ภาคแยก | บทที่ 23 เรียกชื่อข้า

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

พิทูเนียกำลังพูดอย่างสนุกปาก ครั้นเห็นว่าเจ้าของเสียงที่พูดแทรกขึ้นมาคือจักรพรรดิลูซิโอ นางก็ยิ้มพรายราวกับมองไม่เห็นสีหน้าโกรธขึ้งของเขา

“ถวายบังคมฝ่าบาท” พิทูเนียทักทายเสียงใส

“จักรพรรดินี ดูเหมือนเลดี้ผู้นี้กำลังเสียมารยาทกับเจ้าอยู่นะ”

ลูซิโอเมินพิทูเนียผู้แสนสดใสแล้วหันไปพูดกับแพทริเซีย พิทูเนียเห็นดังนั้นก็นิ่วหน้าไม่พอใจ ในขณะที่แพทริเซียซึ่งเฝ้ามองอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้นได้แต่ถอนหายใจในใจ

ข้าต้องตาถั่วจนมองคนไม่ออกแล้วเป็นแน่ มัวแต่ดูพื้นฐานครอบครัวจนเลือกสตรีพรรค์นี้มาเป็นพระสนมหรือนี่

แพทริเซียตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ไม่รู้สิเพคะ ดูเหมือนเลดี้พิทูเนียไม่คิดว่าการกระทำของตนเป็นการเสียมารยาท… พูดไปอาจกลายเป็นที่ขบขันเสียเปล่าๆ”

“ใครบังอาจเห็นจักรพรรดินีของจักรวรรดิเป็นตัวตลก บอกเรามา ไม่ต้องกังวล”

“มาร์เชอเนสพรินสกี เจ้าพูดเถอะ”

“หม่อมฉันขอกราบทูลตามจริง เลดี้เบลินซ์ ‘ว่าที่พระสนม’ ได้บอกกับพระจักรพรรดินีว่าตนมีความสามารถในการตั้งครรภ์ดีเยี่ยม ไม่ต้องห่วงว่าตนจะเป็นหมันเพคะ หม่อมฉันเห็นว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฝ่าบาท คำพูดของเลดี้จึงนับว่าเสียมารยาทอย่างร้ายแรงจึงได้กล่าวตักเตือน ทว่า เลดี้กลับเห็นว่าชีวิตส่วนตัวของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของจักรวรรดิ และยืนกรานว่าตนไม่ได้พูดอะไรผิด ทั้งยังกล่าวว่าสตรีที่เป็นหมันนับว่าขาดคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดินีเพคะ”

มีร์ยาเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วรายงานต่อลูซิโออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ลูซิโอได้ฟังดังนั้นสีหน้าก็ดำทะมึนไปครึ่งแถบ ตอนนั้นเองพิทูเนียถึงได้รับรู้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ นางจึงรีบหาทางกู้หน้า

“ฝะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้พูดจาเสียมารยาทถึงขนาดนั้นนะเพคะ”

“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่ามาร์เชอเนสพรินสกีกุเรื่องขึ้นมาอย่างนั้นรึ”

“มะ มิได้…”

“เจ้านี่ช่างไร้มารยาทสิ้นดี เลดี้เบลินซ์” ลูซิโอระเบิดโทสะออกมาด้วยสีหน้าดุดัน “เรื่องลูกย่อมเป็นเรื่องของ ‘เราสองสามีภรรยา’ มิใช่ปัญหาที่บุคคลที่สามจะมาสอดปาก หรือต่อให้สอดปากได้ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำตัวล่วงเกินจักรพรรดินีพูดจาส่งเดชเรื่องคุณสมบัติ! เราสงสัยจริงๆ ว่าเจ้ามาจากตระกูลชนชั้นสูงจริงหรือไม่ มาร์ควิสเบลินซ์อบรมสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ”

“ไม่ใช่นะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแค่…”

“เราไม่อยากฟังคำแก้ตัว เลดี้เบลินซ์ หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เราคงไม่ยอมรับคำขอของจักรพรรดินีตั้งแต่แรก”

ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธแล้วจริงๆ ลูซิโอจึงกล่าวออกมาเสียงดัง แน่นอนว่านั่นทำให้สายตาทุกคู่หันมาจับจ้องทางนี้ แพทริเซียจึงรู้สึกกระดากอายขึ้นมา แต่ไฟโทสะของลูซิโอก็ยังคงลุกโชนต่อไป

“อีกอย่าง เจ้ากำลังจะได้เป็นสนมมิใช่รึ เช่นนั้นเราคิดว่าแม้เจ้าจะไม่ให้เกียรติหรือให้ความเคารพจักรพรรดินีในฐานะข้าราชบริพาร แต่อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ควรกล่าววาจาไร้มารยาทให้นางต้องขุ่นเคืองใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นสมาชิกของราชวงศ์กลับนำเรื่องในรั้วในวังมาพูดในที่สาธารณะเช่นนี้ได้หรือ”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว โปรดระงับโทสะด้วยเถิดเพคะ”

ในที่สุดพิทูเนียก็เข้าใจสถานการณ์รีบหมอบลงแทบเท้าของลูซิโอ แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่าความโกรธของลูซิโอไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เขาเมินพิทูเนียและหันไปถามแพทริเซีย

“จักรพรรดินี ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท”

“เจ้าไม่ขุ่นเคืองใจหรือ”

“…จะตอบว่าไม่ก็คงเป็นการโกหกเพคะ”

แพทริเซียมองพิทูเนียที่หมอบอยู่แทบเท้าลูซิโอด้วยสายตาเย็นชา แต่เพียงครู่เดียวก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้มีสายตาจับจ้องอยู่มากมาย นางจึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ลูซิโอแล้วกระซิบเสียงค่อย

“ดำเนินงานต่อเถอะเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อยากให้เสียบรรยากาศเพราะหม่อมฉันคนเดียว”

“…”

แม้แพทริเซียจะพูดเช่นนั้นแต่สีหน้าของลูซิโอก็ยังดูเคร่งเครียด

“ขออภัยที่เราทำให้เสียบรรยากาศโดยไม่ตั้งใจ เชิญทุกท่านสนุกกับงานต่อเถอะ”

สิ้นเสียงของลูซิโอ เหล่าชนชั้นสูงที่อยู่โดยรอบก็แยกย้ายกลับที่ของตัวเอง นักดนตรีที่หยุดมือไปครู่ก็เริ่มบรรเลงเพลงต่ออีกครั้ง แต่พิทูเนียยังคงหมอบตัวสั่นเทิ้มอยู่ข้างเท้าของลูซิโอ มิใช่เพราะนางกลัว แต่เพราะนางอับอายและรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม

กล้าดีอย่างไรมาดูหมิ่นข้าเช่นนี้!

พิทูเนียกัดริมฝีปากแน่น นางทั้งอับอายและขายหน้าจนอยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ลูซิโอมองนางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเอ่ย

“เราคงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าเลดี้มี ‘คุณสมบัติของการเป็นสนม’ หรือไม่”

พูดจบ เขาก็หมดความสนใจในตัวพิทูเนียอย่างสิ้นเชิง ลูซิโอเข้าไปหาแพทริเซียและเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

“สีหน้าไม่ดีเลย ไม่พักสักหน่อยหรือ”

“จะให้หม่อมฉันไปพักด้วยเรื่องแค่นี้คงจะน่าขันเกินไปหน่อยกระมังเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียยิ้มน้อยๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ ฝ่าบาท ที่จริงนางก็พูดถูก”

“ริซซี่…”

“ทรงเต้นรำกับหม่อมฉันสักเพลงได้ไหมเพคะ”

แพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นพลางยื่นมือให้ลูซิโอ ลูซิโอมองมือนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วคว้ามือตรงหน้ามาจับไว้

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง จักรพรรดินี”

