อวิ๋นเยี่ยมีเวลาพักผ่อนเพียงแค่สามวันที่บ้าน ในวันที่สี่เขาจะต้องเข้าร่วมประชุมเช้าพร้อมกับหลี่จิ้ง นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้กำหนดไว้และให้รัชทายาทมาแจ้ง เขาจึงได้แต่ต้องทำตาม อันที่จริงตามความคิดเขา แม้แต่เมืองฉางอันเขาก็ไม่อยากจะเข้ามา ฉางอันในช่วงต้นรัชศกเจินกวนยังคงสั่นคลอนอยู่ท่ามกลางมรสุมอยู่ตลอดเวลา สาเหตุที่เว่ยอ๋องและสู่อ๋องถูกส่งไปเรียนที่สำนักศึกษา ก็เพราะเดิมทีพวกเขาต้องไปรับตำแหน่งประจำที่ที่ดินพระราชทาน แต่ฮ่องเต้ตัดใจไม่ลงที่จะให้เลือดเนื้อต้องจากไปแดนไกล จึงหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง ซึ่งก็คือการไปเรียนที่สำนักศึกษา รอจนกระทั่งอายุสิบหกปี จึงค่อยไปยังที่ดินพระราชทานรับตำแหน่ง
พวกโหวจวินจี๋ต่างก็พากันถวายฎีกานับไม่ถ้วน โดยกล่าวว่าในเมืองหลวงควรจะให้รัชทายาทอยู่เพียงคนเท่านั้น สำหรับองค์ชายคนอื่นๆ ที่มีอายุเกินสิบสี่ปีจะต้องไปอาศัยยังที่ดินพระราชตามกฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์ ลูกสาวของเขาแต่งงานกับรัชทายาท เขากับรัชทายาทได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว แน่นอนว่าจะขับไล่ภัยคุกคามทุกอย่างให้ไปไกลๆ และหากว่าตายอยู่นอกเมืองหลวงให้หมดยิ่งเร็วก็ยิ่งเป็นการดี เป็นผลให้เขาถูกฮ่องเต้ตำหนิเป็นการส่วนตัว โดยบอกให้เขายุ่งเรื่องชาวบ้านให้น้อยลง เรื่องของราชนิกุลมีฮ่องเต้เป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องมาเอ่ยปากยุ่มย่าม
นี่เป็นเรื่องที่หลี่เฉิงเฉียนพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังขณะที่ทั้งสองนอนเอาขาดพาดกัน ดูออกชัดเจนว่าเขาสับสนมาก และดูเหมือนค่อนข้างจะไม่พอใจกับการกระทำของเสด็จพ่อเขา
ความเกลียดแค้นทั้งหมดก็เริ่มต้นด้วยความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อมีความไม่พอใจ การมองเหตุการณ์ต่างๆ ย่อมต้องมีการโอนเอนอย่างแน่นอน หลี่เฉิงเฉียนเองก็ไม่ใช่คนที่มีใจคอกว้างขวาง เมื่อความไม่พอใจสะสมนานวันเข้า ไม่ช้าก็เร็วความไม่พอใจก็จะกลายเป็นความเกลียดชัง ในที่สุดก็บานปลายไปจนถึงการใช้กำลังทหารมาห้ำหั่นกัน
“เฉิงเฉียน เจ้าบอกข้ามาว่า สุดท้ายแล้วใครคือผู้ที่สามารถตัดสินชะตากรรมของเจ้าได้” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยจึงถามหลี่เฉิงเฉียน
“แน่นอนว่าต้องเป็นเสด็จพ่อ นอกเหนือจากเสด็จพ่อแล้วก็ยังมีอีกคนคือเสด็จแม่ ส่วนคนอื่นไม่มีคุณสมบัตินี้ ข้าจะฉีกคนที่ต้องการมีคุณสมบัตินี้ออกเป็นชิ้นๆ” มังกรก็เป็นเช่นนี้ อาศัยความสามารถอันทรงพลังที่ตนเองมีอยู่ ใครก็ตามที่ต้องการจะอยู่เหนือศีรษะพวกเขา ก็จะมีจุดจบเป็นชิ้นๆ เท่านั้น บนศีรษะอันสูงส่งของพวกเขาจะมีใบไม้เพิ่มมาสักหนึ่งใบก็ยังไม่ได้ จะให้ดีที่สุดก็คือ การเงยหน้าแล้วเห็นท้องฟ้าที่ว่างเปล่า นอกเหนือจากสวรรค์แล้วห้ามมีอะไรอื่นอีก
