TQF:บทที่ 520 คนชนะได้ตัดสินใจ ในที่สุดก็หาเจอ (3)
เห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของฝ่ายตรงข้ามเฒ่าผีก็เข้าใจได้ทันที
เขาโบกมือให้คนของตัวเองเงียบลงอีกครั้ง เขาถามขึ้น “ไม่รู้ว่าคุณชายโม่จะสู้กันแบบไหน ทุกคนเข้าสู้ด้วยกันหรือจะแบ่งให้สู้กันเป็นชุดๆไป”
“ในเมื่อจะให้คนที่ยืนอยู่เป็นผู้ตัดสินใจ งั้นตามความเห็นข้าเข้าพร้อมกันเลยทุกคนก็ได้” โม่ซวนซุนกล่าวเรียบๆ มีสีหม่นอยู่ในแววตาของเขา
ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อมากำจัดพลังที่เป็นแกนนำของผู้ฝึกตนวิถีมาร ตอนนี้ผู้ฝึกตนวิถีมารที่มาปรากฏตัวเรียกได้ว่าเป็นชุดสุดท้ายของเมืองโลกทมิฬ จะให้ปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร
คำตอบนี้เป็นไปตามความคาดหมายของหัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 และก็อยู่เหนือความคาดหมายด้วย พวกเขาปลดปล่อยพลังภายในของตัวเองทันที กลิ่นไอมุ่งร้ายทะยานสู่ฟ้า
มีแค่เฒ่าผีที่รู้สึกผิดปกติอยู่ลางๆ เขาไตร่ตรองอย่างตั้งใจก็ไม่พบอะไร
“อย่างไรซะก็ต้องรบ ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มกันเลยตอนนี้ สาวกเอ๋ย ลงมือ…”
หัวหน้ากลุ่มเถียเสวี่ยหัวเราะเย็นๆ ดูแคลนพวกเขาอย่างแรง เขาก้าวออกมาด้วยพลังภายในที่แรงกล้า เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าดิน พุ่งตรงไปรวดเร็วปานสายฟ้า
ด้านหลังของเขาตามไปด้วยผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่น แต่ละคนมีความตื่นเต้นและความอาฆาตอยู่ในแววตา เห็นพวกผู้ฝึกฝนวิทยายุทธฝ่ายธรรมมะเป็นเหมือนเหยื่อให้ล่า
ฝ่ายตรงข้ามรุกมา ฝ่ายนี้ก็ไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธนับสิบพุ่งออกไปโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่ง
ตู้มๆๆ….
รอยฝ่ามือถล่มลงมาด้วยเรี่ยวแรงสะท้านฟ้าพลิกแผ่นดิน บดบังแสงอาทิตย์ไว้อย่างน่าตกใจ และมีพลังลมปราณที่หนักหน่วงไร้ขอบเขตกระจายออกมาราวกับเขื่อนแตก ทำให้ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว
ฟิ้วว…
ประกายเย็นวิบวับไปทั่ว เงาดาบเหมือนกำลังเริงระบำอยู่ ดาบต้องมนต์ปะทะเข้าด้วยกันทำให้เกิดประกายขึ้นมากมาย สภาพการรบของทั้ง 2 ฝ่ายค่อยๆรุนแรงและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งรุกทั้งรับ สู้กันชนิดยากจะแยกออกจากกัน ขอแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้านไว้ไม่ไหว อีกฝ่ายก็พร้อมจะสับให้เละเป็นชิ้นๆทุกเมื่อ จุดจบก็คือตัวตายวิชาหาย
ตู้มมม.. ทั้งผืนฟ้ามีพลังภายในสีขาวและสีดำอันยิ่งใหญ่ปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศหนักหน่วงราวกับจะฉีกนภาให้ออกจากกัน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนไม่ได้ร่วมรบในทันที พวกเขายังคงสงบอยู่ ใจเย็นราวกับสงครามทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ภายในหุบเขาลึกลับในสักที่บนผืนดินฉางไห่ หญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งเดินวนเวียนไม่หยุด คิ้วเรียวขมวดเป็นปมราวกับต้องการมั่นใจอะไรบางอย่าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดนางก็พบความผิดปกติ ใบหน้าเย็นชายิ้มออกในที่สุด กระซิบไปทางที่ๆหนึ่ง “ในที่สุดก็เจอแล้ว”
