บทที่ 532 งานเลี้ยงเทศกาลฤดูหนาว

บัลลังก์พญาหงส์

เมื่อถาวจิ้งผิงถามอย่างนั้น ถาวจวินหลันก็ยิ้มน้อยๆ “นอกจากข้าแล้วยังมีใคร?” นางพูดมั่นใจและมั่นคง จนถาวจิ้งผิงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว 

 

 

        ถาวจวินหลันมองท่าทีนิ่งสนิทของถาวจิ้งผิง ก็หลุดหัวเราะทีหนึ่ง พูดว่า “นอกจากข้าแล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีคนอื่นมีคุณสมบัติพอนั่งตำแหน่งนั้นหรอกกระมัง? พูดถึงประสบการณ์ ใครจะมีมากไปกว่าข้า? พูดถึงคุณสมบัติ ใครจะเทียบข้าได้? ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของซวนเอ๋อร์ และยังมีเจ้า จวนเพ่ยหยางโหว และตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอีก นอกจากจะแต่งงานใหม่ มิเช่นนั้นภายในจวนก็ไม่มีใครข้ามหน้าข้ามตาข้าได้เป็นแน่ เจ้าวางใจเถิด” 

 

 

        เรื่องที่จะแต่งงานใหม่ หลี่เย่คงไม่ทำแน่นอน นางกล้าพูดเช่นนี้ก็ด้วยนางเชื่อใจหลี่เย่ 

 

 

        ถาวจิ้งผิงพยักหน้า และคิดว่าเป็นเช่นนี้ถูกต้องแล้ว แต่ในใจของเขานั้นก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง พี่สาวของตนช่วยเหลือสามีมากมายเช่นนี้ หากหลี่เย่กล้าอยุติธรรมกับนาง ตัวเขาเองย่อมจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ต่อให้ต้องแย่งชิงตำแหน่งนี้ ก็จะให้พี่สาวของตนนั่งบนนั้นให้ได้! 

 

 

        ถาวจวินหลันกำชับถาวจิ้งผิงอีกหลายเรื่อง ครั้นปรึกษากันพอสมควรแล้ว และเห็นว่าถึงแก่เวลา จึงให้ถาวจิ้งผิงอยู่ร่วมทานอาหารกลางวัน 

 

 

ขณะที่ทานอาหาร ถาวจวินหลันก็ยกเรื่ององค์หญิงเก้ามาพูด “เจ้าอย่าทะเลาะกับองค์หญิงเก้าด้วยเรื่องเล็กเช่นนี้เลย เจ้าเพียงแต่คิดว่า นางเป็นห่วงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายก็พอ เจ้าอย่าไปใส่อารมณ์กับนาง มีอะไรก็พูดกันดีๆ ห้ามละเลยนางหรือไประบายความโกรธใส่คนอื่น” 

 

 

        ถาวจิ้งผิงรู้สึกจนปัญญาอยู่เล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว” เขารู้ดีว่า หากเขาไม่รับปาก เกรงว่าถาวจวินหลันคงไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่นอน 

 

 

        “อย่างไรองค์หญิงเก้าก็โตมาในวังหลวง ย่อมคิดต่างกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป” ถาวจวินหลันเห็นท่าทีไม่ค่อยใส่ใจของถาวจิ้งผิงก็รู้ว่าเขาตอบส่งเดชเท่านั้น นางถอนหายใจ แล้วพูดเกลี้ยกล่อมต่อไป “แม้ว่านางจะสูงส่งเป็นองค์หญิง แต่ตอนเด็กก็ต้องเจอความลำบากมาไม่น้อย เจ้าเป็นสามีก็ควรต้องรักและเมตตานางให้มากหน่อย” 

 

 

        ถาวจิ้งผิงรับคำอย่างไม่พอใจนัก “ข้ารู้แล้ว ไม่พูดตอนทานข้าว ไม่ละเมอตอนนอน ทำไมตอนนี้ท่านพี่ถึงละเลยเรื่องเหล่านี้แล้วล่ะขอรับ?​ ตอนเด็กๆ ข้าจำได้ว่าท่านตีมือข้าเพราะไม่ทำตามด้วยซ้ำไป” 

