ตอนที่ 855 ชำระล้างสำนัก

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

“ฉันประมาทนายเกินไป” เจ๋อเมิ่งมองกระบี่เฉิงอิ่งที่แทงทะลุท้อง “ใช้พลังของคนธรรมดาทำร้ายฉันได้ สมแล้วที่เป็นสายเลือดพิเศษ” 

 

 

ระหว่างที่พูดนั้น เจ๋อเมิ่งก็ดึงกระบี่ออกจากร่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวดและโยนมันลงที่พื้น “กระบี่เมื่อครู่นั้นน่าสนใจไม่น้อย ถ้านายมีเวลาเตรียมมากกว่านี้ฉันคงตายไปแล้ว” 

 

 

หลี่ว์ซู่ยืนอยู่กับที่นิ่งๆ ถึงจะถูกควบคุมเอาไว้แต่ก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก สายเลือดคำนี้เหมือนเขาเคยได้ยินใครสักคนพูดกับเขาแต่เขาจำไม่ได้ 

 

 

เจ๋อเมิ่งเฮ้ยถึงสายเลือดเรากลับว่ารู้ตัวตนและที่มาที่ไปของเขา ที่ฝ่ายรอคอยเขางั้นคงเป็นเพราะเลือดของเขาเท่านั้นที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้! 

 

 

ประตูนี้คือเส้นทางที่ปรมาจารย์หุ่นเชิดเดินทางมาที่โลกไม่ใช่เหรอแล้วมันเกี่ยวกับเขาได้อย่างไร! 

 

 

เจ๋อเมิ่งมองหลี่ว์ซู่ “อยากรู้ไหม อยากรู้ก็ถามมา ฉันจะบอกนายเอง” 

 

 

“เจ็บแผลไหม” หลี่ว์ซู่หัวเราะคิกคัก 

 

 

ชายชุดดำข้างๆ เขาเหวี่ยงหมัดต่อยท้องเขาทันที หลี่ว์ซู่ร้องเจ็บปวด กล้ามเนื้อทั่วร่างเขาเริ่มสั่นเพราะความเจ็บปวดรุนแรง เขาก้มหน้ากัดฟันเงียบไม่พูดอะไรเพื่อจะหาไพ่ไม้ตายที่ยังใช้ได้ 

 

 

ตาข่ายแดงนั้นคือโซ่พันธนาการไม่ใช่ว่าพลังของเขาหายไปจนหมดแต่เหมือนกับถูกกักขังเอาไว้ 

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่เพิ่งจะตระหนักว่าที่แท้พลังของผู้บำเพ็ญอยู่ที่พลังจิตวิญญาณส่วนพลังของเขามาจากพลังแห่งดวงดาว ถ้าแผนที่ดวงดาวของเขาถูกกักเอาไว้ เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น 

 

 

แต่…เมื่อไหร่ที่เขาจะแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเรากลับตนเองไม่มีอาวุธต่อสู้ในเวลาที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ร่างกายที่เขาภูมิใจมาตลอดตอนนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้แล้ว 

 

 

ถ้าเขามีชีวิตรอดไปได้เขาจะต้องสร้างร่างกายให้แข็งแรงอย่างแน่นอน 

 

 

หลี่ว์ซู่สัมผัสถึงความโกรธของแผนที่ดวงดาวที่พยายามทำลายพันธนาการของด้ายแดง แต่พลังของเขาตอนนี้ดูอ่อนแอลงไปเยอะ 

 

 

พลังที่เขามีเช่นตราแผ่นดินและกระบี่บินต่างต้องอาศัยพลังของดวงดาวตอนนี้กลับไม่สามารถใช้ได้แล้ว 

 

 

ทันใดนั้นฮุ่นตุ้นก็หลุดออกจากพันธนาการของตาข่ายแดงได้งั้นทำให้หลี่ว์ซู่เข้าใจว่าตาข่ายแดงไม่ได้เหนียวมากนัก เขาก็สามารถดิ้นหลุดได้! 

 

 

ถึงพลังของเขาจะตอนนี้จะไม่มากเท่าฮุ่นตุ้นแต่เขาน่าจะสามารถดิ้นหลุดได้! 

 

 

แต่เมื่อเจ๋อเมิ่งเห็นฮุ่นตุ้นหลุดออกมาได้และพรุ่งนี้เข้ามาอย่างไม่ลังเล เขาถึงจัดการฆ่าคนชุดดำอีกสองคนที่เหลือและกระโดดเข้าไปที่ประตูดวงดาวบนหุบเขา เหมือนกับไม่กลัวเหวลึกข้างล่างเลยแม้แต่น้อย! 

