บทที่ 2075+2076

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2075 เป้าหมายคล้ายว่าจะเป็นกู้ซีจิ่ว…

ตั้งแต่โบราณมา เรื่องที่อาจารย์เป็นฝ่ายขอภัยต่อศิษย์ขอร้องให้กลับเข้าสำนักอีกครั้ง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย หนนี้นับว่าเป็นการให้หน้าตี้ฝูอีมากพอแล้ว

หลังจากตี้ฝูอีกวาดตาอ่านอยู่ไม่กี่คราก็วางจดหมายฉบับนั้นลง ไม่พูดอะไร เดินหมากต่อไป

ก่วนจิ่นหวากลั้นหายใจมองเขา รออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย

“ศิษย์พี่ใหญ่ หลังจากท่านไปปรมาจารย์ทั้งสิบก็สำนึกเสียใจ ทุกวันล้วนพร่ำโทษตัวเอง พวกเขาบอกว่าไม่ว่าท่านจะนับถือพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็เห็นท่านเป็นลูกศิษย์ที่พวกเขาภาคภูมิใจ ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์บอกว่า ปีนั้นที่องค์มหาเทพให้ท่านกราบเข้าสำนักของสิบปรมาจารย์ แน่นอนว่าเขาต้องมีดุลพินิจเป็นของตัวเอง หากว่าท่านละทิ้งไปเช่นนี้ วันหน้าเมื่อองค์มหาเทพกับท่านจอมมารกลับมา อาจจะผิดหวังก็ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ วิชายุทธ์บนโลกนี้ลึกล้ำกว้างขวาง ด้วยคุณสมบัติของท่าน หากมีอาจารย์ผู้เลิศล้ำคอยชี้แนะ จะต้องประสบผลอย่างทำน้อยได้มากเป็นแน่ ทำให้วรยุทธ์ของท่านก้าวหน้าไปได้อีกขั้นภายในระยะเวลาสั้น และปรมาจารย์ทั้งสิบท่านก็เชี่ยวชาญวรยุทธ์แตกต่างกันไป ท่านอย่าได้ตัดขาดกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความโกรธเพียงชั่ววูบเลย…”

ก่วนจิ่นหวามีวาทศิลป์เลิศล้ำ พูดจาฉะฉานอยู่ที่นี่ นำข้อดีข้อเสียต่างๆ มาวิเคราะห์ให้ตี้ฝูอีฟัง

ตี้ฝูอีไม่เงยหน้าขึ้นเลย หมากขาวดำในมือดุจบินได้ รุกไล่สลับกันไปอยู่บนกระดานหมาก

ก่วนจิ่นหวากล่าวจบก็มองเขาอีกครั้ง พบว่าอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ได้รับคำพูดกระบุงใหญ่ของนางเข้าไปเลย!

นางไม่ถอดใจ ขณะที่กำลังจะพูดอีก มือของตี้ฝูอีก็ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม

“เดินหมากกันสักตาไหม? ถ้าเอาชนะข้าได้ค่อยว่ากัน”

ก่วนจิ่นหวาผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า

“ได้!”

นั่งลงตรงข้ามเขา

สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของตี้ฝูอีคือ ก่วนจิ่นหวาเป็นยอดฝีมือด้านการเดินหมาก!

หลังจากจบตาแล้ว ถึงแม้ก่วนจิ่นหวาจะพ่ายแพ้ แต่ก็ทำให้เขาสนุกมาก ดังนั้นเขาจึงเดินหมากกับนางต่ออีกสามตา

ระหว่างที่เดินหมากกันอยู่ก่วนจิ่นหวาก็พยายามพูดคุยกับตี้ฝูอี คล้ายหลุดปากซุบซิบออกมาโดยไม่ตั้งใจว่า แม่ทัพหลงซือเย่ละเมิดกฎสวรรค์ ถูกจับเข้าคุกแล้ว

ส่วนกู้ซีจิ่วเพื่อวิ่งเต้นให้เขา ได้บุกเข้าไปที่วังหลวง พบหน้าจักรพรรดิเซียน เพื่อชี้แจงขอความเมตตาให้แก่หลงซือเย่…

ตี้ฝูอีกำลังถือตัวหมากขาวอยู่ ยามที่ได้ยินชื่อของกู้ซีจิ่ว เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้ววางหมากต่อไป เอ่ยถามเพียงประโยคเดียว

“หลงซือเย่ละเมิดกฎข้อใด?”