 

 

แต่พอมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ความกังวลเพียงเท่านี้ก็ไม่ทันได้สนใจอีกต่อไป 

 

 

        คำครหาเรื่องปลดองค์รัชทายาทนั้นไม่ได้น้อยลงเลย ต่อให้ฮ่องเต้เก็บฎีกาเอาไว้ และไม่ยกเรื่องปลดองค์รัชทายาทมาพูดถึงอย่างไร แต่ด้านนอกก็ต้องพูดคุยเรื่องปลดองค์รัชทายาทไปทั่ว หาก ‘เรื่องราวอันน่าทรงเกียรติ’ ขององค์รัชทายาทยิ่งเอะอะและฮือฮามากขึ้น ต่อให้ตอนนี้บรรดาขุนนางไม่พูดถึงเรื่องปลดองค์รัชทายาท แต่ปัญหานี้ก็ยังบีบคั้นฮ่องเต้อยู่ทุกวัน จนฮ่องเต้ไม่สบายใจในที่สุด 

 

 

        ถาวจวินหลันที่อยู่ในจวนรับรู้เรื่องเหล่านี้ ก็ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ จากนั้นก็พูด ‘สมน้ำหน้า’ สามคำ 

 

 

งานเลี้ยงเทศกาลฤดูหนาวย่อมต้องเข้าวังหลวง ต่อให้หลี่เย่ไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่จวนตวนชินอ๋องก็คงไม่อาจไม่มีใครเข้าไปหรอกกระมัง? ดังนั้น ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันจะต้องเข้าไป ซวนเอ๋อร์ก็ต้องเข้าไปเช่นเดียวกัน 

 

 

งานเลี้ยงเทศกาลฤดูหนาวเป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัว นอกจากคนสกุลหลี่แล้ว ก็ไม่มีขุนนางคนอื่นอีก ยิ่งใหญ่อลังการไม่สู้งานเลี้ยงอื่น แต่ก็ไม่อาจดูถูกได้ 

 

 

        ถาวจวินหลันจัดเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับเอาไว้นานแล้ว แล้วยังรีบตัดชุดใหม่พอดีตัวให้ซวนเอ๋อร์ด้วย คิดว่าช่วงนี้บรรยากาศในวังหลวงไม่ค่อยดีนัก จึงตั้งใจทำชุดสีแดงสดให้ซวนเอ๋อร์ชุดหนึ่ง หนังกระต่ายด้านในทั้งเก็บความอุ่นและดูดี ขนนุ่มนิ่มโผล่ออกมาจากคอเสื้อ แขนเสื้อ ยิ่งทำให้ซวนเอ๋อร์ดูอ้วนกลมกว่าเดิม เหมือนเป็นเซียนเด็กที่ออกมาจากภาพวาด 

 

 

        ทั้งยังสวมหมวกและจี้ปลอดภัยให้ซวนเอ๋อร์ ดูแล้วเป็นมงคลยิ่งนัก ส่วนหมวกเป็นหมวกหัวเสือ ปี้เจียวจัดทำเอาไว้โดยเฉพาะ พอเอาออกมาหมิงจูก็ชอบมาก จะเอามือไปลูบให้ได้ 

 

 

        ปี้เจียวหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่า “วันพรุ่งนี้จะทำให้คุณหนูหมิงจูใบหนึ่งนะเจ้าคะ สิ้นปีก็ได้ใส่พอดีเจ้าค่ะ” 

 

 

        ถาวจวินหลันลองคิดถึงภาพนั้น ก็หัวเราะกล่าว “ทำหมวกกระต่ายเถิด เป็นผู้หญิงจะมาใส่หมวกเสืออะไรกัน? ทำรูปกระต่ายแล้วดูเป็นเด็กสาวมากกว่า ตรงส่วนดวงตาก็เอาต่างหูทับทิมแดงของข้าไปใช้ได้เลย” 

 

 