“พูดได้ดีมาก เช่นนั้นเจ้าไปจับแม่ทัพโหวใช้ห้าม้าแยกร่าง จากนั้นก็จับทำเนื้อบดเสีย” อวิ๋นเยี่ยให้คำแนะนำแก่เฉิงเฉียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร แม่ทัพโหวทำไปก็เพราะหวังดีต่อข้า จะฆ่าเขาเพื่ออะไร นอกจากนี้ข้าก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้” เฉิงเฉียนลุกพรวดขึ้นมา พูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม
“เจ้าไม่รู้อะไร เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้าอาจเป็นคู่สามีภรรยาที่ผู้คนหวาดกลัวที่สุดในใต้หล้านี้ อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่ข้าพบฝ่าบาทและฮองเฮาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มทะเล้นๆ ข้ายังเคยถือกระบี่ไล่ฟันเสด็จพ่อเจ้าด้วย ถึงแม้ว่าจะถูกเสด็จพ่อเจ้าบีบบังคับ แต่ครั้งนั้นข้าระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีกที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสอง แล้วก็ไม่ใช่ว่าเพราะเช่นนี้หรือ จึงถูกทั้งสองท่านสั่งให้ข้าวิ่งรอกไปทั่วเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง ในเมื่อเจ้ารู้ว่าโชคชะตาเจ้าอยู่ในกำมือของเสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้า ไม่ไปประจบประแจงพวกเขา ทั้งยังมาบ่นกระปอดกระแปดไม่พอใจพวกเขาลับหลัง เจ้ามีศีรษะไว้วางอยู่บนบ่าอย่างเดียวหรือ”
ที่นี่คือห้องลับ ขอเพียงรอบตัวไม่มีคนนอก ความแตกต่างทางฐานะระหว่างอวิ๋นเยี่ยและเฉิงเฉียนจะหายไปทันที อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นธรรมชาติมาก หลี่เฉิงเฉียนเองก็ดูเหมือนจะมีความสุขกับมัน เพียงแต่เมื่อครู่ถูกวิจารณ์ว่าศีรษะเอาวางไว้บนบ่าอย่างเดียวนั้น ทำให้หลี่เฉิงเฉียนค่อนข้างอับอายจนเริ่มโกรธ จึงเตะเข้าที่กลางหลังอวิ๋นเยี่ย มีหรือที่อวิ๋นเยี่ยจะยอมขาดทุน แน่นอนว่าต้องตอบโต้กลับ ไม่นานนักผ้าห่มและเบาะที่นอนก็ถูกโยนลงไปที่พื้นจนหมด หลังจากหลี่เฉิงเฉียนโดนปาหมอนใส่แล้ว ทั้งสองก็พักรบหายใจกระหืดกระหอบ ยืนอยู่บนพื้นปูผ้าห่มและเบาะนอนใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็นอนต่อ
“เสี่ยวเยี่ย เจ้าว่าในวันหน้าข้าจะกลายเป็นเจ้านายของต้าถังหรือไม่” หาหมอนไม่เจอแล้ว หลี่เฉิงเฉียนจึงวางสองมือซ้อนไว้ใต้ศีรษะ แล้วมองขึ้นไปที่หลังคาพลางถามอวิ๋นเยี่ย
“นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเป็นพี่ใหญ่ของครอบครัว เจ้าเป็นลูกชายคนโตของภรรยาหลวง พ่อเจ้าเป็นฮ่องเต้ แม่แท้ๆ ของเจ้าเป็นฮองเฮา ในภายหน้าหากเจ้าไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ใต้หล้านี้ใครยังจะเป็นฮ่องเต้ได้อีก นอกจากนี้ เจ้าเองก็หน้าตาดีเช่นนี้ สู่ขอลูกสาวของแม่ทัพโหวมาเป็นไท่จื่อเฟย ทั้งเวลา สถานที่และสถานะทั้งหมดล้วนถูกเจ้าครอบครองไว้หมดแล้ว ยังจะกังวลอะไรอีก”
“แต่เสด็จพ่อข้าเป็นลูกคนรอง” หลี่เฉิงเฉียนกัดฟันอยู่นาน ก่อนที่จะพูดประโยคนี้ออกมา
“ก็เพราะเสด็จพ่อของเจ้าเป็นลูกคนรอง ดังนั้นตำแหน่งฮ่องเต้ของเจ้าจึงเรียกได้ว่ามั่นคงกว่าเก้าส่วน แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าเจ้าต้องรักษาสถานะของลูกชายที่ดีดังเช่นตอนนี้เอาไว้”
“นี่มันเป็นหลักเหตุผลของลัทธิไหนกัน เจ้าพูดมาให้ชัดเจน” หลี่เฉิงเฉียนเลิกนอนแล้วกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง
“ยังจำได้หรือไม่ว่าข้าสอนเจ้าเรื่อง ‘สวรรค์จะมอบภารกิจอันใหญ่หลวงให้ใครสักคน’ ไว้อย่างไร”
“สิ่งที่เจ้าพูดเหล่านี้เหมาะกับผู้อื่นเป็นอย่างมาก แต่เกี่ยวอะไรกับที่เสด็จพ่อข้าเป็นลูกคนรองด้วย”
“เสด็จพ่อเจ้าเป็นผู้ริเริ่มการเป็นแบบอย่างที่เลวร้ายแห่งต้าถัง เพื่อที่จะชดเชยกับการกระทำที่เลวร้ายของเขาไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อรุ่นลูกรุ่นหลาน แน่นอนว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษากฎมณเฑียรบาลของราชวงศ์เอาไว้ เรื่องบางอย่างเขาทำได้ แต่จะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าไปทำอย่างแน่นอน อีกทั้งใครก็ตามที่ทำมันจะโชคร้าย ข้าก็เชื่อว่าจะโชคร้ายไปตลอดชีวิตด้วย”
“เสี่ยวเยี่ย นี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าบอกว่า ‘สวรรค์จะมอบภารกิจอันใหญ่หลวงให้ใครสักคน’ คำพูดที่โด่งดังแต่โบราณนี้สามารถบอกกับคนอื่นได้เท่านั้น แต่ตนเองไม่สามารถปฏิบัติตามได้ใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นนักบุญหรือ เจ้าต้องการที่จะเป็นนักบุญหรือ เจ้าพร้อมที่จะเป็นนักบุญหรือ ฮ่องเต้ไม่สามารถเป็นนักบุญได้ รวมถึงจักรพรรดิและกษัตริย์ตั้งแต่โบราณกาลทั้งหมด” อวิ๋นเยี่ยเตรียมจะยุติการสนทนา วันนี้สิ่งที่ควรพูดและสิ่งที่ไม่ควรพูดก็พูดไปมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีนัก การเข้าไปพัวพันกับเรื่องในบ้านของราชนิกุล ตั้งแต่สมัยโบราณก็ไม่เคยมีใครพบจุดจบที่ดี โชคดีที่เตรียมตัวอยู่ห่างจากราชวงศ์ไว้แต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นต่อให้ฆ่าให้ตายก็จะไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้แน่ เรื่องบางอย่างเพียงแค่พูดนั้นไม่เป็นไร แต่หากลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยก็คือรนหาที่ตาย
