ตอนที่ 857 โลกใหม่

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ในชั่วพริบตาแรกที่หลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมา เขาก็เข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์หุ่นเชิดผ่านประตูนี้ไปแล้วถึงได้อ่อนแอลง ตามหลักการที่พวกเขาเคยเดาก็คือปรมาจารย์หุ่นเชิดรถพลังลง จากนั้นช่วงเวลาที่ผ่านประตูมาต้องถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในสภาพที่ตัวเองอ่อนแอ อย่างหลี่ว์ซู่เองก็สลบไปเลย… พูดตามตรงรีเองก็ถือปรมาจารย์หุ่นเชิดมากๆ ที่แม้จะผ่านประตูนี้มาแล้วยังสามารถต่อสู้ได้  

 

 

ตอนนั้นปรมาจารย์หุ่นเชิดมีพลังระดับ B แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่มีพลังเสมือนคนธรรมดา 

 

 

เขาลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆฝันว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงที่แข็งและเย็นกลางห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง เขาหันหน้าไปมองที่มุมกำแพงดินมีอุปกรณ์ทำหน้าที่คล้ายกับจอบที่เปื้อนดินวางอิงกำแพงไว้ 

 

 

ตัวเตียงทำจากอิฐก่อขึ้นมาดูแล้วไม่ได้เป็นอิฐงานประณีตอะไร สร้างขึ้นมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างง่ายๆ และนำไปเผา 

 

 

ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นนอกจากเตียงก็มีโต๊ะไม้เบี้ยวๆ หนึ่งตัว บนโต๊ะวางชามที่มีขนมข้าวโพดนึ่งสีม่วงที่ถูกกัดไปครึ่งหนึ่งเอาไว้ หลี่ว์ซู่เองก็ไม่แน่ใจว่าขนมอันนั้นคือขนมข้าวโพดนึ่งหรือเปล่า 

 

 

เขารู้สึกงง ตัวเขาเข้ามาในดินแดนของปรมาจารย์หุ่นเชิดไม่ใช่หรือ ในจินตนาการของเขาที่นี่ควรจะมีแต่ผู้แข็งแกร่งและกินอาหารที่ดูดีหรูหราพี่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน 

 

 

แต่ไอ้ที่อยู่ในชาม เขาไม่เคยเห็นมาก่อนและดูไม่หรูหราด้วย 

 

 

ดูยังไงก็เหมือนเขาถูกส่งมาเป็นครูสอนอยู่ที่ชนบท ถ้าเขามาเป็นครูสอนที่ชนบทแล้วปรมาจารย์หุ่นเชิดจะมีฐานะอะไร ภาพที่เขาลืมตาขึ้นมาเห็นช่างไม่คาดคิดมาก่อนเลยทำเอาหลี่ว์ซู่ลังเลว่าตัวเองเข้าประตูดวงดาวมาจริงหรือเปล่า 

 

 

หลี่ว์ซู่ยันร่างกายที่เหมือนกระดูกจะหลุดออกจากกันให้ลุกขึ้น รองเท้าของเขาวางอยู่ที่ขอบเตียง เจ้าของห้องนี้น่าจะวางไว้ก่อนที่เขาจะออกไปแล้วดูไม่กลัวว่าหลี่ว์ซู่จะขโมยของ 

 

 

ที่จริงมองไปทั่วห้องก็ไม่มีของอะไรที่ทำให้หลี่ว์ซู่สนใจ 

 

 

ยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน สำหรับปีแล้วไม่ว่าโลกภายนอกจะเลิศเลอขนาดไหน เขาก็ยังรักโลกและรักเมืองลั่วเฉิง 

 

 

เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินว่าผู้แข็งแกร่งจะต้องทำลายความว่างเปล่าแล้วเดินทางไปอีกโลกหนึ่ง เขาไม่เห็นด้วย เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนของตนก็ดีอยู่แล้วจะออกไปให้หาคนที่แข็งแกร่งกว่าให้เขาทุบตีทำไม… 

 

 

เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ใฝ่หาความเป็นที่หนี่งของวิทยายุทธ์อยู่แล้ว หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าแค่ตัวเองมีพลังปกป้องเสี่ยวอวี๋และอาศัยอยู่ในเมืองลั่วเฉิงก็ดีอยู่แล้ว 

 

 

งั้นตอนนี้เพื่อนที่เขาอยากทำที่สุดก็คือหาทางกลับบ้านแต่เขาก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่รีบร้อน 

 

 

ในตอนนี้ชายวัยกลางคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา หาบตะกร้าเข้ามา ตะกร้ามีน้ำ 2 ถัง หลี่ว์ซู่สงสัยว่าชายวัยกลางคนผมดำผิวออกเหลืองดูยังไงก็เหมือนมนุษย์โลก เขาคงไม่ใช่อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภูเขาจั่งไป๋บอกเขาไม่ได้ผ่านประตูดวงดาวบ้านนั้นมาหรอกนะ 

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไม่พูดอะไรเพราะเขาไม่มั่นใจว่าที่นี่ใช้ภาษาอะไรกัน ถ้าพูดผิดภาษาไปอาจจะเปิดเผยตัวตนของเขา 

 

 

อย่างนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือเงียบไปก่อน แล้วค่อยๆ ศึกษาภาษาของที่นี่ รู้ให้เข้ากับโลกนี้และหาทางกลับบ้าน! 

 

 

หลี่ว์ซู่ปิดปากรออีกฝ่ายพูด เอามาใช้วัยกลางคนเห็นหลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยิ้มแล้วคิดว่า “อ้าว ตื่นแล้วหรือ คุณอย่าเพิ่งผึงรังเกี๋ยดบ้านผมเลยนะ ตอนที่เจอคุณดูหนากลัวมาก แล้วคุณก็ตกลงมาคางหลังผมตอนที่ผมกำลังทำงาน…คุณอย่าเอาเรื่องผมนะ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย!” 

 

 

หลี่ว์ซู่ “…” 

 

 

สำเนียงอะไรกันเนี่ย นี่มันโลกหลังประตูดวงดาวจริงหรือ! เขามาอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งในภูเขาจั่งไป๋จริงๆใช่ไหม! 

 

 

หลี่ว์ซู่ปรับอารมณ์สักครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ที่นี่ที่ไหน” 

 

 

ดีที่ใช้ภาษาเดียวกันอย่างน้อยตัวตนเขาคงไม่ถูกเปิดเผย 

 

 

ถึงหลี่ว์ซู่จะเข้าใจว่าตัวเขามีพรสวรรค์ด้านภาษามากแต่ถ้าไม่ต้องเรียนเพิ่มอีกภาษาก็จะดีกว่า 

 

 

ดูจากสภาพตอนนี้ เขาพูดภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษและภาษาหงิงได้… 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกไม่เข้าใจทำไมชายวัยกลางคนวันนี้ถึงเรียกเขาว่าคุณตลอด ฟังดูแล้วไม่คุ้นหู เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พูดมากก็ผิดมากแล้วเขาก็รู้สึกว่าสำเนียงของอีกฝ่ายดูผสมปนเปไปหมด 

 

 

ชายวัยกลางคนได้ยินที่หลี่ว์ซู่พูดก็สีหน้าดีใจอย่างมาก “ที่นี่คือหมู่บ้านเถียนเกิ่ง ผมเป็นชาวนาของหมู่บ้านนี้ ชื่อว่าจางเว่ยอวี่ คุณมาจากที่ไหน หิวหรือยัง เดี๋ยวผมไปฆ่าไก่มาให้ คุณว่าเป็นไง” 

 

 

หลี่ว์ซู่โบกมือปฏิเสธ “อย่าเพิ่งพูดเรื่องกินเลย ความทรงจำของผมตอนนี้ยุ่งเหยิงมาก มีเรื่องอยากถามคุณหน่อย ดินแดนพวกเรานี้…ผมหมายถึงโลกนี้มีชื่อเรียกไหม” 

 

 

จางเว่ยอวี่ตกใจกับคำถาม “มีสิ!” 

