บทที่ 715 การกลับมาของบุตรแห่งความมืด!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ประกายเยือกเย็นสะท้อนอยู่ในดวงตาของจื่อเยว่ ในวินาทีเดียวกันนั้น ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็นำทัพหุ่นเชิดไร้จิตใจนับแสนและผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดจากแรงระเบิดของดาวศุกร์มุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร จิตใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่รอดชีวิตเต็มไปด้วยความกลัวและไม่อยากเข้าร่วมสงครามนัก แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือก ขณะที่มุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนับพันบนดาวอังคารก็เริ่มส่องแสง พวกมันถูกหลอมขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้ทำงานร่วมกับการเคลื่อนย้ายหมู่ของวงแหวนปราณระบบสุริยะ

ผู้ฝึกตนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจากดาวศุกร์มาปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงระยิบระยับนั้น ทุกคนต่างก็บาดเจ็บมากน้อยต่างกันไป

พวกเขาถูกผู้ฝึกตนจากดาวอังคารที่เฝ้ารออยู่ล้อมทันที ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือ และพาตัวออกไปจากบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เหล่าหมอที่ชำนาญการนับพันเริ่มมาตรวจรักษาอาการบาดเจ็บทันที

แต่มีผู้ฝึกตนจากดาวศุกร์เข้ามามากเกินไป ทำให้บรรดาหมอไม่อาจช่วยดูอาการได้ทันทั้งหมด เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเตรียมการรับมือเรื่องนี้โดยการจัดสรรค์ผู้ฝึกตนนับหมื่นเอาไว้รอช่วยงานบรรดาหมอ

“อาการบาดเจ็บภายใน มีอวัยวะสามถึงห้าส่วนเสียหาย ส่งสหายเต๋าไปที่บริเวณจุดพักรักษาทันที!”

“สหายเต๋าเอ๋ย อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่รุนแรงนัก เจ้าเพียงแต่เสียพลังวิญญาณมากเกินไป ใครช่วยพาสหายท่านนี้ไปนอนพักรักษาตัวในห้องก่อน!”

“วิญญาณของเจ้าแสดงอาการว่าจะแตกสลาย ส่งโอสถรักษาวิญญาณมาทางนี้หน่อย!”

ฐานที่มั่นดาวอังคารยังคงรักษาผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างรวดเร็วและมีวินัย มีการจัดการดูแลผู้ฝึกตนที่เพิ่งเคลื่อนย้ายมาจากดาวศุกร์ไปยังฐานที่มั่นอย่างเหมาะสมและว่องไว ในบรรดาผู้ที่ถูกเคลื่อนย้ายมา มีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าด้วย พวกเขาต่างก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัสและร่างกายที่อ่อนแรง ทั้งคู่ไม่ได้เคลื่อนย้ายเพื่อไปรับการรักษา หากแต่ยืนอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย พลางเฝ้ารออย่างกังวล

พวกเขารอหวังเป่าเล่อ ต้วนมู่ฉี และหลี่ซิงเหวินปรากฏกาย

ผู้ที่ยืนรออยู่เคียงข้างพวกเขาคือ…ผู้ฝึกตนจากนครอาวุธเทพใหม่แห่งดาวอังคาร นำโดยหลิวต้าวปิน!

พัฒนาการของนครอาวุธเทพใหม่นั้นก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาหลายปีที่หวังเป่าเล่อไปอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล นครแห่งนี้เติบโตขึ้น และจำนวนผู้ฝึกตนที่อยู่ในนครก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ กลุ่มอำนาจการเมืองหลายกลุ่มอยากครอบครองตำแหน่งเจ้าเมือง กลายเป็นปัญหากวนใจบรรดาผู้ติดตามของหวังเป่าเล่อที่ชายหนุ่มมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลนครยิ่งนัก

หลิวต้าวปินถูกกีดกันและเกือบจะถูกขับออกจากนคร แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพิสูจน์ตนเองและทำคุณูปการให้กับสหพันธรัฐอย่างแข็งขัน แต่ก็ไม่ได้ช่วยป้องกันเหล่ากลุ่มอำนาจการเมืองที่หวังจะฮุบนครนี้เพื่อสนองความโลภของตนแม้แต่น้อย

