สือหลุนและพวกทั้งสามมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปยังต้นไม้ใหญ่โดยไม่ได้พูดอันใด

ผลคือเห็นด้านหลังต้นไม้มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีผู้บำเพ็ญเพียรแปลกหน้าสามคนปรากฏขึ้น

คนหนึ่งสวมชุดคลุมนักปราชญ์สีเหลืองเป็นบุรุษรูปงามอายุสามสิบกว่าปี คนหนึ่งคือนักพรตน้อยอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีสะพายกระบี่ไม้สีดำไว้ที่แผ่นหลัง คนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาเลยสักนิดสวมชุดคลุมสีเขียวแต่มือข้างหนึ่งกลับหนีบยันต์สีเงินเอาไว้ อีกข้างหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะหนีบร่างเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์เอาไว้

แน่นอนว่าพวกเขาคือหานลี่และพวกทั้งสามคน

จะว่าไปแล้วก็บังเอิญ พวกเขาสามคนเดินทางมาอย่างยาวนาน และเพิ่งจะมาถึงที่นี่เข้าพอดี

เป็นเพราะมาอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาเก้าเซียนแล้ว ประกอบกันก่อนหน้านี้เร่งรุดเดินทาง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจะพักสักคืน พรุ่งนี้ค่อยออกไปเดินเล่นที่ย่านร้านค้า

ผลคือไม่รอให้ทั้งสามคนเริ่มพักผ่อน สือหลุนและพวกก็มาถึงที่รกร้าง และเปิดฉากสังหารคนชิงสมบัติต่อหน้าต่อตาพวกเขา

เดิมเรื่องเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างบ่อยคลั่งในแดนวิญญาณ แต่สือหลุนกลับพูดกลับกลอกไปมา กลับเอาเด็กหญิงมาข่มขู่อีกฝ่าย นี่มันชั่วช้าเกินไปหน่อยแล้ว

ทำให้ไห่ต้าเซ่าและพวกสองคนที่มีจิตใจเที่ยงธรรมทนดูต่อไปไม่ไหว และจึงเกิดฉากลงมือช่วยคนอย่างลับๆ ขึ้น

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่า ‘พี่หาน’ ที่อยู่ด้านหลังมีพลังลึกล้ำยากจะคาดเดา

จะแย่แค่ไหน ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต

เมื่อทั้งสองกระโดดออกมาด้วยความโกรธ หานลี่ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเดินออกมาด้วย

“พวกเจ้าเป็นใคร กล้ามายุ่งเรื่องของพวกเราสามพี่น้อง” สือหลุนเห็นทั้งสองคนเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ อีกคนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีพลังปราณ ก็รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วกลับมาเอ่ยข่มขู่อีกครั้งด้วยสีหน้าถมึงทึง

“ชี่หลิงจื่อ ‘ยันต์ลูกท้อแข็งลูกพลัมแทน’ ของเจ้าน่าสนใจจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะใช้หุ่นเชิดมาเปลี่ยนตัวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ ทว่าครั้งที่แล้วยามที่พวกเราพบกับอันตราย เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลอารามใช้มันเลย หรือว่าชีวิตน้อยๆ กำลังจะหาไม่แล้วก็ยังคิดจะเก็บเอาไว้?” ไห่ต้าเซ่ากลับค้อนสายตาใส่ชี่หลิงจื่อ ท่าทางคิดบัญชีย้อนหลัง

“ถุย! เก็บเอาไว้อันใด ยันต์ท้อแข็งลูกพลัมแทนแผ่นนี้ใช้ง่ายมาก ก่อนหน้าที่เขียนยันต์ ข้าแทบจะหมดตัว ถึงได้เขียนขึ้นมาได้ ผลคือทำให้พลังปราณในร่างไม่พอ จึงควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเอายันต์นี้ให้พี่หานใช้ พวกเราคงไม่อาจช่วยแม่หนูผู้นี้ได้” ชี่หลิงจื่อมีสีหน้ากล้ำกลืน จนต้องร้องครวญจนเกือบจะเต้นเร่าๆ ออกมา

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ไห่ต้าเซ่ารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย

ทั้งสองคนคนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบไม่ได้สนใจคำถามของสือหลุนเลยสักนิด จึงทำให้สีหน้าของเขาเขียวคล้ำขึ้นมา

ผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดดำที่เหลืออีกสองคนเองก็ฉายแววตาโหดเหี้ยมออกมา

ส่วนหานลี่กลับแค่ขยับแขน วางเด็กหญิงผู้นั้นลงบนพื้นด้านข้าง ใบหน้าเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา

ส่วนไป๋กั่วเอ๋อร์เป็นเพราะเพิ่งรอดพ้นจากความตาย จึงยังตกตะลึงไม่ได้สติ แค่มองหานลี่และพวกอย่างอึ้งๆ ท่าทางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