ปี้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าดีเช่นเดียวกัน “เจ้าค่ะ ทำเป็นกระต่ายเหมาะกว่า” เอาหนังกระต่ายไปทำเป็นหมวก แล้วทำหูเอาไว้สองข้าง แค่คิดใจก็ละลายแล้ว 

 

 

        เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ถาวจวินหลันก็อุ้มซวนเอ๋อร์จากจวนไป ก่อนจากไปก็กำชับไว้ว่า “ให้ห้องครัวเคี่ยวน้ำแกงแกะเอาไว้ พอเคี่ยวจนได้ที่แล้วก็เอาไปแบ่งให้เรือนต่างๆ ที่เหลือก็เอาไปแบ่งให้คนที่อยู่เวรดึก แต่ไม่อนุญาตให้ดื่มเหล้า” 

 

 

        ปี้เจียวรับคำ ยิ้มและพูดว่า “เรือนเฉินเซียงของพวกเราก็เงียบสงัด ไม่สู้เชิญจิ้งหลิงอี๋เหนียงมาทานกับชายารองดีหรือไม่เจ้าคะ?” 

 

 

        ถาวจวินหลันคิดว่างานเลี้ยงภายในวังหลวงไม่น่าดึกมากนัก จึงหัวเราะรับคำ “ก็ดี อย่างไรอยู่ในวังหลวงก็ไม่ค่อยได้กินอะไรนัก” 

 

 

        พอขึ้นรถม้าไปแล้ว ถาวจวินหลันก็หยิบน้ำผึ้งและของว่างที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาให้ซวนเอ๋อร์ เขาจะได้ไม่รู้สึกหิวมากนัก อาหารภายในวังหลวงไม่เพียงมันเลี่ยน แล้วยังไม่ร้อน กินแล้วไม่ค่อยดีกับกระเพาะและลำไส้นัก ซวนเอ๋อร์ยังเล็กยิ่งต้องระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นป้อนให้เขาอิ่มไปก่อน เขาจะได้ไม่คิดอยากกินของที่อยู่ในงานเลี้ยงอีก อีกทั้งยังกลัวว่าจะมีคนใส่ยาพิษลงในอาหาร 

 

 

        ถาวจวินหลันนึกถึงคำพูดที่ซวนเอ๋อร์บอกว่าฮ่องเต้เหม็นและไม่อยากเข้าใกล้ครั้งที่แล้ว ก็กำชับซวนเอ๋อร์อย่างเคร่งครัดว่า “ซวนเอ๋อร์พบเสด็จปู่แล้วห้ามพูดมั่วซั่วเด็ดขาด เจ้าจะต้องใจดีกับเสด็จปู่ เลือกคำที่น่าฟังมาพูด เข้าใจหรือไม่?” 

 

 

        ซวนเอ๋อร์ได้ยินก็พยักหน้ารับ “ขอรับ” 

 

 

        ถาวจวินหลันเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกใจอ่อน อดหยิกใบหน้าของเขาเบาๆ ไม่ได้ แม้จะบอกว่าตอนนี้ซวนเอ๋อร์รับปากแล้ว แต่เด็กจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ และจำได้หรือไม่ล้วนเป็นปัญหา หากไม่พอใจ นางเองก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน ยังดีที่ซวนเอ๋อร์ยังเล็ก คิดว่าคงไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยเป็นแน่ 

 

 

        ถาวจวินหลันคิดเช่นนี้ตลอดทางเข้าวังหลวงไปที่ราชฐานที่จัดงานเลี้ยง เพราะว่าคำนวณเวลามาแล้ว จึงไม่ถือว่าช้าหรือเร็วเกินไป องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้ายังมาไม่ถึง กลับเป็นพวกพระชายาจวงอ๋องมาถึงก่อนแล้ว 

 

 

        พระชายาองค์รัชทายาทไม่อยู่ คิดดูแล้วน่าจะตามมาพร้อมกับฮองเฮา ถาวจวินหลันกวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นว่าอิงผินมาแล้วจึงก้าวเข้าไปทักทาย “อิงผินเหนียงเหนียง” 

 