“ศิษย์น้องได้ยินว่าเขาไปมาหาสู่กับองค์ชายในรัชกาลก่อน ส่วนองค์ชายในรัชกาลก่อนก็มีใจคิดก่อกบฏ ลอบติดต่อเหล่าขุนนางเก่าแก่หมายจะก่อกบฏ บังเอิญมีข่าวรั่วไหลออกมา ถูกคนนำแจ้งความต่อศาลสวรรค์…ข้าก็ไม่ทราบรายละเอียดชัดเจนเหมือนกัน เรื่องเหล่านี้ข้าก็ได้ยินมาจากอาจารย์โดยบังเอิญเช่นกัน”

ตี้ฝูอีเงียบไปแล้ว

ถึงแม้เขาจะอายุน้อย แต่ก็ทราบถึงความโหดร้ายของสงครามการเมือง ไม่ว่าองค์ชายในราชวงศ์ก่อนจะก่อกบฏหรือไม่ ในสายตาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันล้วนเป็นหนามยอกอกทั้งสิ้น พบเร็วต้องกำจัดโดยเร็ว แม้ว่าเขาจะไม่ก่อกบฏ ก็เกรงว่าต้องยัดข้อหาก่อกบฏใส่เขาเพื่อกำจัดเขาอยู่ดี นับประสาอะไรกับอวิ่นเยียนหลีผู้นั้นที่มีจิตใจทะเยอทะยานจริงๆ หาใช่ตัวตนที่เรียบง่ายไม่…

หลงซือเย่เคยเป็นลูกน้องของอวิ๋นเยียนหลี และเป็นผู้ที่อวิ๋นเยียนหลีฉุดรั้งอุ้มชูขึ้นมา ระยะนี้เขาได้ติดต่อกับอวิ๋นเยียนหลีจริงๆ หากอวิ๋นเยียนหลีก่อกบฏจริงดังว่า หลงซือเย่จะถูกลากเข้ามาเอี่ยวด้วยก็ไม่นับว่าเกินเลยไป

แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่หลงซือเย่จะเข้าร่วมการก่อกบฏของอวิ๋นเยียนหลี มีความเป็นไปเกือบสิบส่วนที่จะถูกใส่ความ

จักรพรรดิเซียนน่าจะทราบดีว่าหลงซือเย่เป็นคนเช่นไร ทว่ายังคงส่งเขาเข้าคุกหลวง นี่เขาต้องการจะหว่านเหยื่อล่อปลาใหญ่ตัวใดกัน?

หรือเขาคิดจะนำความปลอดภัยของหลงซือเย่มาข่มขู่ผู้ใด?

เป้าหมายของจักรพรรดิเซียนคล้ายว่าจะเป็นกู้ซีจิ่ว…

เขาคิดจะให้นางทำอะไร? คิดจะรับนางไว้ใช้งานเองรึ? หรือว่าต้องการบีบให้นางไปทำสิ่งใด?

ความคิดขบวนหนึ่งฉายวาบเข้ามาในสมองตี้ฝูอีทันที แต่ก็ได้สติขึ้นมาในทันใด

ตนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้นแล้ว แล้วตนจะเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องของนางไปทำไมกัน?