งานเลี้ยงจบลงโดยสวัสดิภาพ แต่อารมณ์ของแพทริเซียยังไม่ค่อยสู้ดีนัก นางรู้สึกเจ็บใจกับเรื่องของพิทูเนียอย่างมาก นางไม่มั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับพิทูเนียในฐานะสนม ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดว่าพิทูเนียเป็นสนมที่จะต้องให้กำเนิดรัชทายาทในอนาคต แพทริเซียก็ยิ่งคิดว่าจะให้นางเข้ามาเป็นสนมไม่ได้เด็ดขาด โชคดีที่แพทริเซียมีเหตุผลเพียงพอที่จะปลดอีกฝ่ายและบางทีเรื่องนี้อาจช่วยยกระดับอำนาจของตนในฐานะจักรพรรดินีได้อีกด้วย เมื่อตัดสินใจได้แล้วแพทริเซียจึงหันไปสั่งมีร์ยา

“ข้าคงต้องคัดเลือกพระสนมใหม่ เจ้าช่วยนำรายชื่อผู้เข้ารับการคัดเลือกที่รวบรวมไว้คราวก่อนมาให้ข้าทีได้หรือไม่”

“ได้เพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาตอบอย่างนอบน้อมแล้วถามต่อทันที “จริงสิ ฝ่าบาทเพคะ แล้วเรื่องการช่วยเหลือราษฎรยากไร้คราวหน้าจะจัดการอย่างไรดีเพคะ ทรงวางแผนไว้บ้างหรือไม่”

“อ้อ เรื่องนั้นข้า…”

พูดมาถึงตรงนี้แพทริเซียก็พลันขมวดคิ้ว มีร์ยาเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปเพคะ ไม่สบายตรงไหนหรือ”

“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น…” แพทริเซียยังคงขมวดคิ้วพลางตอบ “ข้าลืมไปเสียสนิทเลย”

“อะไรหรือเพคะ”

“ชายชราคนนั้น ข้าสัญญากับเขาไว้ว่ากลับถึงวังแล้วจะติดต่อไป…”

“หมายถึงที่โซเบโทเมื่อไม่นานมานี้หรือเพคะ”

“ใช่ๆ โซเบโท” แพทริเซียหันไปมองมีร์ยาก่อนจะออกคำสั่ง “ก่อนอื่นเจ้าช่วยพาชายชราคนนั้นมาที่วังที มีร์ยา เป็นไปได้ให้พามาภายในวันนี้เลย ข้าทำให้ผู้อาวุโสต้องรอนานเสียแล้วสิ”

“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะไปจัดการทันที”

“แย่จริง เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้วหรือนี่ ข้าลืมไปเสียสนิทเลย”

“นั่นเพราะหมู่นี้ฝ่าบาทยุ่งมากน่ะสิเพคะ เขาน่าจะเข้าใจ”

“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”

ตอนนั้นเองพวกนางก็ได้ยินเสียงนางกำนัลดังมาจากข้างนอก แพทริเซียหุบปากฉับก่อนจะเปิดปากพูดอีกครั้ง

“รีบเชิญเสด็จ”

“ฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว”

คล้อยหลังมีร์ยา ลูซิโอก็เข้ามาในห้องทำงานของแพทริเซีย แพทริเซียยังคงต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มเช่นเคย

“ฝ่าบาท เสด็จมาด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ”

“ใช่ว่าเราต้องมีธุระจึงจะมาหาเจ้าได้เสียหน่อย”

นั่นก็จริง แพทริเซียยิ้มบางๆ

“รับชาสักแก้วไหมเพคะ”

“เจ้าชงชาเป็นหรือ”

“ให้หม่อมฉันชงให้ได้หรือไม่เพคะ”

“เช่นนั้นย่อมเป็นเกียรติอย่างมาก”

ได้ยินลูซิโอพูดดังนั้น แพทริเซียก็เผลอยิ้มออกมา นางเดินไปจูบแก้มเขาเบาๆ ก่อนจะกระซิบ

“โปรดรอสักครู่นะเพคะ เมื่อไม่นานมานี้หม่อมฉันเพิ่งได้ใบชาดีๆ มาพอดี”

“เราจะตั้งตารอ”

