของเขาฉุกขึ้น แผ่นยันต์กระดาษสีเหลืองที่ทำมาจากวัสดุพิเศษแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ล่องลอยส่ายไหวเบาๆ เฉินผิงอันใช้เวท ‘เปิดประตู’ ของพรรคมหายันต์ที่ไม่ถือว่าลึกล้ำเท่าใดนักปล่อยสือโหรวผีงามโครงกระดูกออกมาจากยันต์ที่เป็นทั้งบ้านและกรงขัง

สือโหรวลอยนิ่งอยู่เหนือโต๊ะ อาภรณ์สีสันสดใสลากระอยู่บนผิวโต๊ะ ชุยตงซานต้องเงยหน้ามองนาง

สือโหรวก้มหน้ามองไปเห็นเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงตรงหว่างคิ้ว แม้ฝ่ายหลังจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาบอกนางด้วยสี่คำอย่างชัดเจนว่า เจ้าอยากตายไหม?

แม้สือโหรวจะไม่รู้ตัวตนของคนผู้นี้ ถึงขั้นมองความตื้นลึกของตบะเขาไม่ออก แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความหวาดกลัวผุดขึ้นมา จึงรีบพลิ้วกายลงบนพื้น หมุนตัวกลับไป ไม่กล้ามองสบสายตากับเด็กหนุ่ม หันไปเผชิญหน้าเฉินผิงอันแทน ทว่าต่อให้ทำเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเสียวแผ่นหลังวาบๆ นางก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ พูดกับเฉินผิงอันด้วยสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลซึ่งค่อนข้างจริงใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “บ่าวคารวะนายท่าน”

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน ถูมือยิ้มบางๆ ท่าทางคันไม้คันมือเต็มแก่

เฉินผิงอันพยักหน้าให้เขา

ชุยตงซานยื่นมือมากดบ่าของผีสาวอาภรณ์สีสันฉูดฉาดตนนี้ นางรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ปราณดุร้ายของวัตถุหยินที่มีอยู่ทั่วร่างไหลพรั่งพรูออกมาจำนวนมหาศาล ใบหน้าบิดเบี้ยว เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ชุยตงซานแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่ยกนางขึ้นเบาๆ ร่างนางก็ลอยขึ้นช้าๆ ตามไปด้วย จนกระทั่งลอยพ้นพื้นมาหนึ่งฉื่อกว่า เขาก็เพิ่มน้ำหนักที่นิ้วมือ กระชากผีงามโครงกระดูกที่เผยความดุร้ายออกมาอย่างเต็มเปี่ยมตนนี้ให้สูงขึ้นอีกหนึ่งชื่อ ชุยตงซานยังคงไม่เลิกรา กระชากขึ้นเป็นครั้งที่สาม โครงกระดูกของผีสาวสือโหรวพลันคลายลงในชั่วพริบตา คล้ายกับถูกถลกเนื้อเละๆ ทั้งหมดที่อยู่บนกระดูก เป็นดั่งหุ่นเชิดที่ถูกเส้นใยยึดโยงไว้กลางอากาศถึงได้ไม่ล้มพับลงบนพื้น

ชุยตงซานปล่อยมือ ผีสาวยังคงลอยตัวอยู่ที่เดิม จิตวิญญาณสั่นสะท้าน ร่างล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ปราณชั่วร้ายอันเป็นพลังต้นกำเนิดไหลพรูออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ไม่ต่างจากเลือดที่ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นางอ้าปากกว้างคล้ายกำลังร้องโหยหวน แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา

ชุยตงซานเดินวนอ้อมนางหนึ่งรอบ สามครั้งที่ดึงร่างของผีสาวให้สูงขึ้นล้วนมีส่วนที่ต้องพิถีพิถัน ครั้งแรกใช้วิชาชั่งจินให้เป็นตำลึงของหมอดูมาชั่งปราณกระดูก ครั้งที่สองคือ ‘ดึงต้นกล้า’ ของอูจู้ (คำเรียกแม่มดหมอผีหรือคนทำพิธีบวงสรวงเซ่นสังเวย) ในสมัยโบราณ ครั้งที่สามก็ยิ่งเป็นวิชาลับ คือวิธีจับจุดสำคัญที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นโดยตัวเขาเอง จึงหลุดพ้นไปจากวิชาอภินิหารซึ่งเป็นผลงานของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ จนไม่ต่างจาก ‘วิธีอ่านตำราโดยฉายประกายคมกริบทั้งแปดด้าน’ เป็นวิธีการที่บุคคลระดับขั้นต่ำสุดของลัทธิขงจื๊อก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาถึงจะสามารถควบคุมได้

นอกจากชุยตงซานจะมีสมบัติอาคมเยอะแล้ว วิชาคาถาที่เขาเชี่ยวชาญก็เยอะมากเช่นกัน เมื่อกวาดสายตามองไปทั่วใต้หล้าไพศาลก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง

ชุยตงซานชำเลืองตามองเฉินผิงอัน พบว่าฝ่ายหลังมีสีหน้าเป็นปกติ

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าฟางอย่างในปีนั้นอีกแล้ว

ชุยตงซานเก็บความคิดทั้งหมดลงไป ดีดเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไปที่หว่างคิ้วของผีสาว ฝ่ายหลังร่วงลงบนพื้น มือกระดูกสองข้างยันพื้นไว้ ไหล่ห่อลง แม้แต่หน้าก็เงยไม่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าทนรับกับความทรมานไม่น้อย

ยังดีที่เงินร้อนน้อยเหรียญนั้นหลอมละหลายกลายเป็นปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ ทำให้ความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตวิญญาณผีสาวสงบลงไปได้หลายส่วน

เฉินผิงอันถาม “เป็นอย่างไร?”