โชคยังดีที่ชายหนุ่มได้รับการหนุนหลังจากเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารแหละหลี่ซิงเหวิน จึงช่วยให้เขารักษาสถานะเจ้าเมืองไว้ได้

จากนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อได้ไต่เต้าขึ้นสูงในสำนักวังเต๋าไพศาล การที่ชายหนุ่มได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดทำให้ทั้งสหพันธรัฐพากันแซ่ซ้องยินดี เมื่อนั้นสถานการณ์บนดาวอังคารจึงค่อยคลี่คลายลง บรรดากลุ่มอำนาจการเมืองทั้งหลายต่างก็ต้องทำการอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สนใจหากจะทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาหวังเป่าเล่อ เพราะไม่ว่าชายหนุ่มจะทำดีกับสหพันธรัฐมากเพียงใด เขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบและต้องเล่นตามกติกาที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นมา แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุด สถานการณ์ก็พลิกผัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายอีกต่อไป

หลิวต้าวปินและหลี่หว่านเอ๋อร์ต่างก็ถอนหายใจด้วยคามโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเมื่อเกิดสงคราม และหวังเป่าเล่อหายตัวไป ในช่วงเวลานั้นบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองก็ไม่สนใจจะชิงอำนาจกันอีก พวกเขาไม่ได้เสียอำนาจไปมากนักในช่วงที่หวังเป่าเล่อหายตัวไป จากนั้นเมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งและสังหารผู้ฝึกตนรขั้นเชื่อมวิญญาณได้ ฉากความเชี่ยวชาญในการรบพุ่งของเขาทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองของชายหนุ่มในนครตื่นเต้นกันไม่หยุด พวกเขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาฉวยโอกาสนี้กุมอำนาจในนครเอาไว้ได้ทั้งหมด ขณะนี้ทั้งคู่ต่างพาบรรดาผู้ฝึกตนแห่งนครใหม่ออกมารอต้อนรับเจ้าเมืองกลับมา!

เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้อยู่ที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย หากแต่ไปอยู่บริเวณศูนย์กลางของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร นางและผู้บริหารระดับสูงของดาวอังคารไปเปิดวงแหวนปราณนั้นขึ้น เพื่อเตรียมการป้องกันดาวในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น

มีเรือบินรบนับแสนลำลอยพร้อมอยู่นอกวงโคจรของดาวอังคาร และมีผู้ฝึกตนจำนวนมหาศาลยืนตั้งแถวเป็นระเบียบเพื่อเฝ้ารอคำสั่ง ทันทีที่เจ้านครอาณานิคมสั่ง วัตถุเวทเพื่อการสงครามทั้งหมดบนดาวจะถูกเปิดใช้งานพร้อมกัน บรรยากาศที่คุกรุ่นไปด้วยไฟสงครามปกคลุมไปทั่วดาวอังคาร

เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารนั้นต่างจากต้วนมู่ฉีหรือหลี่ซิงเหวิน นางอาจเป็นผู้ฝึกตนสตรี แต่นิสัยใจคอทั้งแข็งแกร่งและเถรตรง แถมยังดุดันราวกับเปลวเพลิงคลั่ง หากไม่มีสิ่งใดมาแหย่เปลวเพลิง สันติสุขก็จะปกคลุมอยู่ทั่วไป แต่หากเปลวไฟจุดติดขึ้นมาเมื่อใด มันก็จะแผดเผาทุกสิ่งให้ราบเป็นหน้ากลอง

กลยุทธ์ของนางต่างกับกลยุทธ์ของดาวศุกร์ ฝ่ายหลังนั้นยอมเสียแนวป้องกันในอวกาศถึงเก้าแนว ถือเป็นการรับมือเชิงตั้งรับและปรับตัวเข้ากับศัตรู แต่กลยุทธ์ของนาง..คือการเอาต้นกำเนิดดาราของดาวอังคารออกมาและใช้ระเบิดต้านทานวิญญาณคู่กับอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารและวงแหวนปราณระบบสุริยะ ดาวอังคารจะค่อยๆ รับมือกับกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นระลอกๆ ก่อนจะบังคับให้บรรดาผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลต้องลงมาสู้กันบนพื้น เป็นการต่อสู้ที่ตัดสินชะตาครั้งสุดท้าย!