“เสี่ยวเยี่ย เรามาคุยกันก่อน เจ้าอย่าเพิ่งนอนสิ”
“เจ้าละเว้นข้าเถอะ ข้าง่วงนอนจะตายอยู่แล้ว รีบเร่งเดินทางตั้งหลายวัน ทั้งวันนี้ก็ดื่มเหล้าเข้าไปมากด้วย เลิกคุยกับข้าได้แล้ว หากมีเวลามาพูดคุยกับข้า เอาเวลาไปคิดเรื่องการที่จะอยู่กันอย่างกลมเกลียวกับพ่อแม่พี่น้องของเจ้าจะเป็นสิ่งที่ควรทำกว่า” หลังจากพูดจบก็ดึงผ้าห่มคลุมโปงแล้วหลับไป โดนหลี่เฉิงเฉียนถีบอีกสองครั้งก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แสร้งทำเป็นเป็นสุนัขที่ตายแล้ว
อวิ๋นเยี่ยยังคงหลับอยู่ขณะที่หลี่เฉิงเฉียนออกไป ไม่ได้ไปส่ง นี่คือสิ่งที่รัชทายาทกำชับไว้ แม้ว่ารัชทายาทจะไม่ได้กำชับไว้ อวิ๋นเยี่ยก็จะไม่มุดออกจากผ้าห่มอันอบอุ่นและสวมชุดข้าราชการเพื่อส่งเขาอย่างแน่นอน
เสี่ยวยาวิ่งมาดูที่ห้องของพี่ชายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ผิดหวังมาก พี่ชายของนางยังคงหลับอยู่ท่านย่าสั่งว่าห้ามไปรบกวน จึงได้แค่ยื่นหน้านางไปใกล้ๆ หน้าพี่ชายแล้วมองดูอย่างละเอียด หวังว่าพี่ชายจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ ตัวเองมีเรื่องที่อยากจะพูดกับพี่ชายมากมายนัก
วั่งไฉนั้นคุ้นเคยกับห้องของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างดี แต่ไม่อนุญาตให้มันเข้าไปในห้อง มันจึงได้แต่ใช้หัวเปิดหน้าต่างแล้วหายใจฝึดๆ เพื่อปลุกให้อวิ๋นเยี่ยตื่นขึ้น ใกล้จะเที่ยงวันแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงได้บิดขี้เกียจยาวๆ หลังจากตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงกระดูกสันหลังส่วนเอวบิดดังเสียงกร๊อบๆ ก็พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายเขาเติบโตขึ้นแล้ว
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยขยับวั่งไฉก็ส่งเสียงร้องอย่างความสุข ทำให้เสี่ยวยาซึ่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียงตกใจตื่นด้วย เมื่อเห็นพี่ชายตื่นขึ้นเสี่ยวยาก็รีบปีนขึ้นไปบนเตียงทันที หยิบเสื้อผ้าและช่วยสวมให้พี่ชายด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทุกคนในครอบครัวต่างก็รู้ว่าพี่ชายสวมเสื้อผ้าไม่ค่อยเป็น ถ้าไม่ลืมชิ้นนั้นส่วนนี้ก็สวมแล้วเบี้ยวไปมา อวิ๋นเยี่ยเองก็ขี้เกียจจะอธิบายกับคนในครอบครัวว่าขณะที่เขาอยู่ข้างนอกนั้นตนเองไม่เคยสวมเสื้อผ้าผิดเลย หรือจะบอกว่านี่เป็นโรคขี้เกียจ
