ตอนที่ 386 ประกาศให้รางวัล

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 386 ประกาศให้รางวัล โดย Ink Stone_Fantasy

หนอนเล็กๆ เหล่านี้มีลำตัวยาวไม่ถึงหนึ่งชุ่น มีหนวดสัมผัสอยู่บนตัวสองเส้น มันนอนคว่ำหน้าไม่ขยับเขยื้อน ในขณะที่เปลือกสีแดงกลมๆ บนหลังของมันถูกแสงริบหรี่ของหินสีเขียวบนผนังถ้ำส่องลงมา มันก็เปล่งแสงสีแดงจางๆ ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

พอหลิ่วหมิงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ กระตุกอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็เดินหน้าต่อ

ขณะที่เพิ่งจะเดินผ่านไปสองโค้ง ก็มีเงาร่างจำนวนมากเดินเข้ามา

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก โดยไม่มองไม่เห็นคนเหล่านี้เลย

มีพลังจิตกวาดมาอย่างรวดเร็ว แต่พอสัมผัสโดนเล็กน้อยก็ต้องละออกไปทันที

และเมื่อคนเหล่านี้เดินผ่าน หลิ่วหมิงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาของพวกเขาดูไม่เป็นมิตร

แต่โชคดีที่ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ใส่ใจทาสเหมืองแร่ที่มาคนเดียวอย่างเขา เพียงกวาดสายตามองดูทีหนึ่งแล้ว ก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เวลาต่อมา เขาเดินผ่านทาสเหมืองแร่กลุ่มอื่นๆ เป็นจำนวนมาก

แม้คนเหล่านี้จะดูไม่ออกว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ที่เพิ่งมาใหม่ แต่พอเห็นเขามาคนเดียว แววตาของพวกเขาก็ดูไม่ประสงค์ดีออกมา

แต่โชคดีที่ขณะนี้เขาเดินไปทางส่วนลึกของสายแร่ และยังดูเหมือนกับผีตายซากเช่นนี้ จึงไม่มีใครลงมืออะไรกับเขา

……

ในอุโมงค์แคบยาวขนาดยี่สิบกว่าจั้ง

ด้านบนมีหินเรืองแสงสีเขียวจำนวนมากฝังอยู่ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ดูสว่างขึ้นมา บนพื้นและผนังล้วนเต็มไปด้วยหลุมบ่อขนาดต่างๆ แค่มองก็รู้ว่าเป็นร่องรอยการขุดเจาะของคนงาน

ดูจากสภาพของร่องรอยแล้ว เหมือนจะถูกขุดไปได้ไม่นาน ทั้งยังถูกคนใช้มีดแหลมคมขุดเจาะโดยตรง

ผนังข้างหนึ่งมีทางเดินสี่เหลี่ยมสูงหลายจั้ง และปากทางเข้าครึ่งหนึ่งกลับถูกโครงกระดูกครึ่งหนึ่งของอสูรประหลาดปิดกั้นไว้

หน้าทางเดินมีชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง ยืนหยุดพักอยู่ เขากำลังจ้องมองโครงกระดูกอสูรประหลาดด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

หลังจากเดินมาครึ่งวันกว่าๆ สถานที่แห่งนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากทางเดินส่วนลึกที่ทำเครื่องหมายไว้ในช่วงครึ่งหลังของแผนที่

ก่อนหน้านั้นเขาเห็นศพทาสเหมืองแร่ที่ตายอย่างอนาถอยู่เป็นระยะๆ แต่โครงกระดูกอสูรประหลาดเช่นนี้ กลับเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก

บนโครงกระดูกครึ่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่นี้ ไม่มีเนื้อติดอยู่เลยแม้แต่น้อย และไม่มีคลื่นพลังจิตวิญญาณแผ่ออกมา คิดว่ามันคงตายไปนานแล้ว