“ระบบทำลายตนเองของวงแหวนปราณระบบสุริยะถูกตั้งค่าใหม่ พวกเรายังไม่มีสิทธิ์การเข้าถึงตรงนั้น หากได้สิทธิ์นั้นมา พวกเราก็สามารถเริ่มวงจรการทำลายตนเองห้าส่วนได้ทันที!”

“การเตรียมการอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารสำเร็จแล้ว พวกเราสามารถใช้ปราณยับยั้งลงไปบนพื้นผิวดาวสามครั้งเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ!”

“บริเวณทำลายตัวเองสามแสนเจ็ดหมื่นจุดเตรียมการพร้อมแล้ว!”

การรายงานความพร้อมหลั่งไหลเข้ามาในห้องบังคับการ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารดูใจเย็นขณะที่เงยหน้าขึ้นมองไปในอวกาศ มีแม่ทัพจากกองทัพดาวอังคารยืนอยู่ข้างนาง เขาดูร้อนรนก่อนจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้เบา

“ท่านเจ้านคร เรื่องสิทธิ์การเข้าถึงวงแหวนปราณระบบสุริยะ…หลี่ซิงเหวินอาจจะไม่มอบให้เราก็ได้ เขายังต้องการเก็บสิ่งนั้นไว้เป็นแนวป้องกันสุดท้ายสำหรับผู้รอดชีวิตในสหพันธรัฐ”

“เจ้าแก่นั่น!” เจ้านครพูดอย่างเยือกเย็น พลังปราณขั้นจุติวิญญาณมอบความรู้สึกถึงอำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ให้กับนาง

“เราจะเสียเปรียบหากเป็นการต่อสู้บนอวกาศ! การต่อสู้บนพื้นดินเท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้เปรียบที่สุด แถมยังใช้พลังของวิทยาศาสตร์การวิญญาณได้สูงสุดอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หากสหพันธรัฐพ่ายแพ้ แม้จะมีผู้รอดชีวิตแต่ก็ต้องล่องลอยไปในอวกาศ จะมีประโยชน์อย่างไรกัน หากใครสักคนจะรอดชีวิตไปได้ เขาก็คงไม่เหลืออะไรนอกจากจะต้องใช้ชีวิตภายใต้ร่มเงาของอารยธรรมต่างดาวไปตลอด!”

“ถึงกระนั้น วิธีนี้ก็ต้องมีการเสียสละชีวิตเป็นจำนวนมาก…” แม่ทัพพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“พวกเราส่วนมากมาจากอารยธรรมทางตะวันออกของโลกมนุษย์ พวกเขามีภาษิตอยู่บทหนึ่ง…มีเพียงผู้บ้าคลั่งเท่านั้นที่มีชีวิตรอด!

“การเสียเลือดเนื้อนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดาวอังคารเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของสหพันธรัฐ หากดาวอังคารยังคงอยู่ สหพันธรัฐก็จะคงอยู่ด้วย หากเราพ่ายแพ้…ครอบครัวทั้งสามคนของข้าจะสู้จนลมหายใจสุดท้ายบนสนามรบ ขอให้สิ่งนี้เป็นการแสดงความภักดีต่อสหพันธรัฐครั้งสุดท้ายของเรา!

“ข้าจะพูดกับหลี่ซิงเหวินและขอสิทธิ์การควบคุมมาเอง…ออกคำสั่งมาได้เลย!”

แม่ทัพที่ได้ฟังคำพูดอันแข็งแกร่งและเด็ดขาดของเจ้านครทำได้เพียงนิ่งเงียบไป จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้ารับคำสั่ง และออกคำสั่งต่อไปทันที เสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้อนไปทั่วดาวอังคารทันที ทุกอย่างพร้อมแล้ว

ขณะที่การเตรียมการสู้รบบนดาวอังคารกำลังดำเนินอยู่นั้น สถานการณ์ที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็กำลังเข้าสู่ช่วงท้าย ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินปรากฏกายขึ้น ตามด้วยเฟิ่งชิวหรันและหลี่อู๋เฉิน คนสุดท้ายที่โผล่มาคือหวังเป่าเล่อ!