ขนแปรงสีฟันของอวิ๋นเยี่ยร่วงหายหมดแล้ว ตอนนี้เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามจึงใช้กิ่งหลิวทำความสะอาดปาก เขาให้คนในบ้านทำแปรงสีฟันด้วยขนหมูขึ้นมาหลายด้ามแต่ไม่มีใครใช้มันโดยบอกว่ามีแต่กลิ่นสาบหมู วันนี้อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น เอาแต่ซ่อนตัวที่บ้านพักผ่อนอย่างสบายๆ ทั้งวัน ถ้าหากซินเย่ว์อยู่ปรนนิบัติที่บ้านก็จะดีมากเลย เขาคิดถึงความรู้สึกที่มือสัมผัสเมื่อวานนี้เป็นอย่างมาก
แขกกลับไปหมดแล้ว อวี้ฉือจอมโง่ถูกภรรยาสองคนของเขาหามกลับไป เหล้าห้าสิบดีกรีของตระกูลอวิ๋นไม่ได้มีดีแต่ชื่อ นักเรียนต่างก็กลับไปสำนักศึกษาหมดแล้ว หากการขานชื่อในตอนเช้าและไม่พบพวกเขา หลิวเซี่ยนจะให้พวกเขาได้ลิ้มลองความร้ายกาจของกฎของสำนักศึกษา
มันแย่มากจริงๆ เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็รู้สึกง่วงนอนแล้ว ปากก็อ้าค้างเหมือนฮิปโปโปเตมัส น้ำตาก็ยังไหลอีก ท่านย่าบอกว่านี่เป็นผลจากการฝืนร่างกายอย่างหนักขณะที่อยู่ชายแดน ต้องพักผ่อนให้มากๆ ที่ท่านย่าพูดมาก็สมเหตุสมผล แม้อวิ๋นเยี่ยจะคิดว่าขณะที่ตัวเองอยู่ที่ทุ่งหญ้านั้นเวลาที่นอนยังนานกว่าเวลาที่ยืน ไม่ได้ยากลำบากดังเช่นที่ท่านย่าจินตนาการก็ตาม
อวิ๋นเยี่ยกินผักดองเค็มไปหลายคำกับข้าวต้มชามใหญ่ อยากจะออกไปข้างนอกเดินเล่นเสียหน่อย วั่งไฉนั้นรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เดินวนเวียนอยู่หน้าประตูไม่ยอมหยุด บีบนวดไขมันส่วนเกินของวั่งไฉแล้วถอนหายใจ ทำไมจึงกินจนเป็นเช่นนี้นะ ม้าดีๆ แท้ๆ จะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องกำจัดไขมันส่วนเกินให้หมดไปโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่ออายุขัยของวั่งไฉ
ครั้นแล้วจึงผูกตัวรถม้าไว้กับวั่งไฉ แม้ว่าจะไม่เคยชินก็ตามแต่วั่งไฉก็ยังคงแสดงออกถึงการเชื่อฟังที่ดี รถม้านั้นเป็นรถขนาดเล็ก ซึ่งก็คือแบบที่สามารถนั่งได้สองคนเท่านั้น ไม่ได้มีการล็อกที่สลับซับซ้อนเหมือนรถม้าที่บ้าน พยายามทำให้ง่ายที่สุด ซึ่งแทบจะเป็นเพียงแค่ม้าลากโซฟาสองที่นั่งเท่านั้นเอง
ล้อที่บางและสูงวิ่งอยู่บนถนนหินได้อย่างคล่องแคล่ว ส่งเสียงกึกกักๆ เหมือนกับการนั่งรถไฟ วั่งไฉนั้นไม่ต้องการให้คนควบคุม ดูเหมือนว่ามันจะรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการจะทำอะไร มันวิ่งเลาะไปตามถนนเส้นเล็กๆ ระหว่างเขาไม่นานก็ขึ้นไปบนภูเขา
เสี่ยวยาตื่นเต้นมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถม้าประหลาดเช่นนี้ เกาะประตูรถไว้และมองดูภายนอกไม่ยอมเลิก