 

        อิงผินยิ้มพลางยื่นมือออกมาหยอกล้อซวนเอ๋อร์ และทักทายกันสองสามคำ ก่อนก้าวเข้ามาใกล้ พลางหัวเราะและพูดว่า “ให้ข้าอุ้มซวนเอ๋อร์หน่อยเถิด ว่าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงแปดจะมีข่าวดีเมื่อไร ข้าเองก็อยากลองอุ้มหลานดูบ้าง” 

 

 

        ถาวจวินหลันย่อมไม่ปฏิเสธ ยิ้มพลางก้าวเข้าไปส่งซวนเอ๋อร์ให้อิงผิน 

 

 

        ตอนที่อิงผินกำลังก้าวขึ้นมารับซวนเอ๋อร์ไป ถาวจวินหลันกลับได้ยินอิงผินรีบกระซิบว่า “เกรงว่าฮองเฮาคงจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าแล้ว” 

 

 

        ถาวจวินหลันมองไปทางอิงผินทีหนึ่ง เห็นอิงผินไม่ได้มีทีท่าผิดปกติ ก็จำคำนี้เอาไว้ แล้วทำท่าทีทองไม่รู้ร้อนพูดคุยกับอิงผินต่อไป 

 

 

        ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ กู้ซีที่เพิ่งมาถึงก็เดินยิ้มเข้ามา “ไม่ได้พบซวนเอ๋อร์หลายวัน ซวนเอ๋อร์ดูโตขึ้นไม่น้อย เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ข้าอยากอุ้มกลับไปเลี้ยงที่วังเลยจริงๆ” 

 

 

        อิงผินหัวเราะทันที “จวงผิน ถึงเจ้าจะยอม แต่เกรงว่าซวนเอ๋อร์จะไม่ยินดีนัก ในวังหลวงไม่มีเด็กเล่นกับเขา เขาย่อมไม่ชอบใจเป็นแน่” 

 

 

        “วังของพระชายาองค์รัชทายาทมีสาวน้อยอยู่สองสามคนมิใช่หรือ?” จวงผินหัวเราะน้อยๆ “อายุไล่เลี่ยกัน คิดว่าคงจะเล่นด้วยกันได้” 

 

 

        ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ท่านหญิงทั้งหลายทนความซนของซวนเอ๋อร์ไม่ได้หรอก” นี่ไม่ใช่เรื่องตลก แต่เพราะหญิงสาวเหล่านั้นล้วนร่างกายอ่อนแอ ขี้โรค ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเล่นด้วยกัน เกรงว่าแม้แต่จะขยับตัวออกกำลังมากหน่อยก็คงรับไม่ไหว โชคดีที่ยังเกิดมาในครอบครัวราชวงศ์ มิเช่นนั้นแล้วแม้แต่เรื่องการเลี้ยงดูก็ยังเป็นปัญหา ไม่ทันจะได้รู้ว่ากินข้าวอย่างไร ก็ต้องกินยาก่อนแล้ว 

 

 

        จวงผินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะชอบใจ พูดช้าๆ ว่า “ได้ยินว่าวันนี้ก่อนพระชายาองค์รัชทายาทจะออกมา ลูกสาวคนโตก็ไข้ขึ้น พระชายาองค์รัชทายาทถูกขัดขาจนถอนตัวมาไม่ได้ เลยส่งให้หวังเหลียงตี้มาแทนนาง” 

 

 

        ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไป คิดเอาเองว่า พระชายาองค์รัชทายาทยินยอมอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าไม่สนิทสนมกับหวังเหลียงตี้ แล้วยังวางท่าป้องกันด้วยหรือ? 