 

 

ฮุ่นตุ้นพุ่งไปทางประตูดวงดาวด้วยแต่ก็ยังช้ากว่าเจ๋อเมิ่งเพราะมันอยู่ห่างออกไปเยอะ! 

 

 

ฮุ่นตุ้นร้อนใจที่เห็นคนคนนี้พาหลี่ว์ซู่ไปด้วย…ตูม! แสงสว่างบนประตูดวงดาวอยู่ๆ ก็ระเบิดออก เจ๋อเมิ่งถูกประตูผลักกระเด็นออกไปอยู่บนหุบเขา! 

 

 

เจ๋อเมิ่งมองประตูด้วยความตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร! ทำไมเข้าไปไม่ได้! ทำไม! “ 

 

 

ส่วนฮุ่นตุ้นมองเจ๋อเมิ่งและคำรามด้วยความโกรธ “หงิงๆๆ “ 

 

 

นายกลับมาแล้วแต่หลี่ว์ซู่ล่ะ! คนทั้งคนหายเข้าไปในนั้น! 

 

 

ในตอนนี้ เจ๋อเมิ่งถูกประตูดวงดาวสะท้อนออกมาแต่หลี่ว์ซู่กลับผ่านเข้าไปได้! 

 

 

คนที่อยากเข้ากลับเข้าไปไม่ได้ คนที่ไม่อยากเข้ากลับเข้าไปได้! 

 

 

อวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อบินลงมาจากฟ้า อวิ๋นอี่เห็นประตูดวงดาวกำลังปิดลงและหายไป “มาช้าไปแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นไปแล้ว พวกเราทำงานพลาดซะแล้ว” 

 

 

พยัคฆ์จื๋อกลับดูสบายใจ “ก็ดีแล้วนี่ เธอบอกว่าทางของราชาแห่งทวยเทพ เขาต้องเป็นคนเดินเองไม่ใช่เหรอ…” 

 

 

อวิ๋นอี่มองบน ไม่รู้ว่าทำไมเธอดูมีเสน่ห์เวลาเธอกลอกตา… 

 

 

อวิ๋นอี่มองเจ๋อเมิ่งและพูดว่า “นายคงคิดไม่ถึงว่าตัวเองผ่านประตูนั้นไม่ได้ล่ะสิ” 

 

 

เจ๋อเมิ่งมองอวิ๋นอี่แล้วถามด้วยความโกรธ “เธอรู้หรือ” 

 

 

“ตอนแรกนายก็รู้ว่าพวกเราต้องลดระดับพลังลงเพื่อผ่านประตูนี้ มันเป็นอาคมที่ราชาองค์เก่าทำเอาไว้ เขากังวลว่าหลังจากเขาถอนต้นไม้โลกไปแล้วคนทางนั้นจะมาทำลายโลกนี้ ดังนั้นพลังระดับ a ขึ้นไปจึงไม่สามารถผ่านไปได้! และนายก็รู้ว่าในตอนแรกพวกเราใช้เลือดของราชาแห่งทวยเทพองค์ใหม่ในการเปิดประตู ดังนั้นนายหาทางฆ่าเขาไม่ได้จึงวางแผนหลอกให้เขามาที่นี่” อวิ๋นอี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเธอยอมรับในคำพูดของพยัคฆ์จื๋อ เส้นทางของราชาแห่งทวยเทพเขาต้องเดินไปเอง เธอเชื่อว่าหลี่ว์ซู่ไม่มีทางตายอยู่ที่นั่นง่ายๆ 

 

 

เจ๋อเมิ่งหัวเราะคลุ้มคลั่ง “พลังของฉันตอนนี้ลดมาอยู่ที่ระดับ b แล้วฉันก็เปิดประตูนั้นได้ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้! “ 

 

 

“เพราะนายไม่รู้ว่าประตูบานนั้นมีแต่ราชาแห่งทวยเทพและปรมาจารย์หุ่นเชิดเท่านั้นที่ผ่านไปได้” อวิ๋นอี่ตอบกลับเสียงราบเรียบ “แล้วตอนนี้นายไม่ใช่ปรมาจารย์หุ่นเชิดแล้ว” 

 

 

เจ๋อเมิ่งเงียบไปสักพัก “ราชาองค์เก่าเชื่อใจพวกนายจริงๆ “ 

 

 

“ทำไมต้องทรยศราชาแห่งทวยเทพ” อวิ๋นอี่ถาม 

 