ขณะที่เขากำลังจะตั้งสติแล้วเดินหมากต่อไปอีกครั้ง ไป๋เจ๋อที่อยู่ด้านนอกก็มารายงาน

“ฝ่าบาท จักพรรดิเซียนทรงโปรดให้ข้าหลวงนำเทียบเชิญมามอบให้ เชิญฝ่าบาทไปเข้าร่วมงานเลี้ยงผกาเซียนในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

————————————————————————————-

บทที่ 2076 เงื่อนไขของจักรพรรดิเซียน

ไป๋เจ๋อที่อยู่ด้านนอกก็มารายงาน

“ฝ่าบาท จักพรรดิเซียนทรงโปรดให้ข้าหลวงนำเทียบเชิญมามอบให้ เชิญฝ่าบาทไปเข้าร่วมงานเลี้ยงผกาเซียนในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

แล้วยื่นเทียบเชิญผนึกตราทองแผ่นหนึ่งให้

ตี้ฝูอีไม่มีทีท่าจะรับไว้เลย เขาคร้านจะเข้าร่วมงานชุมนุมจำพวกนี้

จักรพรรดิเซียนเย่เทียนหลีมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตำหนักนภาลัย ปีนั้นเย่เทียนหลีเคยตามเกี้ยวมารดาของเสินเนี่ยนโม่ ทั้งสองเกือบจะแต่งงานกันแล้วด้วย…

ภายหลังตัวเขากับมหาเทพก็นับว่าไม่ต่อยตีคงไม่รู้จักกัน หลังจากผ่านคลื่นมรสุมด้วยกันมา เขาได้กลายเป็นสหายสนิทของคู่มหาเทพสามีภรรยา และเคยใกล้ชิดติดต่อกับเสินเนี่ยนโม่ในยามเยาว์อยู่หลายครั้ง คงเป็นเพราะเขาเคยลักพาตัวตนในยามเยาว์ไป เสินเนี่ยนโม่จึงหมางเมินเหินห่างกับท่านอาเย่ผู้นี้ตลอดมา

หลังจากคู่มหาเทพสามีภรรยาออกเดินทางไป เสินเนี่ยนโม่ก็ท่องอยู่ข้างนอกตลอด ถึงแม้จะคบหากับนักพรตยอดฝีมือจากสามคีรีห้าบรรพตส่วนหนึ่งเป็นสหาย แต่มักบอกปัดคำเชิญจากจักรพรรดิเซียนผู้นี้เสมอมา คร้านจะเข้าร่วมงานสังคม

ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิเซียนจึงไม่ทราบว่ารูปลักษณ์ในวัยผู้ใหญ่ของเขาเป็นอย่างไร

หนนี้ที่จักรพรรดิเซียนเชิญเขา น่าจะเป็นสี่อารักษ์นั้นที่กลับไปรายงานเรื่องของเขา ดึงดูดความสนใจใคร่รู้ของจักรพรรดิเซียน…

ตี้ฝูอีรู้สึกว่า เขาไม่จำเป็นต้องสนองความสนใจใคร่รู้ของผู้อื่น ดังนั้นเขาโบกมือเล็กน้อย

“ปฏิเสธซะ ไม่ไป!”

ไป๋เจ๋อชะงักไปเล็กน้อย คล้ายอยากจะกล่าววาจาแต่ระงับเอาไว้

ตี้ฝูอีหมดความอดทนแล้ว

“มีอะไรก็พูดมา!”

ด้วยเหตุนี้ ไป๋เจ๋อจึงกล่าวไปว่า

“ฝ่าบาท องครักษ์จากในวังที่มาส่งเทียบเชิญบอกว่า ครั้งนี้ฝ่าบาทเชื้อเชิญสหายจากทั่วสารทิศมารวมตัวกัน คนลึกลับหน้ากากผีผู้นั้นก็ได้รับเชิญด้วย แถมอีกฝ่ายก็ตอบรับเข้าร่วมงานแล้ว…”

มือของตี้ฝูอีที่เดินหมากอยู่นิ่งไปแวบหนึ่ง จากนั้นยังคงเดินหมากต่อไป

“นางจะไปหรือไม่ไปแล้วเกี่ยวอะไรกับเปิ่นกง?”