ดูจากโครงกระดูกที่เหลือครึ่งหนึ่งนี้ พอจะมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงของมันได้ คงมีขนาดราวๆ สามสี่จั้ง รูปร่างคล้ายกับสุนัขตัวหนึ่ง แม้ขาหน้าและขาหลังที่เหลืออย่างละข้างจะแตกชำรุด แต่ตรงส่วนของกรงเล็บกลับดูแหลมคมมาก

มีคมเขี้ยวยาวหลายชุ่นวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้นใกล้กับหัวกะโหลก และเปล่งแสงเย็นสะท้านภายใต้แสงสลัวๆ

“นี่คงเป็นอสูรโฉดที่พูดถึง?”

หลิ่วหมิงเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดพึมพำออกมาเบาๆ

เขาดึงดาบกระดูกออกมาจากเอว และเอามาเทียบกับโครงกระดูก นอกจากความใหม่เก่าแล้ว วัสดุของทั้งสองก็คล้ายกันมาก แต่พอมองดูอย่างละเอียดกลับพบว่ามีบางส่วนที่ไม่เหมือนกันเล็กน้อย

แต่ครู่ต่อมา ดาบกระดูกในมือก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านแล้วฟันลงไป

“ฟิ้ว!”

กระดูกท่อนหนึ่งถูกตัดขาดออกมาอย่างง่ายดาย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลิ่วหมิงพยักหน้าเข้าใจในทันที

แม้โครงกระดูกครึ่งส่วนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเศษโครงกระดูกของอสูรโฉดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติของมันสู้ดาบกระดูกในมือไม่ได้ ดูท่าอสูรโฉดต่างก็มีหลากหลายรูปแบบ และพลังก็แตกต่างกันมาก

มิเช่นนั้นโครงกระดูกครึ่งส่วนนี้ คงไม่ถูกทิ้งไว้ที่นี่อย่างง่ายดาย และไม่มีใครสนใจมัน

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากศพอสูรโฉดที่เทียบเท่ากับระดับผลึกถูกนำออกไปสู่โลกภายนอก ผิวหนัง เส้นขน และโครงกระดูกของมันต่างก็เป็นวัสดุที่ไม่เลวในการสร้างอาวุธจิตวิญญาณ

แต่ในสถานที่แห่งนี้ ต่อให้เป็นโครงกระดูกอสูรโฉดที่ดีกว่านี้ ก็ได้แต่นำมาทำเป็นอาวุธที่แหลมคมเท่านั้น หนังและเส้นขนก็ทำเป็นแผนที่ ส่วนเลือดเนื้อของมันก็ใช้เป็นอาหารประทังความหิว

แต่ดูจากทาสเหมืองแร่ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ แม้แต่ละคนจะมีใบหน้าซีดเซียวผ่ายผอม แต่กายเนื้อกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนในโลกภายนอกที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่น้อย ดูท่าเลือดเนื้อของอสูรโฉดจะมีผลในการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งได้ สิ่งนี้มีประโยชน์มากมายสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ

แววตาหลิ่วหมิงดูครุ่นคิด แต่หลังจากลูบคางไปมาแล้ว ก็เก็บดาบกระดูกไว้บนเอว จากนั้นก็เดินอ้อมโครงกระดูกอสูรโฉดไป

……

หนึ่งชั่วยามต่อมา

หลิ่วหมิงถือแผนที่เดินออกจากอุโมงค์เล็กๆ บางแห่งจนมาถึงปากทางแยกแห่งหนึ่ง สีหน้าเขาดูอับจนหนทางเป็นอย่างมาก

ตั้งแต่พบโครงกระดูกอสูรโฉด ก็หาปากทางที่สอดคล้องกับที่ระบุไว้ในแผนที่ได้ยากมาก หลังจากลองดูอยู่หลายครั้ง ก็นึกถึงคำพูดของชายหนุ่มที่พบเจอตรงทางสามแยกขึ้นมาได้