พูดจบนางก็หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง เล็งเป้าแล้วตวัดไปเบาๆ อากาศมีรอยแยกเหมือนคลื่นน้ำราวกับถูกกรีดออก
นางไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปทันที หายไปกลางผืนฟ้า
เมื่อนางปรากฏตัวอีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ที่ผืนดินฉางไห่แล้ว นางยืนอยู่กลางอากาศ สายตาเย็นยะเยือกกวาดไปทั่วพื้นที่ ขมวดคิ้วเบาๆ “ในที่สุดก็ถึงที่นี่แล้ว แต่ที่นี่มันอะไรกัน พลังวิญญาณของที่นี่แย่ไปรึเปล่า แล้วยังกฎแห่งฟ้าดินนี่อีก แย่ถึงขั้นนี้ ใครกันที่สะกดเอาไว้ ที่แบบนี้ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธจะฝึกได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่จักพรรดิ์เทพยุทธ์ยังยากที่จะบรรลุเลย”
“ข้าจะสนเรื่องแบบนี้ไปทำไมกัน”
หญิงสาวชุดแดงส่ายหัวอีกครั้ง “ข้าควรจะรีบหาคนผู้นั้นให้เจอ ไม่ว่าที่นี่จะเป็นยังไง ขอแค่หาเขาให้พบก็พอแล้ว ต้องหาใครสักมาถามว่าวิหารสวรรค์อยู่ที่ไหน ถ้าเจอวิหารสวรรค์แล้ว จะหาลูกศิษย์คนนั้นก็คงง่ายขึ้นเยอะ”
เพิ่งพูดจบ หญิงสาวชุดแดงที่ต้องการถามใครสักคนก็ยกสายตาขึ้นพรวดมองไปเขตแดนไกลๆ นางสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่ดุเดือดก้าวร้าวพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เสียงตะโกนกู่ร้องอย่างโหดเหี้ยมน่าสยดสยองดังจนพสุธาสะเทือน
ผ่านไปสักพักสีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเหมือนว่าค้นพบอะไร กระโจนด้วยความเร็วราวดาวตก
ด้านนอกเมืองโลกทมิฬในขณะนี้
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ก้อนเมฆมืดมืดสนิท มีพายุที่พัดอย่างดุเดือด และพลังลมปราณที่น่าอึดอัดและสยดสยองราวกับฟ้าจะถล่มลงมา
ภายใต้ก้อนเมฆสีดำมีภูเขาทมิฬเคลื่อนไหวอยู่เนืองๆ ค่อยๆคลี่ออกบนพื้นดิน ร่างของแต่ละคนสลับกันเคลื่อนไหว สลับกันร่วงหล่น เคียงคู่กับเสียงโหยหวนจากทุกทิศ
อ๊ากก…
คอของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธคนหนึ่งถูกผีดิบดุร้ายกัดเข้าอย่างจัง ร้องครวญครางออกมาอย่างน่าอนาถ
ทันใดนั้นเสียงก็เงียบไป ร่างของเขาถูกดูดเลือดออกจนหมดและแห้งไป หลังจากนั้นผีดิบก็หักคอเขาและถีบศพของเขาลงมากลางอากาศ
ภาพแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ที่พื้นมีซากศพทุกชนิด เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนเข้าร่วมรบไปตั้งนานแล้ว เมื่อพวกเขาลงมือก็มีแสงสีเงินแผ่ออก ผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบที่สัมผัสโดนต่างระเบิดตายจนไม่เหลือแม้ซาก
ฝนเลือดปลิวว่อนไปทั่วฟ้า ซากศพซากอวัยวะที่ขาดกระเด็นกระดอนไปทั่ว แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนวิถีมารหรือผีดิบก็ยังคงพุ่งเข้ามาไม่หยุด ต่อให้ต้องตายพวกเขาก็ไม่สนใจ
ย้ากกก….
