ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 14 เจดีย์เทพขุมทรัพย์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 14 เจดีย์เทพขุมทรัพย์ โดย Ink Stone_Fantasy

เมืองฉุนอวี้ เป็นเมืองที่เทพจักรวาล ‘บรรพชนกฎฉุนอี’ สร้างขึ้น ปริมาณและคุณภาพของผู้บำเพ็ญที่รวมตัวกันอยู่ภายในเมืองแห่งนี้สูงกว่าเมืองอลหม่านที่อยู่ภายใต้การปกครองของวังทวีสูญเสียอีก เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็ปลอดภัยกว่ามาก อย่างมากที่สุดสองสำนักใหญ่ก็เพียงแค่ส่งร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนให้ลอบเข้ามายังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา และที่โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ผู้ที่มีสถานะสูงส่งพอโดยทั่วไปต่างก็สามารถรายงานโดยตรงได้ ดังเช่นบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนคีรีมารและสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแต่ละคนต่างก็ส่งร่างแปรมาโดยตรงกันทั้งสิ้น

ดังนั้นผู้แกร่งกล้าจำนวนหนึ่งที่สามารถไปถึงชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้ ต่างก็สามารถครอบครองอาณาบริเวณผืนหนึ่งในมหาโลกทิพย์ทั้งสามได้ ย่อมมิต้องกลัวเกรงสองสำนักใหญ่

ทว่า ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ นั้นไม่เหมือนกัน!

สองสำนักใหญ่มีขั้นอลวนประจำการอยู่ที่นี่ในระยะยาว ระดับความปลอดภัยค่อนข้างย่ำแย่อยู่สักหน่อย พวกที่คิดจะทุ่มเทจิตใจให้กับการบำเพ็ญจำนวนหนึ่งพอใจที่จะอยู่ภายในคูเมืองที่บรรพชนกฎฉุนอีสร้างขึ้นเพื่อรับการปกป้องของบรรพชนกฎมากกว่า

“เอี๊ยด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวผลักประตูลานบ้านให้เปิดออกแล้วเดินออกจากลาน “ในที่สุดหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ที่ช้าที่สุดก็มาถึงเสียที”

เพิ่งได้รับข่าว หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ส่งสารให้แก่เขาว่าให้ไปพบกันที่จุดนัดพบ แล้วก็จะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาแล้ว

“ที่เมืองวารีสวรรค์ไม่ทีผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวอยู่เลยแม้แต่คนเดียว พลังยุทธ์ระดับชั้นที่สี่ก็มีอยู่เพียงสามคนเท่านั้น”  ตงป๋อเสวี่ยอิงมองคูเมืองที่มีกลิ่นอายอันใหญ่โต ผู้แกร่งกล้าดุจเมฆแห่งนี้แล้วก็ทอดถอนใจอยู่บ้าง สามสิบล้านปี เขาก็มีความคุ้นเคยกับเมืองฉุนอวี้เป็นอย่างมากแล้ว “ส่วนเมืองฉุนอวี้ มีผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวอยู่คนหนึ่ง พลังยุทธ์ชั้นที่สี่มีอยู่สิบสองคน ส่วนพลังยุทธ์ชั้นที่สามนั้นมีอยู่มากมายจนชวนให้คนตกใจ…”

พูดถึงยอดฝีมือ

โลกทิพย์ย่อมมีอยู่มากยิ่งกว่ามาก แต่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในโลกทิพย์ ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนในโลกทิพย์มีอยู่มากมายก่ายกอง ดังเช่นโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา นอกจากวังทวีสูญ เกาะปฐมบรรพชน และแดนทิพย์เหยากวงแล้ว เพราะว่าโลกทิพย์กว้างใหญ่เกินไป ในสถานที่อันห่างไกลมากมายต่างก็มีขุมอำนาจระดับอลหม่าน…มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกว่าครึ่งที่มิปรารถนาจะหลบภัยในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เลือกที่จะอยู่กับตนเอง ผู้ใดก็มิอาจไปยุ่งกับพวกเขาได้

อย่างเช่น ‘วังบรรพชนทราย’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพาก็มิได้อาศัยใบบุญของเทพจักรวาลเลย

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ผ่านอากาศภายในตัวเมืองแล้วมาถึงลานกว้างแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

บริเวณปากประตูของลานกว้างมีสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดชั้นเทพแท้ตนหนึ่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว สิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดตนนั้นยื่นมือออกมาขวาง “ช้าก่อน”

“ห้าท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด นี่คือรหัสลับที่หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์บอกให้รู้

“เชิญ” ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดก็มิได้ขัดขวางอีกต่อไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป

ลานนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ผ่านลานด้านหน้าไป เพียงไม่นานก็เห็นว่าภายในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านในมีเงาร่างสามสายรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้จักทั้งสามท่านนี้เลย

“น้องเฟยเสวี่ย” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ถ่ายเสียงพูด “ข้ามาถึงแล้ว ผู้ที่สวมอาภรณ์สีทองทางด้านซ้ายก็คือข้า เหตุใดเจ้าจึงไม่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์เล่า”

ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงอาภรณ์ขาวผมขาวและสวมหน้ากากสีเงินเช่นเดิม

“พบหน้ากันคราวนี้ คนอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและรูปลักษณ์ พยายามไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกันอย่างสุดกำลัง มิฉะนั้นพอจบเรื่องแล้ว…ข่าวที่ได้ขุมทรัพย์มาแพร่ออกไป ก็อาจจะนำมาซึ่งเรื่องราวยุ่งยากมากมาย” หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ส่งสาร “รอให้เรื่องนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถ้าหากข้าคว้าขุมทรัพย์ส่วนหนึ่งมาได้สำเร็จ ข้าก็จะอยู่ที่เมืองฉุนอวี้ในระยะยาว อย่างมากที่สุดก็ส่งร่างแปรกลับไปที่เขากระบี่สวรรค์ เจ้าก็ต้องระมัดระวังสักหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนเชียวล่ะ”

“พี่เทียนเจี้ยนอย่าได้แปลกใจไปเลย รูปลักษณ์ของข้าในตอนนี้ก็เป็นร่างที่ข้าเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายและรูปลักษณ์เรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้สอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของท่านกับประมุขหุบเขาเปลวอัคคี ข้าเองก็มิได้มีความมั่นใจเต็มร้อย แต่ข้าก็ไม่อยากพ่ายแพ้ ยังไปกระตุ้นประมุขหุบเขาเปลวอัคคี ศัตรูตัวฉกาจผู้นี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารตอบ

ในขณะนี้ หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ในอาภรณ์สีทองตลอดร่างตะลึงงันไปในทันใด

เจ้าเด็กตัวดี…

เจ้าเฟยเสวี่ยผู้นี้ ที่แท้แล้วเดิมทีก็มีใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงอยู่แล้ว

“ท่านที่สี่มาถึงแล้ว” ภายในห้องโถง ทั้งสามคนล้วนกำลังนั่งอยู่ นอกจากหัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ในอาภรณ์สีทองตลอดร่างแล้วยังมีเงาร่างที่สวมอาภรณ์สีดำผู้ที่มีไอหมอกดำทะมึนจางๆ ปกคลุมทั่วร่าง ยากที่จะแยกแยะชายหญิงได้ คนที่สามก็คือชายร่างใหญ่ผู้มีเรือนกายกำยำและมีท่อนแขนทั้งสองที่หยาบหนาเป็นพิเศษ ท่อนขาใหญ่ของเขานับได้ว่ามีความหยาบกร้านในระดับปกติ แต่ท่อนแขนทั้งสองกลับหยาบกร้านยิ่งกว่าท่อนขาเสียอีก ทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันดุร้ายออกมาอีกด้วย

“นั่งสิ” ชายหนุ่มผู้องอาจผู้นี้พูด “พวกเรารอท่านสุดท้ายอีกท่านหนึ่ง”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนทนาพาที เขาตรงไปเลือกที่นั่งที่หนึ่งแล้วนั่งลง

เงาร่างสี่สายอยู่กันภายในห้องโถงใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน เพราะทุกคนต่างก็รู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่ามารวมตัวกันเพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากปิ่นทองของอีกฝ่าย นอกจากนี้ หลังจากที่เข้าสู่กรุขุมทรัพย์แล้ว พอถึงเวลานั้นพวกเขาก็จะกลับกลายเป็นคู่แข่งกัน เพื่อขุมทรัพย์แล้วก็พร้อมที่จะทำการสังหาร…ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ในเรื่องเล่าขาน ดังนั้นทุกคนต่างก็รักษาความตื่นตัวอยู่ตลอด แม้กระทั่งตัวตนก็ยังมิปรารถนาจะเปิดเผย

ผ่านไปเพียงชั่วครู่

เงาร่างสายสุดท้ายปรากฏขึ้น ก็คือหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรกคนหนึ่ง รูปโฉมที่หญิงสาวผู้นี้แสดงออกมาดูธรรมดาทั่วไป แต่นัยน์ตาทั้งสองกลับมีแรงกดดันอันไร้รูปร่าง

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองผ่านแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านมิได้ “ดวงจิตระดับที่สามหรือ”