 

 

        ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ฮองเฮาก็เสด็จมาถึง ถาวจวินหลันรีบรับซวนเอ๋อร์กลับมา ก่อนวางเขาลงบนพื้น แล้วทำความเคารพฮองเฮาพร้อมกัน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมานางกลับไม่พบพระชายาองค์รัชทายาทตามคาด คนที่ตามฮองเฮามากลับเป็นหวังเหลียงตี้และหยวนฉงหวา 

 

 

        ฮองเฮาตรงไปนั่งยังที่นั่งของตนด้วยท่าทางนิ่งเฉย ดูไม่ออกว่าร่างกายผิดปกติตรงไหน เมื่อนางมาถึง คนอื่นก็ไม่ได้พูดคุยหยอกเย้ากันอีก ต่างพากันแยกไปนั่งตามที่ของตนเอง 

 

 

        จวงอ๋องและอู่อ๋องเดินตามหลังฮ่องเต้มา ที่ตามมายังมีทายาทของตระกูลหลี่อีกสองสามคน แต่ถาวจวินหลันกลับไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว ย่อมไม่ได้มองนาน แต่รีบก้มหน้าลงไปจดจ่ออยู่กับตนเอง 

 

 

        พอสั่งให้ลุกขึ้นหมดแล้ว ฮ่องเต้ก็สังเกตเห็นซวนเอ๋อร์ หัวเราะและพูดว่า “ซวนเอ๋อร์มาหาเสด็จปู่เร็วเข้า! นานแล้วที่ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์ ข้าอยากดูนักว่าซวนเอ๋อร์อ้วนขึ้นบ้างหรือไม่” 

 

 

        ถาวจวินหลันมองซวนเอ๋อร์ และปรึกษากับเขาเสียงเบา “ซวนเอ๋อร์ไปหาเสด็จปู่ดีหรือไม่?” 

 

 

        เห็นได้ชัดว่าซวนเอ๋อร์ไม่ยินยอม แต่สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า 

 

 

        ซวนเอ๋อร์ถูกขันทีเป่าฉวนอุ้มไปส่งยังเบื้องหน้าฮ่องเต้ด้วยตนเอง ตอนแรกถาวจวินหลันยังกังวลว่าซวนเอ๋อร์จะไม่ยินยอม จนฮ่องเต้ต้องเสียใจ แต่คิดไม่ถึงว่าซวนเอ๋อร์จะรู้ความขนาดนี้ เมื่อไปถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้ก็เรียกเสด็จปู่อย่างเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งอยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้นิ่ง ไม่เห็นท่าทีไม่ชอบใจเลย 

 

 

        ถาวจวินหลันถอนใจเบาๆ แต่ก็รู้สึกสงสารน้อยๆ คิดว่าซวนเอ๋อร์ยังเด็กก็รู้จักเสแสร้งเสียแล้ว ด้วยพ่อแม่อย่างพวกนางไม่อาจให้สิ่งแวดล้อมที่ทำได้ตามใจชอบกับลูกได้ จึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก 

 

 

ฮ่องเต้หยิบผลไม้ในถาดชนิดหนึ่งให้ซวนเอ๋อร์กิน ซวนเอ๋อร์กัดไปสองคำก็ไม่เอาอีก แต่ว่าก็ไม่ได้โยนทิ้งไป เขากลอกตาไปมา ก่อนยิ้มส่งผลไม้ที่เหลือไปให้ฮ่องเต้ บอกให้ฮ่องเต้กิน 

 

 

        ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดังลั่น หยิบเข้าปากไปอย่างไม่นึกรังเกียจ ครั้นได้เห็นท่าทีเช่นนั้น ก็ดูใจดีมีเมตตาเป็นที่ยิ่ง เหมือนภาพวาดปู่หลานเล่นกันมีความสุข 

 

 

        ถาวจวินหลันอึดอัดเล็กน้อย นางคิดว่าฮ่องเต้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก งานฉลองครั้งนี้คงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ดูฮ่องเต้แล้วเหมือนคนไม่มีเรื่องอะไร นางก็ยิ่งคิดว่าฮ่องเต้ไม่ได้ไม่มีความสุขเหมือนที่ลือกัน 

 

 

ขณะที่กำลังเหม่อลอย ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงสูงดังมาจากด้านนอก “ไทเฮาเสด็จ” 

 

 

        ทุกคนรีบลุกพรวด ไทเฮายังเดินไม่ค่อยสะดวกนัก แล้วมาได้อย่างไร?