“ดูท่าสถานที่แห่งนี้ คงนับว่าเป็นส่วนลึกของสายแร่แล้ว มีคนเปิดช่องทางใหม่ๆ อยู่บ่อยครั้ง แผนที่ในมือจึงใช้การไม่ค่อยได้” หลิ่วหมิงแอบคิดอยู่เงียบๆ

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ และเก็บแผนที่ในมือ จากนั้นก็หยิบหนังอสูรว่างเปล่าออกมาแผ่นหนึ่ง เขาวาดสภาพพื้นที่ในขณะนี้อย่างคร่าวๆ เสร็จแล้วก็เดินไปยังทางแยกสายหนึ่ง

ครึ่งวันต่อมา

หนังอสูรบนมือหลิ่วหมิง ก็ถูกเขาวาดเส้นทางและเครื่องหมายลงไปไม่น้อย ซึ่งส่วนมากจะมีเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายง่าม

เนื่องด้วยตนเองเข้าสู่ส่วนลึกของสายแร่แล้ว เมื่อเดินดูกลับไปกลับมา ก็ค้นพบอุโมงค์ไม่น้อย

แต่ที่ทำให้เขาค่อนข้างหงุดหงิดก็คือ สถานที่เหล่านี้ต่างก็มีหินแร่ทั่วไปที่ไม่ค่อยมีมูลค่าอะไรเลย หรือไม่ก็เป็นเหมืองร้างที่ถูกคนขุดเจาะเอาหินแร่ไปหมดแล้ว

ขณะนี้มือของเขาถือเนื้อแห้งอยู่ชิ้นหนึ่ง และกำลังกัดแทะอยู่ ขณะเดียวกันก็ค้นหาอยู่ในทางเดินแคบๆ อย่างระมัดระวัง

เนื้อแห้งที่ทำมาจากเนื้ออสูรโฉดค่อนข้างเหนียว จนเกือบไม่สามารถเคี้ยวให้ละเอียดได้ และพอเข้าไปในปาก ก็ยังคงรู้สึกถึงกลิ่นคาวที่ทำให้รู้สึกอยากอ้วกออกมา!

จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในโลกของผู้ฝึกฝน ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองที่เขาทานเนื้ออสูรโดยตรง

เพราะหลังจากนำเลือดเนื้อของปีศาจอสูรมาปรุงเป็นโอสถแล้ว ผลลัพธ์จะเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย สิ่งที่ไม่พึงประสงค์และผลข้างเคียงก็ลดน้อยลงด้วย

ตอนแรกหลิ่วหมิงก็ไม่ชิน แต่พอรับรู้ถึงผลลัพธ์พิเศษของมัน เขากลับหยุดกินไม่ได้

ที่แท้เนื้อแห้งชนิดนี้ หลังจากกลืนลงไปไม่นาน ก็จะกลายเป็นพลังความร้อนไหลไปตามเส้นชีพจรต่างๆ ทำให้มือเท้าทั้งสี่และกระดูกแต่ละส่วนรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่จิตใจก็ดูเหมือนจะปลอดโปร่งขึ้นมา

ดูท่าคงจะเป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ในก่อนหน้านั้น ซึ่งเนื้ออสูรโฉดจะต้องมีประโยชน์ต่อกายเนื้ออย่างแน่นอน

แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก็คือ เนื้ออสูรโฉดมีผลต่อการฟื้นฟูพลังเวทย์น้อยมาก ซึ่งแตกต่างจากเนื้อปีศาจอสูรทั่วไปมากนัก

ดูท่าคงไม่อาจนับได้ว่าอสูรโฉดเป็นปีศาจอสูรที่แท้จริง

เมื่อเขาเดินไปตามทางเดินหลายร้อยหมี่ ก็มองเห็นทางเดินสายใหม่ที่ดูเหมือนจะเพิ่งเปิดออกมาได้ไม่นานอยู่ตรงปลายสุดของทางเดิน