 

“ราชาแห่งทวยเทพ? บัลลังก์มีคนแล้วหรือ” เจ๋อเมิ่งสีหน้าดุดัน “พวกเธอตามหาคนไหนกัน” 

 

 

อวิ๋นอี่จ้องมองเจ๋อเมิ่ง จ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดันอย่างไม่เกรงกลัว “พวกเราตามหาคนไม่ใช่บัลลังก์นั่น นายอาจจะไม่เข้าใจว่าคนบางคนเกิดมาถูกกำหนดให้เป็นราชาแห่งทวยเทพ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้” 

 

 

ฮุ่นตุ้นฟังบทสนทนาของพวกเขาด้วยความงงงวย มันสังเกตเห็นว่าอวิ๋นอี่และพยัคฆ์จื๋อเหมือนเป็นพวกกันและก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่ไปไหนตั้งแต่แรก 

 

 

เจ๋อเมิ่งหัวเราะเยาะ “พลังของพวกเธอฟื้นคืนมาหมดแล้วกลับไม่รู้ว่าชั้นทรมานแค่ไหน! “ 

 

 

“นายหลงอยู่กับพลังแห่งความฝันมากเกินไป จนตอนนี้คงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่” อวิ๋นอี่ตอบอย่างไม่แยแส “ผู้ที่ทรยศราชาแห่งทวยเทพต้องได้รับผลกรรม มันมักจะมีคนที่ลืมประวัติศาสตร์” 

 

 

“อาร์เคนก็ทรยศราชาแห่งทวยเทพไม่ใช่หรือ ทำไมพลังของเขาไม่ถูกยึดคืนไป” เจ๋อเมิ่งถาม 

 

 

“เพราะราชาแห่งทวยเทพเป็นสิ่งที่เขาศรัทธามากที่สุด เขาวางแผนเพื่อจะกำจัดคนคนนั้นที่อยู่ข้างกายราชาแห่งทวยเทพ เขาหวังดีต่อราชาแห่งทวยเทพเพียงแค่ทำเกินพอดี” อวิ๋นอี่ส่ายหน้าและพูดว่า “แต่นายไม่เหมือนกัน นายทรยศอย่างแท้จริง” 

 

 

พยัคฆ์จื๋อพูดขึ้นมาว่า “ฉันจำได้ว่าตอนที่ราชาองค์เก่าพานายกลับมาและนายร้องอยากกินไก่หลิวเหยียน ก็พี่ใหญ่นั่นแหละที่บินไปสามร้อยกว่าลี้เพื่อไปซื้อมาให้ นายหน้าน่าจะจำเรื่องนี้ได้แต่กลับปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ” 

 

 

เจ๋อเมิ่งมีสีหน้านิ่งไปพักหนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “การตายของพี่ใหญ่ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่ได้อยากฆ่าคนอื่น! “ 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงตัดอากาศดังขึ้นมา อวิ๋นอี่และหู่จื๋เห็นเนี่ยถิงและเฉินไป๋หลี่บินมาทางนี้ อวิ๋นอี่หันไปมองเจ๋อเมิ่ง “วันนี้ฉันจะชำระล้างสำนักแทนราชาแห่งทวยเทพ นายไม่ต้องสั่งเสียเพราะราชาแห่งทวยเทพไม่อยากฟังแน่นอน” 

 

 

เมื่อพูดเสร็จ หุ่นเชิดเหล็กข้างอวิ๋นอี่ก็ซัดหมัดเข้าใส่เจ๋อเมิ่ง เจ๋อเมิ่งที่พลังลดเหลือระดับ b จึงไร้กำลังต่อกร 

 

 

ปรมาจารย์หุ่นเชิดคนนี้จึงจบชีวิตลงเช่นนี้ 

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใด อวิ๋นอี่ถึงรู้สึกเศร้าใจ 

 

 

เธอต้องไปทางตำแหน่งที่ประตูดวงดาวหายไปอยู่สองวินาทีและบินลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับพยัคฆ์จื๋อ 

 

 

“พวกเราจะไปไหน” พยัคฆ์จื๋อถาม 

 

 

“ชวนโจวมีหม้อไฟอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ฉันจะพานายไปชิม” 

 

 

“จากนั้นล่ะ” 

 

 

“ได้ยินว่ามีหนังเรื่องใหม่จะเข้าโรงแล้ว” 

 

 

“แล้วจากนั้นล่ะ” 

 

 

“รอราชาแห่งทวยเทพกลับมา”