ลูซิโอจูบที่ริมฝีปากของแพทริเซียทีหนึ่งเป็นการตอบรับ แพทริเซียก้าวเนิบๆ ไปยังตู้เก็บชาที่อยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าที่ปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิด ลูซิโอนั่งลงที่โต๊ะรับรองพลางมองไล่หลังไปด้วยความสุขใจ

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น แพทริเซียก็รินชาใส่ถ้วยชาแสนสวยของตนแล้วนำมาให้ลูซิโอ

“ลองเสวยดูสิเพคะ”

“กลิ่นหอมดีนะ”

ลูซิโอยกถ้วยชามาใกล้จมูกเพื่อดมกลิ่น จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ชานี้ใสสะอาดเหมือนกับคนชง

“เพิ่งรู้ว่าเจ้ามีความสามารถด้านการชงชาด้วย” เขาว่า

“ก็หม่อมฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ชงชานี่เพคะ อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่คนพิเศษหม่อมฉันก็ไม่ชงให้หรอก”

“หมายความว่าเราเป็นคนพิเศษหรือ”

“แน่นอนสิเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียตอบคำถามทันที และพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พระองค์เป็นคนที่พิเศษที่สุดในโลกสำหรับหม่อมฉันเพคะ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เราเองก็เช่นกัน”

“หม่อมฉันรู้เพคะ”

แพทริเซียหัวเราะคิกคักก่อนจะก้มลงจิบชา ลูซิโอมองอีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

“เรื่องที่งานเลี้ยงคงทำให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อย”

“….”

ครั้นได้ยินเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ ริมฝีปากของแพทริเซียก็แข็งทื่อ ลูซิโอเห็นปฏิกิริยานั้นจึงพูดต่อ

“ขอเพียงเจ้าอนุญาต เราก็อยากจะเลือกสนมใหม่ เรื่องอื่นจะเป็นอย่างไรเราไม่สนใจ แต่เราไม่อยากรับสนมที่ไม่เคารพเจ้าเข้ามา”

ได้ฟังดังนั้น แพทริเซียก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ลูซิโอมองปฏิกิริยานั้นอย่างฉงน แพทริเซียจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“ทำอย่างไรดีเล่าเพคะ ฝ่าบาท ที่จริงเมื่อครู่หม่อมฉันก็เพิ่งสั่งให้มาร์เชอเนสพรินสกีนำรายชื่อผู้เข้ารับการคัดเลือกสนมเมื่อคราวที่แล้วมาให้”

“ว่าแล้วเชียว พวกเรานี่เข้าใจกันดีจริงๆ”

“ทรงภาคภูมิใจกับเรื่องแปลกๆ นะเพคะ”

“ร่างกายของเราก็เข้ากันได้ดีมิใช่หรือ”

“เพคะ?”

บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้แพทริเซียเบิกตากว้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ระหว่างนั้นลูซิโอก็วางถ้วยชาลงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ทันใดนั้นเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าแพทริเซียที่ยิ้มแหยก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันแล้วครอบครองริมฝีปากของหญิงสาวโดยไม่เอ่ยคำพูดใด

“ฝ่า…”

มือข้างหนึ่งของแพทริเซียคว้าคอเสื้อของลูซิโอไว้ด้วยความตกใจ ส่วนอีกข้างกุมถ้วยชาที่ยังพร่องไปได้ไม่ถึงครึ่งไว้แน่น ร่างบางเอนกายไปด้านหลังตามแรงโถมรุนแรงที่ส่งผ่านมาทางริมฝีปาก

ถ้วยชาที่อยู่ที่มือขวาสั่นไหวตามแรง

น้ำชากระเพื่อมจนแทบจะกระฉอกออกมา แต่แพทริเซียกลับรู้สึกดีอย่างประหลาดกับสถานการณ์นี้ หญิงสาวเรียกลูซิโอด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวกว่าเมื่อครู่

“ฝ่าบาท”

“เรียกชื่อข้า ริซซี่”

 น้ำเสียงของเขาเย้ายวนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ทำให้แพทริเซียเผลอหลับตาแน่น