ไป๋เจ๋อถูกตอกกลับจนกระอักกระอ่วนแล้ว

แม่นางกู้จากไปได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว นายน้อยก็ไม่เคยเอ่ยถึงนางอีกเลยสักประโยค

ถึงขั้นที่เขามองดูพวกไป๋เจ๋อจัดการย้ายข้าวของที่นางเคยใช้ออกไป โดยไม่พูดอะไรเลย

งานครัวเขาก็ไม่ร่ำเรียนแล้ว เมื่อไป๋เจ๋อไถ่ถามเหตุผลกับเขา เขาก็ตอบอย่างเฉยชาประโยคเดียวว่า ตนไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้

แต่ก่อนนายน้อยชอบกินปลามาก แต่ครึ่งเดือนมานี้เขาไม่เคยกินเลยสักครั้ง ต่อให้ไป๋เจ๋อทำแล้วนำมาวางบนโต๊ะเขา เขาก็ไม่มองเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องลงตะเกียบเลย

และการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวงที่สุดของนายน้อยคือเขาไม่สวมชุดสีม่วงอีกต่อไปแล้ว

เมื่อก่อนนายน้อยชมชอบสีม่วงยิ่ง แต่กว่าสิบวันมานี้ถึงแม้เขาจะยังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่บ่อยครั้งเช่นที่ผ่านมา สีสันก็แตกต่างกันไป มีเพียงสีม่วงที่ไม่เห็นอีกเลย แม้แต่สีม่วงอ่อนก็ไม่มี…

เดิมทีไป๋เจ๋อยังนึกอยู่ว่านายน้อยของบ้านตนยืนหยัดอยู่ได้สักสิบวันก็คงจะตามไปหาผู้อื่นถึงบ้านแล้ว ตอนนี้เห็นทีว่าเขาจะตัดใจแล้วจริงๆ

นายน้อยเป็นผู้ที่ยกได้วางเป็นยิ่งนัก!

บางทีสำหรับนายน้อยแล้วความรักครั้งนี้ ก็เป็นเพียงความลุ่มหลงชั่วขณะของวัยเยาว์ เสมือนตื่นจากความฝันแล้ว ก็สามารถปล่อยวางความลุ่มหลงนี้ไปได้

ไป๋เจ๋อปิติยิ่งนัก

เขามองเทียบเชิญแผ่นนั้น ในเมื่อนายน้อยไม่ไป เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ

เขาหันหลังหมายจะจากไป เกิดเสียง ‘ตุบ!’ แว่วขึ้นด้านหลัง นั่นคือเสียงที่ดังขึ้นจาการวางหมาก จากนั้นก่วนจิ่นหวาก็ร้องเอ๊ะเบาๆ ด้วยความแปลกใจ

“ศิษย์พี่ใหญ่ หมากตานี้ของท่านเดินผิดหรือไม่? กินเบี้ยของตัวเองไปสามตัวเชียวนะ…”

ผ่านไปสักพัก ถึงได้ยินน้ำเสียงไม่อนาทรร้อนใจของตี้ฝูอี

“เจ้าจะไปรู้อะไร? นี่เรียกว่าไม่ทำลายไม่อาจสร้าง”

ไป๋เจ๋อพยักหน้าอยู่ในใจ ถูกต้อง! ไม่ทำลายไม่อาจสร้างจริงๆ ดูเหมือนมหาเทพก็เคยใช้กลยุทธ์นี้ในการเดินหมากเช่นกัน

มันส่ายหัวนิดๆ มันหลงนึกไปว่านายน้อยใจลอยไปชั่วขณะจนเดินหมากผิด ดูเหมือนมันจะคิดมากไปแล้ว มันสาวเท้าก้าวจากไป

สิ่งที่ไป๋เจ๋อไม่รู้คือ ในตานั้นนายน้อยที่ใช้กลยุทธ์ไม่ทำลายไม่อาจสร้างได้พ่ายแพ้อย่างที่พบเห็นได้ยากนัก แถมเขายังพ่ายแพ้ต่อเนื่องกันสามสี่ตาด้วย ทำให้ก่วนจิ่นหวายินดีปรีดายิ่ง…

……………..