บทที่ 629 คนของข้าผู้ใดก็ไม่สามารถมาแตะต้องได้

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 629 คนของข้าผู้ใดก็ไม่สามารถมาแตะต้องได้

ฉีเฟยอวิ๋นกับอู๋กั่วคุยกันก็วางแผนที่จะกลับไป อู๋กั่วหยิบผลไม้ให้ฉีเฟยอวิ๋น และกล่าวว่า“ข้าเด็ดมา มีไม่กี่ลูก ข้าแบ่งให้ท่าน หวานกลมกล่อมมาก”

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบผลไม้มา มองแล้วกล่าวขอบคุณเตรียมตัวที่จะออกไป ก็ได้ถูกอวิ๋นเซวียนอี้พบเข้า

อวิ๋นเซวียนอี้เห็นหมอทหารรูปหล่อคนหนึ่งกับภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานของเขาหัวเราะพูดคุยคิกคักกันอยู่ และดึงกันไปมาด้วย

ยิ่งมองอวิ๋นเซวียนอี้ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตา แต่ก็ไม่ได้ที่จะไปจับชู้ เขาเชื่อว่าอู๋กั่วไม่ใช่คนแบบนั้น แต่หมอทหารน้อยนั้นพูดยาก มีโอกาสที่จะเป็นหมอทหารน้อยชักจูงภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของเขา

อวิ๋นเซวียนอี้สงบสติอารมณ์ลง แล้วเดินไปหาทั้งสองคน กล่าวขึ้นว่า“กั่วเอ๋อร์”

อู๋กั่วเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นอวิ๋นเซวียนอี้เดินมาหานางแล้ว

“ข้าต้องกลับแล้ว สุขภาพร่างกายของเขาไม่แข็งแรง ข้าต้องการดูแลเขา”อู๋กั่วถูกอวิ๋นเซวียนอี้หลอก อวิ๋นเซวียนอี้ก็ยิ่งกล่าวว่าเมื่อคืนดิ้นรนทำนานเกินไป เพราะฉะนั้นร่างกายเลยไม่เอื้ออำนวย อู๋กั่วตกใจ อีกทั้งไม่ดีที่จะหาคนไปดูเรื่องอย่างนี้

ทำได้เพียงบำรุงดูแลช้าๆ แต่บำรุงดูแลก็ไม่ได้ ตอนกลางคืนอวิ๋นเซวียนอี้ใช่ว่าจะสงบเสงี่ยม

ตอนนี้นางจิตใจห่อเหี่ยวมาก ไม่อยากจะให้อวิ๋นเซวียนอี้ทำอย่างนั้น อวิ๋นเซวียนอี้ก็มากล่าวพูดว่าเห็นนางแล้วชอบเข้ากระดูกเสียแล้ว เขาไม่สามารถอดทนได้

ตอนที่อยู่ต่อหน้าอวิ๋นเซวียนอี้อู๋กั่วคล้ายดั่งเป็นคนที่น่ารักอ่อนช้อยราวกับกระต่ายน้อย นางไม่สามารถอดใจปฏิเสธได้ ทุกอย่างล้วนตามใจสามี จนกระทั่งวันนี้ ถึงได้กลายเป็นอย่างตอนนี้

ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองอวิ๋นเซวียนอี้ เลยไม่ได้เปิดโปงเขา

อู๋กั่วประคองอวิ๋นเซวียนอี้ออกไปแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ตามลำพัง เธอคิดว่าจะกลับไป แต่ทว่าผลสรุปได้ถูกหวาชิงสกัดไว้

หวาชิงมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่อยู่ห่างไกล ไม่ได้ให้อู๋กั่วเห็น

หากว่าต่อสู้กันลำพัง หวาชิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอู๋กั่ว เพราะฉะนั้นเลยมิกล้าเข้าใกล้จนเกินเหตุ และนางก็ไม่ได้ยินว่าพวกเธอกล่าวคุยอะไรกัน แต่มีความคิดเดียวกันกับอวิ๋นเซวียนอี้ นั่นคือทั้งสองมีการจับคบชู้กัน

หวาชิงเกิดความรู้สึกไม่พอใจฉีเฟยอวิ๋นสายตาที่มองเธอล้วนเป็นสายตาที่คมกริบเหยียด

พอเอ่ยปากกล่าวพูดหวาชิงก็ดูถูกหยามเหยียดไม่ได้มีความเกรงใจเลยว่า“ข้าไม่โต้แย้งคนอย่างเจ้าที่อยากจะขอร้องดิ้นรนกับงานรับผิดชอบที่เจ้าต้องการหรอกนะ แต่เจ้ากินโลภมากไม่เพียงพอ เจ้ารู้สึกว่าเกินไปหรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นนึกได้ว่าตอนนี้เธอชื่ออันเสี่ยวฮวน ก็ไม่แปลกที่หวาชิงจะเข้าใจผิด