“ลงมือ สังหารเจ้าโจรสามคนนั้น!” สือหลุนมีสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดก็พ่นคำพูดอาฆาตแค้นออกมาจากปาก

จากประสบการณ์ของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสามคน แต่ผู้ที่เขาสนใจที่สุดก็คือชายหนุ่มระดับสร้างปราณขั้นปลายที่ไม่พูดอันใดเลยผู้นั้น

อีกสองคนคนหนึ่งระดับสร้างปราณขั้นต้น คนหนึ่งเป็นคนธรรมดา ประกอบกับบุรุษวัยกลางคนก่อนหน้าก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณขั้นกลางอีกคนหนึ่ง

พวกเขาสามคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณขั้นปลาย อาศัยแค่ระดับพลังยุทธ์ ล้วนกดอีกฝ่ายได้

และยิ่งไปกว่านั้นจากพลังของเขาทำให้สหายร่วมวิถีทั้งสองหวาดกลัวเช่นนี้ ย่อมมีวิธีสังหารที่ร้ายกาจ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมก็ใช้อำนาจคุกคามได้

เช่นนั้นเขาย่อมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเอาชนะสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าได้

สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือหากอยากสังหารทั้งหมด เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้

ถึงอย่างไรเสียหากอีกฝ่ายคิดหนี ก็ไม่อาจสังหารทั้งหมดได้

นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้ลงมือตั้งแต่แรก แต่อยากใช้คำพูดให้หานลี่และพวกทั้งสามสงบก่อน

แต่สือหลุุนไม่ได้ทำการปล้นชิงสังหารคนเช่นนี้เป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าไม่อาจพูดชักจูงทั้งสามคนได้ ชั่วพริบตานั้นก็ไม่คิดจินตนาการอันใดอีก ทันใดนั้นก็เกิดความคิดอยากลงมือสังหาร

จากความคิดของเขา แม้ว่าจะหนีไปได้คนสองคน พวกเขาก็คงออกจากภูเขาเก้าเซียนทันที ก็พอจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้แล้ว

จะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอันใด มาจัดการเรื่องนี้อย่างการไล่สังหารพวกเขาโดยเฉพาะ

ดังนั้นหาก ‘ลงมือ’ อย่างที่พูดเมื่อครู่ ธงอารามสีดำเป็นตั้งๆ ในมือกลายเป็นลำแสงสีดำสิบกว่าสายพุ่งออกไป ทว่าเป้าหมายกับไม่ใช่หานลี่และพวกทั้งสามคนกลับเป็นบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆ ผู้นั้น

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอีกสองคน สองมือถือขวานสีเงิน มือหนึ่งถือโล่หนามสีดำกลายเป็นลำแสงสีเงินสองสายและหมอกสีดำพุ่งเข้าไปหาบุรุษวัยกลางคน

ทั้งสามคนมักจะร่วมมือกันต่อกรกับศัตรูอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรึกษาอันใด ก็ลงมือพร้อมกันได้อย่างพอดิบพอดี

แรงจูงใจของพวกเขาเห็นได้ชัดมาก คือจัดการบุรุษวัยกลางคนก่อน แล้วค่อยๆ จัดการหานลี่และพวกทั้งสามคน

ส่วนบุรุษวัยกลางคนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็หน้าซีดขาว สะบัดข้อมืออย่างไม่ต้องขบคิด ปล่อยกระบี่เล่มเล็กสีเหลืองออกมา และบินวนล้อมรอบไปมาจนกลายเป็นม่านกระบี่

จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง ทรายสีเหลืองบินออกมา กลายเป็นลำแสงดวงดาราปกคลุมเรือนร่างของเขาเอาไว้

เสียงระเบิด “ตูมๆ” ดังขึ้น!

ม่านกระบี่ผืนนั้นทลายอานุภาพทั้งสามชนิดไปอย่างง่ายดาย แต่เมื่อตกอยู่บนทรายสีเหลืองกลับถูกสั่นเทาแล้วต้านทานเอาไว้

ครานี้ทำให้สือหลุนและพวกทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจ

ทว่าพวกเขาก็กระตุ้นอาวุธในทันที แล้วหมายจะโจมตีลำแสงดวงดาราที่อ่อนแสงลงเล็กน้อย

แต่ยามนั้นไห่ต้าเซ่ากลับร้องตะโกนออกมา เท้าข้างหนึ่งย่ำไปบนพื้น

เสียง “ปัง” พื้นดินสั่นสะเทือนดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าร่างกายของเขาจะพุ่งออกไปราวกับลูกธนู หลังจากกะพริบวาบก็มีผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำควบคุมขวานสีเงินปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ไห่ต้าเซ่าโบกมือทั้งสองข้าง ในมือมีถุงมือสีทองเรืองรองปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ สองมือโบกสะบัด เงากำปั้นสีทองพุ่งลงมาโจมตีด้านล่างราวกับห่าฝน