ดวงจิตแบ่งออกเป็นสามระดับ

ถึงแม้ว่าจักรวาลภูมิลำเนาก็มีเทพอากาศจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็มีเพียงแค่จอมกระบี่และจอมมารเท่านั้นที่ไปถึงดวงจิตระดับที่สาม ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะหยั่งรู้ในระดับสูงที่สุด แต่พอมาถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วังทวีสูญแล้วเรื่องราวที่ประสบมานั้นในที่สุดแล้วก็น้อยเกินไป เวลาส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ ทางด้านดวงจิตนั้นมิได้มีการบรรลุอันใหญ่หลวงแต่อย่างใดเลยจริงๆ

ดังเช่นจอมมารและจอมกระบี่ ในตอนนั้นทั้งสองเป็นศัตรูกัน ก่อนหน้านั้นจอมมารแข็งแกร่งกว่า ต่อมาพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ทวีความลึกล้ำยิ่งขึ้น จนกระทั่งทิ้งห่างกับจอมมารอย่างสิ้นเชิง! จอมมารมีใจคิดว่าจอมกระบี่เป็นศัตรู ในที่สุดก็บรรลุระดับจิตใจ

ดีร้ายอย่างไรพวกเขาสองคนก็เป็นคู่แข่งกัน เมื่อเทียบกับพวกเขาสองคนแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีประสบการณ์น้อยกว่าอยู่มากมายเลยทีเดียว

“หญิงสาวผู้นี้ไปถึงดวงจิตระดับที่สามแต่กลับไม่ปกปิดเลย มีความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยมเลยใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง ถ้าหากอีกฝ่ายเจตนาปกปิด ตนเองก็ย่อมมิอาจค้นพบว่าแรงปรารถนาของอีกฝ่ายน่าหวาดหวั่นเช่นนี้

“เอาล่ะ มาถึงกันหมดแล้วสินะ” ชายหนุ่มผู้องอาจยืนขึ้น เขาเพียงแค่ปรายตามองหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรกผู้มาเป็นคนสุดท้ายอย่างมิได้ใส่ใจนักปราดหนึ่งเท่านั้น

เพราะระดับขั้นของดวงจิตสูงส่ง

ก็มิได้หมายความว่าพลังยุทธ์ก็จะต้องสูงส่งมากอย่างแน่นอน มีบางระบบการบำเพ็ญที่ให้ความสำคัญกับดวงจิตเป็นอย่างมาก ดังเช่นระบบทิพย์และระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นก็นับได้ว่าให้ความสำคัญกับดวงจิตเป็นอย่างมาก แต่กลับมีบางส่วนที่มิได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังเช่นระบบเหล่ากลืนกินและระบบสายโลหิตเป็นต้น…

“ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของทุกท่านล้วนมิได้พกเอาวิญญาณมีชีวิตมาด้วยใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้องอาจถามเสียงต่ำ อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความกดดัน “ค่ายกลส่งตัวปิ่นทองสามารถส่งผ่านสิ่งมีชีวิตได้เพียงห้าชีวิตเท่านั้น ถ้าหากภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของพวกเราพกวิญญาณมีชีวิตอื่นๆ มาด้วย การส่งตัวก็จะล้มเหลว”

“ไม่มี”

“มิได้พกมาด้วยอย่างแน่นอน”

“เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว”

ทุกคนต่างก็ตอบรับ

หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์ในอาภรณ์ทองเอื้อนเอ่ย “หยิบปิ่นทองออกมากันดีกว่า”

“อืม” ทุกคนในที่นั้นพลิกมือคราหนึ่งอย่างมิได้ลังเล ในมือของทุกคนต่างก็มีปิ่นทองหนึ่งอันปรากฏขึ้นมา นี่ก็ทำให้หัวใจของทุกคนในที่นั้นผ่อนคลายลง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนสื่อสารทางเดียวกับอีกฝ่าย ต่างก็ยืนยันกันแล้ว แต่หากมิได้เห็นกับตาตนเองก็ยังกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้

“กระตุ้น”

ทั้งห้าคนต่างก็ควบคุมพลังเทพอากาศ กระตุ้นปิ่นทองในมือทันที

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

หลังจากที่ปิ่นทองทั้งห้าอันได้รับการกระตุ้นแล้วผิวนอกของปิ่นทองก็มีลวดลายสีทองอันลึกลับคล้ายมีคล้ายไม่มีพรั่งพรูออกมาในทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าปิ่นทองในมือไม่รับการควบคุมของตนอีกต่อไปแล้วพลานุภาพของห้วงมิติอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งถูกปิ่นทองสลัดออกไป ปิ่นทองห้าอันต่างก็ลอยขึ้นมา ยามที่บินไปถึงกลางอากาศของห้องโถงใหญ่ ลวดลายสีทองของพวกมันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลห้วงมิติอันน่าหวาดหวั่นแห่งหนึ่ง