เขารีบเดินไปด้วยความดีใจ พอมาถึงหน้าปากถ้ำ ก็มองดูสัญลักษณ์กระบี่เล็กๆ ที่ใช้โลหิตสีแดงเข้มวาดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว เขาก็ส่ายหน้าและหมุนตัวเดินไปยังเส้นทางสายอื่น

แม้จะบอกว่าในทางเดินสายนี้ คงจะมีหินแร่ล้ำค่าจำนวนไม่น้อย แต่ในเมื่อมีสัญลักษณ์ทิ้งไว้ ก็ประจักษ์ชัดว่ามีคนครอบครองแล้ว

ตลอดทางที่ผ่านมา หลิ่วหมิงพบเจอเหมืองร้างที่ถูกขุดหินแร่ออกไปจนหมด ตรงทางเข้าส่วนหนึ่ง ต่างก็มีสัญลักษณ์แบบต่างๆ เขียนติดอยู่

ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องไปยุแหย่กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ

……

ขณะเดียวกัน ตรงอุโมงค์สายหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขตแลกเปลี่ยนไม่ไกล

อุโมงค์ค่อนข้างกว้างขวาง มีขนาดราวๆ สามสิบจั้ง ด้านข้างมีบ้านหินเรียบง่ายที่ก่อตัวขึ้นมาจากก้อนหินอยู่สองสามหลัง

บ้านหินล้วนปิดสนิทรอบด้าน ไม่มีหลังไหนมีหน้าต่างเลย มีเพียงแค่รูสองสามรูบนผนังหินทั้งสี่ด้านเท่านั้น

บนพื้นหน้าบ้านมีชายฉกรรจ์ทาสเหมืองแร่รูปร่างสูงใหญ่สองคน กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ บนเอวของพวกเขาต่างก็มีอาวุธที่ทำมาจากกระดูกอสูรโฉด สายตาของพวกเขาจ้องมองทางเดินสายเดียวที่ทอดยาวมาที่นี่อย่างระแวดระวัง

และในบ้านหลังที่มีขนาดใหญ่สุด มีกองไฟขนาดใหญ่สุมอยู่

เหนือกองไฟมีเนื้อย่างแขวนไว้ มันส่งกลิ่นคาวรุนแรงออกมาปกคลุมไปทั่วบ้าน

ข้างกองไฟ ชายฉกรรจ์ใบหน้าอัปลักษณ์ สูงราวๆ สองจั้ง กำลังเดินเตร่ไปเตร่มา และจ้องมองทาสเหมืองแร่ผิวสีเขียวที่มีรูปร่างเตี้ยเล็กด้วยแววตาดุร้าย

“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า คนที่ฆ่าน้องชายของข้าเป็นคนที่เพิ่งมาใหม่? แต่เจ้าไปรู้ข่าวนี้มาได้อย่างไร?” ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ก็เอ่ยปากถามอย่างเยือกเย็น มือหยาบกร้านทั้งสองค่อยๆ กำเข้าหากันจนแน่น จากนั้นมันก็ส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา

“เรียนพี่ใหญ่ซา ช่วงนี้ข้าอาศัยหนอนปีศาจแสดงวิชาบนตัวของเผ่าเกล็ดเหล็ก เดิมทีกะจะตรวจสอบดูความเคลื่อนไหวของพวกมัน ว่าค้นพบแหล่งทรัพยากรใหม่หรือไม่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินข่าวของน้องชายท่าน ดังนั้นข้าจึงรีบมาแจ้งท่านทันที” ทาสเหมืองแร่รูปร่างเตี้ยเล็กรีบกล่าวออกมา

“ฮึ! เรื่องนี้ข้าจะต้องตรวจสอบด้วยตนเองอย่างแน่นอน เพียงแค่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง ย่อมมีรางวัลให้เจ้าอย่างงาม แต่หากกล้าหลอกลวงข้าล่ะก็ ข้าจะทุบกระดูกเจ้าให้แหลกละเอียด”