เธอในสายตาของหวาชิง เป็นคนดึงดูดล่อลวงหนานกงเย่ และยังล่อลวงอู๋กั่วด้วย

“คนล้วนมีสิ่งที่ชื่นชอบ หากว่าข้าจะชอบใครมันเป็นเรื่องของข้า แม่ทัพน้อยไม่ควรที่จะมารั้งข้าถึงจะถูก ”

ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมตัวจะออกไป หวาชิงชักกริชออกมาค้างไว้บนคอของฉีเฟยอวิ๋น ความคมกริบของกริชกรีดที่คอของเธอ เธอเลยเงยคอขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสได้ว่ามีความเย็นยะเยือกไหลลงมาจากคอ แต่เธอไม่ได้สนใจ เธอมองแค่เพียงหวาชิง แววตาไร้ความผิดและจนปัญญาเป็นอย่างมาก กล่าวว่า“ต่อให้แม่ทัพน้อยสังหารข้า ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องที่ท่านอ๋องเย่ชื่นชอบข้าได้หรอก”

“……เมื่อข้าสังหารเจ้า แน่นอนว่าเขาจะค่อยๆลืมเลือนเจ้าไป เจ้าเป็นคนของพระชายาเย่ คิดไม่ถึงว่าจะทรยศหักหลังนาง คนอย่างเจ้าตายก็ไม่เสียดาย”

หวาชิงออกแรงกระชั้นกริชเข้าใกล้ ฉีเฟยอวิ๋นเจ็บจนขมวดคิ้ว

เธอยกมือขึ้นอยากจะผลักกริชหวาชิงออก นิสัยของหวาชิงก็เช่นนี้ อยากจะสังหารฉีเฟยอวิ๋นเสีย

ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะลงมือ หนานกงเย่นั้นได้เดินมาแล้ว ฝีเท้าเขาว่องไวดั่งลม แววตาดั่งคบเพลิง ใช้มือข้างหนึ่งคว้ากริชของหวาชิงไว้ แยกออกจากกันในพริบตาเดียว

หวาชิงถูกหนานกงเย่ใช้พลังภายในจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว กริชที่อยู่ในมือล่วงหล่นลง นางมองใบหน้าหล่อเหลาอันเย็นชาของหนานกงเย่ด้วยความชะงักงันตื่นตะลึง

ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่ดึงไว้ในอ้อมกอด เขาโอบอุ้มเธอขึ้นแล้วเดินจากไป

หวาชิงรู้สึกว่าไม่ถูกต้องไม่ชอบมาพากล หมุนตัวมองไปทางหนานกงเย่

“ท่านอ๋อง”

หนานกงเย่ไม่ได้กล่าวอะไร เขาก้มมองฉีเฟยอวิ๋น ด้วยความเป็นห่วงแทบอยากจะสังหารหวาชิง

ฉีเฟยอวิ๋นเกรงว่าคนจะเห็นบาดแผลของเธอที่กำลังสมานกัน เลยรีบเอื้อมมือกดไว้

“ท่านอ๋อง ไม่เจ็บแล้วเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นอยากบอกว่าฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เธอเห็นเขากังวลใจ แท้ที่จริงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

“เลอะเทอะ จะไม่เจ็บได้อย่างไร?”หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นกลับไปด้วยความโมโห เข้าไปในกระโจมผู้บัญชาการทหารแล้วเขาจึงวางฉีเฟยอวิ๋นลง เขาโมโหจนถีบโต๊ะพลิกตลบคว่ำ

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจัดการกับบาดแผลทันที อารมณ์ร้อนอย่างนี้ไม่มีผู้ใดแล้วล่ะ

“หม่อมฉันมิเป็นไร”ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเรียบร้อย แล้วเดินไปหาหนานกงเย่ แต่ทว่าหนานกงเย่ยังอารมณ์ไม่ดีก็เลยปล่อยไป

เขามองฉีเฟยอวิ๋น และกล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่ตอนนี้ ห้ามห่างข้าแม้แต่ครึ่งก้าว”

“อืม ไม่ห่าง ท่านอ๋องไปที่แห่งใด หม่อมฉันก็จะไปที่แห่งนั้น”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างตลกขบขัน แต่ทว่าหนานกงเย่ยิ้มไม่ออกเลยสักนิดหนึ่ง

ด้านนอกกระโจมได้มีคนมา แม่ทัพหวาขอร้องจะเข้าพบอยู่ด้านนอก เขากล่าวว่า“กระหม่อมต้องการเข้าเฝ้าท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่มองไป กล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า“เข้ามา!”