โฮ่ววว…..
สัตว์ศักสิทธิ์นับแสนเข้าล้อมโจมตี ไม่รู้ว่าเผาทำลายผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบไปตั้งเท่าไหร่
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบก็น้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาก็ยังไม่ได้เกรงกลัว แม้แต่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ก็หายไปแล้วเกือบครึ่ง เหลือแค่ไม่กี่คนที่ยังพยายามต้านไว้อยู่
พวกเขาไม่มีกำลังเสริมอีกแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีมารไร้สำนักก็เข้าร่วมการรบหมด เรียกได้ว่าผู้ฝึกตนวิถีมารที่สู้ได้ก็ได้เข้าร่วมหมดแล้ว
แต่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ศพด้านล่างเยอะขึ้นเรื่อยๆจนกองเป็นภูเขา เลือดไหลเป็นธาร
ขณะนี้ ทิศที่ไม่มีใครสนใจได้มีร่างแดงร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ ตาคู่สวยจ้องมองไปยังสนามรบทางด้านล่าง
เมื่อสายตาของนางเบือนไปยังร่างขาว 2 ร่างก็มีแววตาตกใจ โดยเฉพาะเมื่อนางเห็นร่างสูงโปร่งงดงามและท่าทีสูงส่ง เรียบเฉยราวกับเทพเจ้าบนฟ้า และบารมีแห่งเจ้าที่คอยปกครองใต้หล้า
นางชะงักไปก่อนที่ใจของนางจะกระตุกอย่างแรง มองร่างนั้นอย่างเคลิ้มฝัน ปากแดงพึมพำขึ้น “คาถาใจอาทิตย์เลี่ยจวิน (ราชันแสงสุริยะ) นี่คือคาถาใจอาทิตน์เลี่ยจวินของวิหารสวรรค์ ใช่เขา ใช่เขาแน่ๆ ข้าจำได้ว่าสมุดของอาจารย์ปู่มีกล่าวถึงอยู่ ว่าจิตเทพสืบสานขั้นสูงสุดของวิหารสวรรค์มีคาถาใจที่ชื่อว่าอาทิตย์เลี่ยจวิน ไม่ผิด ไม่ผิดแน่ๆ…”
คนที่กำลังสู้รบกันอยู่ไม่มีใครรับรู้การมาของหญิงสาวชุดแดง
หลังจากที่ผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบน้อยลงเรื่อยๆ หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ก็รู้ว่าพวกเขาแพ้แล้ว และแพ้อย่างราบคาบ ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้ว่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธฝ่ายธรรมมะจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียว
มีแค่การตายเท่านั้น ถึงจะได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยใหม่ให้ชาวเมืองโลกทมิฬ
เฒ่าผีรู้ ทุกคนก็รู้ เมื่อคนที่เหลืออยู่รอบข้างมีไม่ถึง 100 เฒ่าผีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร้องขึ้นด้วยตาแดงก่ำ “ฆ่าพวกเขา หวังว่าความทุ่มเทของพวกเราจะไม่เสียเปล่า”
ประโยคนี้เมื่อส่งไปถึงคนทั้ง 2 ฝ่ายก็สื่อความหมายออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย เขาต้องการให้ผู้ฝึกตนวิถีมารเสียสละตัวเอง และก็หวังว่าคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไว้ชีวิตชาวเมืองที่อยู่ข้างหลัง
เมื่อพวกเขาเห็นสายตาจากฝ่ายตรงข้ามก็เข้าใจทันที ยังคงทุ่มเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อศึกครั้งสุดท้าย “ฆ่าาา….”
——————————–