ชายฉกรรจ์ฟังจบก็หยุดฝีเท้าลง เสียงดังกรอบแกรบบนมือหยุดชะงักไปทันที กล้ามเนื้อบริเวณหน้าและหน้าอกนูนขึ้นมา และดูแวววาวราวกับเหล็ก

“พี่ใหญ่ซา ข้าจะกล้าหลอกท่านได้อย่างไร ข้าขอใช้ใจปีศาจสาบานว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จแต่อย่างใด” ทาสเหมืองแร่รูปร่างเล็กเตี้ยรู้สึกตกใจกับท่าทางที่ดุดันของชายฉกรรจ์ เขาจึงทำการสาบานและตบหน้าอกของตนเอง

“ดีมาก! ช่วยข้าปล่อยข่าวออกไปว่า ข้าประกาศให้รางวัลสองพันหินจิตวิญญาณในการตามหาเบาะแสของคนที่มาใหม่ กะอีแค่คนมาใหม่คนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือกับคนของข้า แม้น้องชายข้าจะเป็นคนไมเอาไหน แต่หากแค้นนี้ไม่ชำระล่ะก็ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองข้าว่าอย่างไร เพียงแค่คนที่มาใหม่ถูกข้าจับได้ ข้าจะทำให้เขาเสียใจที่เข้ามาในโลกใบนี้” ชายฉกรรจ์สั่งทาสเหมืองแร่รูปร่างเตี้ยเล็กด้วยสีหน้าดุร้าย

ทาสเหมืองแร่รูปร่างเตี้ยเล็กย่อมตอบรับกลับไป หลังจากชายฉกรรจ์โบกมือ เขาก็ค่อยๆ ถอยออกไปจากห้อง

ภายในบ้านหินกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

……

หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่าชีวิตของตนเองในตอนนี้ มีมูลค่าแค่สองพันหินจิตวิญญาณในสายตาคนบางคนเท่านั้น

ตอนนี้เขาอยู่ในถ้ำหินที่เปิดขึ้นมาเองในส่วนลึกของสายแร่บางแห่ง และกำลังหยิบธงค่ายกลออกจากแขนเสื้อ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะวางค่ายกลชั่วคราว

บริเวณหน้าปากถ้ำ มีแมงป่องกระดูกที่มีเกล็ดสีแดงนอนหมอบอยู่ มันคอยระแวดระวังภัยบริเวณนี้

เขาใช้เวลานานมากกว่าจะหาสถานที่สถานที่ร้างผู้คนเช่นนี้ได้ ทั้งยังใช้กระบี่เหล็กที่ได้มาจากผู้พิทักษ์ และเวลาสักพักพักใหญ่ๆ ถึงสร้างสถานที่ที่พอจะอาศัยให้อยู่รอดได้

แม้ว่าถ้ำบนผนังทางเดินจะไม่ใหญ่มาก ซึ่งมีขนาดไม่เกินสองสามจั้งเท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้ เป็นเขตของสายแร่ล้ำค่า แม้แต่หินธรรมดาก็แข็งแกร่งราวกับเหล็ก ต่อให้ตอนนี้จะมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน และมีพลังอยู่เต็มเปี่ยม แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่กล้าใช้พลังเวทย์กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโดยง่าย ทุกกระบี่ที่ทิ่มแทงลงไป ก็เจาะผนังได้แค่ไม่กี่ชุ่นเท่านั้น

ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงเข้าใจเล็กน้อยว่า ทำไมทาสเหมืองแร่เหล่านั้น ถึงได้ทุ่มเทกับหินแร่ล้ำค่าถึงเพียงนี้

หากขุดเจาะได้ยากเช่นนี้ คิดว่าการที่จะรวบรวมจำนวนหินแร่ให้ได้เพียงพอในแต่ละเดือนคงไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งอยากรวบรวมหินแร่ล้ำค่ามาให้ได้จำนวนมากๆ ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก

…………………………………