ฟิ้ว…

ห้วงมิติในยามนี้ราวกับสายน้ำไหลอย่างไรอย่างนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนผ่าน ห้วงมิติที่ราวกับสายน้ำไหลไปอย่างสบายอยู่บ่อยๆ รอจนทัศนียภาพเบื้องหน้าแจ่มชัด ก็มาถึงยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งแล้ว

ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองฉุนอวี้เป็นอย่างมากแล้ว

เงาร่างทั้งห้าสายของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ยืนอยู่บนหาดหินผืนหนึ่ง ห่างไปหลายลี้ทางด้านหลังของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่าขาวโพลน ห้วงมิติบิดเบี้ยวน้อยๆ

แต่ทางด้านหน้า ณ บริเวณไกลออกไปกลับมีเจดีย์สูงสีทองอันโอ่อ่าอยู่แห่งหนึ่ง!

“เจดีย์เทพขุมทรัพย์” ชายหนุ่มผู้องอาจที่ท่อนแขนทั้งสองหยาบกร้านเป็นที่สุดผู้นั้นอดที่จะพูดอย่างตื่นเต้นมิได้

“เป็นเจดีย์เทพขุมทรัพย์ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” เงาร่างที่ห่อหุ้มอยู่ภายใต้ไอหมอกดำทะมึนจางๆ ก็เปิดปากพูดขึ้นมาเช่นกัน น้ำเสียงของเขามีความแหลมเล็กอยู่บ้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูเจดีย์เทพอันสูงตระหง่านที่สูงเกือบพันจั้งแห่งนั้นด้วยสองตาเป็นประกายเช่นกัน

เจดีย์เทพขุมทรัพย์!

ก่อนที่เทพจักรวาล ‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’ จะสิ้นชีพไปในตอนนั้น ได้เหลือกรุขุมทรัพย์เอาไว้สิบหกแห่ง ซึ่งก็คือเจดีย์เทพขุมทรัพย์ทั้งสิบหกแห่งนั่นเอง!

เจดีย์เทพขุมทรัพย์ซ่อนตัวอยู่ที่ดินแดนเก้าเมฆา ภายในห้วงมิติพิเศษในพื้นที่ต่างๆ กัน ด้วยพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเก้าเมฆา สถานที่ที่เขาลงแรงจัดการอย่างสุดกำลัง แม้แต่เทพจักรวาลคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถหาพบได้ ทำลายทั้งดินแดนเก้าเมฆาทิ้งก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเจดีย์เทพขุมทรัพย์สิบหกแห่งนี้…มิได้อยู่ภายในโลกธรรมดาของดินแดนเก้าเมฆา

นี่คือห้วงมิติอันว่างเปล่าขาวโพลนที่มีอาณาบริเวณรัศมีหลายสิบลี้ จุดศูนย์กลางของห้วงมิติก็คือเจดีย์เทพนั่นเอง

ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีข้อมูลเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว

การจะจากไปนั้นหรือ

มีอยู่สองวิธี หนึ่งก็คือทะยานผ่านพื้นที่ว่างเปล่าขาวโพลนอันไกลโพ้นไปตรงๆ เผชิญกับห้วงมิติอันบิดเบี้ยวว่างเปล่าขาวโพลนแห่งนั้นโดยตรง ก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังโลกธรรมดาของดินแดนเก้าเมฆา

ส่วนอีกวิธีการหนึ่งนั้นก็คือรออยู่ภายในมิติแห่งนี้เป็นเวลาสามวัน ผ่านไปสามวันเต็มแล้ว แม้ว่าจะไม่เต็มใจไป ก็ต้องถูกบังคับให้เคลื่อนย้ายออกไปอยู่ดี“จะต้องได้ขุมทรัพย์มาให้มากพอภายในสามวัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเจดีย์เทพขุมทรัพย์ตรงหน้าด้วยแววตาอันดุเดือด ขอเพียงแค่คราวนี้ทำกำไรงามๆ ได้

เช่นนั้นก็เพียงพอสำหรับวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญของจิ้งชิวและอวี้เอ๋อร์แล้ว คราวนี้ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะมาขัดขวางตนเลย!

ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความกระหายอยาก อีกสี่คนที่เหลือก็กระหายอยากเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือขุมทรัพย์ของเทพจักรวาลเลยทีเดียว!

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

คนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็แปลงร่างเป็นลำแสงเหินทะยานไปทางประตูเจดีย์ที่เปิดอ้าเอาไว้ของเจดีย์เทพขุมทรัพย์ที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางไกลออกไป ตามการเหินทะยานออกนำของหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรก

……………………………………..