หุบเขาที่โดยปกติแล้วค่อนข้างจะกันดารได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อาคารหลังกเล็กๆ ถูกปลูกสร้างขึ้นระหว่างต้นสนและไซเปรส กำแพงอิฐแดงและหลังคามุงกระเบื้องสีแดง บ้านทั้งหลังเสมือนเปลวเพลิง หน้าต่างเป็นสีขาว ด้านบนบุด้วยกระดาษกึ่งโปร่งแสง บางคนที่ใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองก็ใช้หนังสัตว์ที่บางที่สุดมาปิดหน้าต่างซึ่งแสงสว่างสีเหลืองอ่อนสามารถส่องผ่านหนังสัตว์นั้นได้ ซึ่งไม่ใช่ว่าหน้าต่างที่บุด้วยกระดาษจะนำมาเทียบได้
ตอนนี้อาคารหลังเล็กๆ ดูเหมือนจะมีผู้คนอยู่อาศัยเต็มหมดแล้ว บางครั้งก็มีหญิงผู้ติดตามยืนบนหลังคาและมองไปรอบๆ ซึ่งนี่ดีกว่าการถูกกักอยู่ในลานบ้านที่มีกำแพงสูงเป็นอย่างมาก หญิงราชวงศ์ถังนั้นห้าวหาญ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยและเสี่ยวยานั่งรถม้ามา จึงต่างพากันทยอยหันมาดูทางนี้ บางคนที่ใจกล้าก็โบกมือทักทาย เสี่ยวยาก็คึกคักขึ้นทันที กระโดดอยู่ตรงที่นั่งโบกมือให้หญิงสาวที่อยู่ด้านบนอาคารทั้งยังตะโกนเสียงดังว่า “พี่ซินเย่ว์รีบลงมาเร็วๆ พวกเรามาเล่นด้วยกัน รถม้านั้นสนุกมากเลย” ตะโกนพลางดึงบังเ**ยนเพื่อให้วั่งไฉหยุด
ที่แท้เป็นซินเย่ว์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้าหาญเช่นนี้ เมื่อวานนี้เรื่องดีทำไม่สำเร็จอวิ๋นเยี่ยเสียใจอยู่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีโอกาสหรือไม่ เมื่อเห็นเสี่ยวยาที่คึกคักอวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าวันนี้ต้องไม่มีละครให้เล่นแน่เลย มีก้างชิ้นเล็กๆ นี้ขวางคออยู่มีโอกาสก็คงเป็นเรื่องแปลกแท้
ซินเย่ว์ที่สวมกระโปรงยาวอย่างรวดเร็วก็พาสาวใช้มาที่หน้ารถม้า ดูของเล่นใหม่ด้วยความสนใจ รถม้าที่ไม่มีขอบและมุมสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีลักษณะเป็นรูปโค้งอย่างเรียบง่ายทั้งหมด ไม่หนักเหมือนรถม้าแบบเก่า ดูแล้วรู้สึกเบาสบาย เหมาะที่สุดสำหรับการออกไปเที่ยวข้างนอกในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่น่าเสียดายที่มันเล็กเกินไป จึงสามารถนั่งได้แค่สองคนเท่านั้น ซินเย่ว์เบียดกับเสี่ยวยา ส่วนสาวใช้เสี่ยวชิวได้แต่เบ้ปากแล้วเดินกลับบ้านเอง
ล้อรถเริ่มหมุนอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยอมยิ้มจ้องมองหน้าอกที่ทรวงอกที่ถูกเบียดจนนูนออกมาของซินเย่ว์ จึงได้มาซึ่งแววตาอันดุดันและอาการเจ็บที่แขน แต่ก็ฝืนกลั้นไว้ไม่ส่งเสียง เสี่ยวยาสะบัดบังเ**ยนเร่งให้วั่งไฉวิ่งเร็วขึ้น วั่งไฉเองก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวามาก จึงลากรถม้าควบไปอย่างรวดเร็ว