 

 

“เรียกว่าอะไร” หลี่ว์ซู่ดวงตาลุกวาว 

 

 

“จักรวาลหลี่ว์!” 

 

 

หลี่ว์ซู่ “???’ 

 

 

คราวนี้เป็นตาหลี่ว์ซู่ตกใจกับคำพูด “ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อนนะ สำเนียงคุณเพี้ยนหรือเปล่า…” 

 

 

ยูนิเวิร์ส? จักรวาลหลี่ว์? 

 

 

จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัยและเขียนคำว่า “จักรวาลหลี่ว์” ลงบนโต๊ะด้วยน้ำลายจากนั้นพูดว่า “ถูกแล้ว จักรวาลหลี่ว์ สำเนียงผมไม่เพี้ยน” 

 

 

บ้าไปแล้ว!! 

 

 

หลี่ว์ซู่สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เขาผ่านประตูดวงดาวมาจริงๆ ด้วย แต่ชื่อของโลกนี้…มันทำให้เขารับไม่ได้ 

 

 

ทำไมหรือ ที่นี่คือโลกของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ว์หรือ ถึงได้เรียกจักรวาลหลี่ว์! 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นแปลภาษาจีนคำว่ายูนิเวิร์สคือคำว่า “อวี่โจ้ว” เมื่อแยกสองคำนี้ออกจากกัน คำแรกแปลว่าที่ว่าง คำที่สองแปลว่าเวลาดังนั้นเมื่อรวมกันแล้วจึงหมายถึงทั้งโลก 

 

 

แล้วคำว่าจักรวาลหลี่ว์จะแปลอย่างไร 

 

 

ตอนนี้หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่ายที่ตอนแรกไม่ทันได้สังเกต กางเกงขาสั้น เสื้อทีเชิ้ต ก็ไม่เท่าไหร่ที่สำคัญคือรองเท้าหญ้าที่เขาใส่และเข็มขัดที่ทำจากหญ้าฟั่นเป็นเชือก 

 

 

หลี่ว์ซู่มองจางเว่ยอวี่ตรงหน้า ตอนนี้เขาเป็นคนธรรมดาจึงสัมผัสไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายมีพลังอะไร เพียงแค่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าน้ำเสียงที่อีกฝ่ายพูดแฝงความฉลาดไว้ ตอนนี้ฝ่ายเกรงใจขนาดนี้เหมือนกับเข้าใจผิดว่าหลี่ว์ซู่มีฐานะที่สูงส่ง 

 

 

จางเว่ยอวี่มองหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัยเหมือนว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “ลงจากเตียงเลยไอ้เด็กเมื่อวานซืน มาทำเป็นพูดน้ำเสียงชนชั้นสูง! แกล้งทำเป็นความจำเสื่อม! เรื่องนี้หนังสือพูดเอาไว้เยอะ!” 

 

 

หลี่ว์ซู่คิดในใจว่ามันเรื่องอะไรกันเนี่ย เขาไม่ได้เสแสร้งอะไรเลยแต่เรื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือตีเนียนไปก่อน ไม่ว่าจะขุนนางก็ดี ชาวนาก็ดี เป็นคนของโลกนี้ก่อนค่อยว่ากัน 

 

 

คราวนี้หลี่ว์ซู่เริ่มระมัดระวังจริงจัง เพราะเขารู้ว่าโลกนี้ไม่ได้สงบสุขแบบโลกมนุษย์ จากน้ำมือปรมาจารย์หุ่นเชิด 

 

 

หลี่ว์ซู่ลงจากเตียงอย่างว่านอนสอนง่าย “ขอโทษด้วย ความจำของผมมันยุ่งเหยิงจริงๆขอเวลาคิดทบทวนหน่อย” 

 

 

จางเว่ยอวี่กลอกตาไปมา “นายบอกความจริงมาเลย นายเป็นทาสที่ไปมีเรื่องกับเจ้านายแล้วออกมาใช่ไหม… ไม่เป็นไรๆ นายเป็นใครไม่สำคัญ แล้วอยากจะอยู่ที่นี่ไหม”