ชายหนุ่มเดินทางมาพร้อมดวงจันทร์ แต่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่อาจบรรจุทั้งสองได้ไหว ในท้ายที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ดวงจันทร์ก็มาปรากฏอยู่ข้างๆ ดาวอังคาร ก่อให้เกิดระลอกพลังวิญญาณกระจายออกไปในจักรวาล

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลับไปหลับใหลอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีเวลากระทั่งจะกล่าวทักทายเจ้าเยี่ยเหมิง หลิวต้าวปิน หรือหลี่หว่านเอ๋อร์ที่ชายหนุ่มมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเลยสักนิด เขาหันไปมองว่าทุกคนปลอดภัย ก่อนจะพยักหน้าหนึ่งครั้ง แล้วจึงกล่าวอำลาหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉี หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวไปทางนครของเขาทันที!

เขาได้คุยกับทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินก่อนเล็กน้อย

“ท่านผู้นำ ผู้อาวุโสสูงสุด โปรดถ่วงเวลาให้ข้าสักหน่อย ข้าต้องไปเอาสิ่งหนึ่งออกมา…มันอาจจะเป็นอาวุธที่ช่วยให้เราพลิกสถานการณ์ในสงครามนี้ได้ก็เป็นได้!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็วิ่งเต็มฝีเท้าจากไป

หวังเป่าเล่อนั้นทั้งควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ประมือกับโยวหรัน แถมยังต้องเผชิญหน้ากับจื่อเยว่ผู้ลึกลับ ชายหนุ่มสร้างคุณูปการมหาศาลในการต่อสู้บนดาวศุกร์ คำพูดของเขามีน้ำหนักใหญ่หลวงกับทั้งหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี และเหล่าบรรดาผู้ฝึกที่อยู่ในเหตุการณ์การปะทะที่ดาวศุกร์

ยิ่งไปกว่านั้น ดาวอังคารก็เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเป็นศูนย์รวมอำนาจและความโด่งดังทั้งในนครเก่าและนครใหม่ไม่ต่างกัน

เป็นเหตุให้คำพูดสุดท้ายของเขาแพร่สะพัดไปทั่วดาวอังคารอย่างรวดเร็ว เมื่อหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีมาถึงห้องบังคับการก็ได้พบเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร และบอกสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดให้นางฟังเช่นกัน

นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้ หลี่ซิงเหวินที่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ยอมกัดฟันตกลงทำตามแผนของเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารที่จะให้ระเบิดวงแหวนปราณระบบสุริยะ!

ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็มาถึงนครอาวุธเทพใหม่ดาวอังคาร ชายหนุ่มจ้องมองไปที่นครซึ่งใหญ่โตขึ้นกว่าตอนที่เขาจากไปหลายเท่า แต่ก็ยังมีความคุ้นเคยอยู่ในความแปลกใหม่นั้น ทำให้ความทรงจำหลายหลากพวยพุ่งขึ้นมาในใจก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อขยี้หน้าผากก่อนจะนึกย้อนไปถึงตอนที่นิ้วของจื่อเยว่สลายกลายเป็นฝุ่นไป

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนคราวนี้แม่นางน้อยจะผล็อยหลับไปจริงๆ ทำให้คำถามของหวังเป่าเล่อไร้ซึ่งคนตอบอยู่เช่นเดิม

หวังเป่าเล่อทำได้เพียงปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อนและพุ่งตัวไปหาแท่นสังเวยบูชาตรงกลางเมือง ตรงนั้น…คือทางเข้าถ้ำนั่นเอง!

คลื่นพลังวิญญาณที่คุ้นเคยไหลบ่าออกมาจากถ้ำลึกทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ราชครู ชายร่างกำยำ และเด็กชายปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

“ยินดีต้อนรับกลับมา บุตรแห่งความมืด!”

………………………….