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “พอใช้ได้ โชคของอาจารย์…ค่อนข้างจะธรรมดา”

คนทั้งสองกลับมานั่งตรงข้ามกันอีกครั้ง

เฉินผิงอันพูดกับผีสาวโครงกระดูกที่ลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซ “ข้ามีคราบร่างที่เท่าเทียมกับขอบเขตเซียนเหรินอยู่ร่างหนึ่ง เจ้ายินดีจะเข้าไปสิงสู่ในนั้นหรือไม่?”

ผีสาวตกตะลึงสุดขีด ไม่กล้าเชื่อเลยแม้แต่น้อยจึงเงียบงันไร้คำตอบโต้ไปชั่วขณะ

โชคดียิ่งใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ วัตถุหยินที่เป็นผีตนหนึ่งอย่างนางจะรับได้ไหวหรือ? อย่าว่าแต่ในสายตาของเทพเซียนพสุธาอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดเลย คราบร่างเซียนเหรินนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ยังอยากได้จนน้ำลายหก! หรือกระทั่งผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจจะตาแดงก่ำ ถึงอย่างไรการตั้งใจหล่อหลอมคราบร่างเซียนเหรินให้กลายมาเป็นเสื้อเกราะของจิตหยินที่ออกเดินทางไกลก็จะใช้ได้ทั้งรุกและรับ นั่นคือเรื่องดีงามดุจพยัคฆ์ติดปีก และยิ่งเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่

แม้นางจะเป็นภูตผีวัตถุหยินที่มีตบะต่ำต้อย หาไม่แล้วก็คงไม่ถึงขั้นถูกผู้ฝึกตนที่ขอบเขตยังไม่ถึงเซียนดินคนหนึ่งกักขังเล่นงานได้ตามใจปรารถนา แต่ก็เพราะความสัมพันธ์บางอย่างถึงทำให้แท้จริงแล้วสายตาของนางไม่ได้ตื้นเขิน

ผีสาวสือโหรวล่องลอยไปหยุดที่ประตูห้อง คุกเข่าลงไปแล้วเริ่มโขกศีรษะคำนับ นี่น่าจะแสดงถึงการขอร้องอ้อนวอนเฉินผิงอันและรวมไปถึงชุยตงซานด้วย นางพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “ขอโปรดเมตตา! ให้บ่าวได้มีเรือนกาย สามารถเดินอยู่ในโลกคนเป็นได้อย่างเปิดเผย! บ่าวจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านทุกชาติทุกภพ…”

ชุยตงซานพลันเดือดดาลอย่างหนัก ยกฝ่ามือตบผีสาวโครงกระดูกอยู่ไกลๆ ทำให้ศีรษะของนางเอียงไปทางเฉินผิงอันเท่านั้น “เจ้าจะมาโขกหัวให้ผีตัวเล็กอย่างข้าไปเพื่ออะไร เข้าใจกฎเกณฑ์บ้างไหม เข้าวัดจุดธูป ต้องกราบไหว้พระโพธิสัตว์และองค์เทพที่แท้จริง! คนเป็นทั้งคน เข้าไปในศาลบุ๋นบู๊แล้วจะโขกหัวกราบไหว้คนเฝ้าศาลอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าเจ้าสือโหรวเป็นผีมาหกร้อยปี สมองคงเสื่อมจนฝ่อไปหมดแล้ว!”

ผีสาวโขกหัวถี่ยิ่งกว่าเดิม พูดประโยคนั้นกลับไปกลับมา ขอให้เมตตา ขอให้มอบร่างให้นาง

เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในตรอกเล็ก ข้าไม่เคยพูดชื่อสือโหรวนี้ของนางออกมา เจ้าชุยตงซานรู้ได้อย่างไร? หายนะที่เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อีนั่นเป็นแผนการลับของเจ้ากับต้าหลีใช่หรือไม่?”

สีหน้าของชุยตงซานแข็งค้าง ครั้งนี้ตนคะนองจนหลงลืมตนเกินไปจริงๆ ถึงกับหลุดช่องโหว่บัดซบนี่ออกมาได้ เฮ้อ เล่นหมากล้อมกับคนฝีมือห่วยแตกอย่างหลูป๋ายเซี่ยงแล้วทำให้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของตัวเองถดถอยฮวบฮาบอย่างที่คิดไว้จริงๆ ชุยตงซานรีบลุกขึ้นยืน โค้งกายก้มต่ำอย่างถึงที่สุดพลางเอ่ยแก้ตัวให้ตัวเอง “เป็นฝีมือของราชครูชุยฉาน อาจารย์โปรดตรวจสอบให้กระจ่าง ไม่เกี่ยวข้องกับศิษย์ชุยตงซานแม้แต่น้อยเลย! ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง!”

คำพูดไร้ยางอายเช่นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่อาจหาข้อบกพร่องใดได้เลย

เฉินผิงอันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

ชุยตงซานแสร้งทำเป็นยกมือเช็ดหน้าผากที่ไม่มีเหงื่อ

แต่กลับพบว่าเฉินผิงอันกำลังมองไปที่ผีสาวตนนั้น ชุยตงซานจึงได้แต่ก้มตัวคารวะอีกครั้ง

—–