แม่ทัพหวาเข้ามา ด้านหลังตามด้วยท่านอ๋องหย่งจวิ้นและหวาชิง

“หวาชิงมาแสดงความขอโทษเพคะ”หวาชิงเข้ามาแล้วคุกเข่าลงข้างเดียว

แม่ทัพหวากล่าวว่า“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องจัดการได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น มองหวาชิงแล้วกล่าวว่า“พวกท่านเป็นอะไรกัน?เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”

เดิมหนานกงเย่ก็โกรธอยู่แล้ว พอได้ยินเธอกล่าวพูดก็หันหน้ามองด้วยความโมโหทันที ฉีเฟยอวิ๋นกรอกตาขาวใส่ เขาสู้ไม่ได้ ความโกรธเลยลดลงเล็กน้อย แต่โกรธก็คือโกรธ เขาไม่ประนีประนอมแม้แต่น้อย

“ข้าเห็นกับตา……”

หนานกงเย่คิดจะตอบโต้แย้งฉีเฟยอวิ๋น ผลสรุปได้ถูกฉีเฟยอวิ๋นอัดย้อนคืนกลับ

“วันนี้ฮูหยินน้อยอวิ๋นมาหาข้า อยากจะมอบผลไม้ให้แก่ข้า พอดีกับแม่ทัพน้อยอวิ๋นมาหาฮูหยินน้อยอวิ๋น พวกเขาเลยพากันกลับไปก่อน

ข้ากลับมาเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย เวลานี้แหละที่ข้าเห็นว่ามีคนเงาดำๆกระโจนออกไปจากกระโจมของข้า ข้าอยากไปดู

ใครจะรู้เล่าว่าสู้เขาไม่ได้ถูกพบเห็น คนผู้นั้นคิดจะสังหารปิดปากข้า ข้าเลยร้องตะโกนเสียงดัง แม่ทัพน้อยหวาก็มาช่วยข้าเวลานี้เลย

คนผู้นั้นสู้แม่ทัพน้อยหวาไม่ได้ เลยเอาข้าเป็นตัวประกัน

ข้ากลัวเลยดิ้นรนขัดขืน เลยเป็นแผลที่คอ แม่ทัพน้อยทำเพื่อที่จะช่วยชีวิตข้า เลยปล่อยคนผู้นั้นไป

ตอนที่ท่านอ๋องมา แม่ทัพน้อยหวากำลังดูคอข้าอยู่ เลยทำให้ท่านอ๋องเข้าใจผิด”

แม่ทัพหวามองฉีเฟยอวิ๋น สองจิตสองใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเข้าใจ

หวาชิงก็คิดไม่ถึง ว่าอันเสี่ยวฮวนจะกล่าวพูดเรื่องดีๆแก่นางได้

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความโมโห โมโหจนแทบอยากจะดึงฉีเฟยอวิ๋นมาตีสักยก

“ท่านอ๋องเย่ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เช่นนั้นให้แม่ทัพน้อยหวาลุกขึ้นเถิด ”ท่านอ๋องหย่งจวิ้นทำตัวเป็นผู้สร้างสันติสุข เขามองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความชมเชย ถือเป็นพี่น้องที่มีจิตสงบเยือกเย็นมาก

ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ จากนั้นกล่าวว่า“ท่านอ๋อง แม่ทัพน้อยหวาคือผู้มีบุญคุณของอันเสี่ยวฮวน ขอท่านอ๋องอย่าทำให้แม่ทัพน้อยหวาลำบากใจเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมตัวที่จะคุกเข่าให้หนานกงเย่ หนานกงเย่หูตาไว ประคองที่แขนของฉีเฟยอวิ๋น แล้วดึงเธอขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ รอเขากล่าวสักหนึ่งประโยค

ไม่ใช่ว่าหนานกงเย่ไม่เข้าใจความหมายของฉีเฟยอวิ๋น เขากล่าวว่า“ลุกขึ้นเถิด”

หวาชิงเลยได้กล่าวขอบคุณหนานกงเย่ ลุกขึ้นแล้วหวาชิงได้เดินไปอีกด้าน เลยชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋น

หนานกงเย่เปิดปมบริเวณเอวออก จากนั้นหนานกงเย่ได้นำกระบี่อ่อนชี้ที่หวาชิง หวาชิงตะลึงงัน ความหนาวเหน็บโผแวบมาที่นาง

กระบี่ของหนานกงเย่วางพาดบนคอของหวาชิง แล้วกล่าวว่า“ไม่มีผู้ใดสามารถมาทำคนของข้าได้ รวมถึงเจ้าด้วย!”

บริเวณคอของหวาชิงเย็นยะเยือก แม่ทัพหวาตกใจจนรีบห้ามปราม ท่านอ๋องหย่งจวิ้นก็ไปขอร้องเช่นกัน แต่มันสายเสียแล้ว

กระบี่ยกขึ้น บริเวณคอของหวานชิงก็มีรอยเลือดไหลหนึ่งแถบ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถสนใจอย่างอื่นได้แล้ว เธอรีบดึงหวาชิงไปอีกด้าน กล่าวว่า“แม่ทัพน้อย ข้าจะดูให้ท่าน”

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาห้ามเลือด แต่เธอยังคงใช้ปลายนิ้วเอาเข็มเงินแทง เลือดหยดตอนที่ใครก็ไม่สามรถพบได้ เธอวางบนผ้าพันแผลให้หวาชิง หลังจากนั้นได้พันแผลทำให้กับนาง

หวาชิงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลอาบทั้งตัว นางจ้องมองใบหน้าที่เย็นชาของหนานกงเย่ ตกใจแทบแย่

เมื่อครู่หนานกงเย่อยากจะสังหารนางจริงๆ!