เงากำปั้นยังไม่ทันลดระดับลงมา พลังที่น่าตกตะลึงก็ห่อหุ้มเงากำปั้นเอาไว้

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่อยู่ด้านล่างพลันตกตะลึง ไหนเลยจะสนใจทำการโจมตีบุรุษวัยกลางคน รีบเปลี่ยนอาคมในมือ

สายรุ้งสีเงินสองสายที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งกลับมา กลายเป็นลำแสงสีเงินปกป้องร่างของเขาเอาไว้

ครู่ต่อมาระหว่างทั้งสองก็เกิดเสียงอึกทึกดังขึ้นไม่ขาดสาย ลำแสงสีทองลำแสงสีเงินตัดสลับกันไปมา ห่อหุ้มร่างของทั้งสองเอาไว้

แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะร่าของไห่ต้าเซ่า เงากำปั้นสีทองพลันเปล่งแสงสีทองออกมาในพริบตา ราวกับดวงอาทิตย์สีทองบีบให้ลำแสงสีเงินล่าถอยไปทีละก้าวๆ

“ร่างวิญญาณ ผู้ฝึกตน!”

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่อยู่ด้านข้างอีกคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ชี้ไปที่โล่หนามสีดำคิดจะลงมือโจมตีไห่ต้าเซ่า

แต่ในยามนั้นเองชี่หลิงจื่อที่อยู่ไกลออกไปก็สั่นศีรษะแล้วถอนหายใจออกมา และเอ่ยพึมพำอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด

“อันใด สองรุมหนึ่ง ไร้ยางอายไปหน่อยกระมัง ทำอันใดไม่ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ดูแลอาราม ลงมือกับเจ้าจะเสียฐานะ แต่เพื่อไห่ต้าเซ่าก็เป็นข้อยกเว้น”

สิ้นเสียงนักพรตน้อยก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น ตบยันต์สีฟ้าไปบนร่าง

หลังจากที่สีฟ้าครามเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างชี่หลิงจื่อก็สลายหายไปในพริบตา

แต่ทันใดนั้นลำแสงสีฟ้าก็ควบคุมโล่อยู่เหนือผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งแล้วปรากฏตัวขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำผู้นี้นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้ที่เฟื่องฟู เมื่อพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ ก็ควบคุมโล่เข้าช่วยสหายร่วมวิถีทันที และกลายเป็นหมอกสีดำพุ่งไปกดลำแสงสีฟ้าเอาไว้

เสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าถูกทุบจนปริแตกราวกับสายธาร กลายเป็นลำแสงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจายสลายไป

แต่ด้านในกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของชี่หลิงจื่อเลยสักนิด

“แย่แล้ว”

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำผู้นั้นพลันร้องอุทานในใจ แต่กลับสายไปเสียแล้ว ด้านหลังของเขามีหมอกสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้น

จากนั้นเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น กรวยน้ำแข็งสีฟ้าความยาวสองสามฉื่อยี่สิบสามสิบแท่งพุ่งออกมา

ยามนี้แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะมีพลังยุทธ์เหนือกว่าชี่หลิงจื่อ แต่ก็ป้องกันไม่ได้ กรวยน้ำแข็งสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาถึงแผ่นหลังของผู้บำเพ็ญเพียร

แต่เห็นเพียงลำแสงสีดำสว่างวาบ เงาลวงตาราวกับพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งปรากฏขึ้น

กรวยน้ำแข็งโจมตีไปด้านบน คาดไม่ถึงว่าจะถูกต้านทานเอาไว้แปดเก้าส่วน มีเพียงสองสามแท่งที่โจมตีโดนแผ่นหลังของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ

ทำให้เขาโซซัดโซเซ โลหิตสดๆ สองสามกลุ่มทะลักออกมาจากร่าง

“เจ้าบ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำผู้นั้นถูกชี่หลิงจื่อลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก ชั่วขณะนั้นพลันระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา สองมือพลันร่ายอาคม แขนเสื้อโป่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีหัวผีดิบสีดำสองสามหัวลอยออกมา แล้วพ่นพิษสีเหลืองออกมากระโจนไปหานักพรตน้อยอย่างดุดัน

ชี่หลิงจื่อเห็นเช่นนั้นพลันกระโดดโหยง รีบร้อนขยับมือข้างหนึ่ง กุมกระบี่ไม้สีดำที่แผ่นหลังเอาไว้ จากนั้นก็ร่ายอาคม มือหนึ่งที่ถือกระบี่ไม้ชี้ไปตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าก็พ่นออกมาจากปลายกระบี่เป็นสายๆ โจมตีไปที่หัวกะโหลกสีดำเหล่านั้นอย่างแม่นยำ แต่ก็ทำได้เพียงทำให้พวกมันหยุดชะงัก แต่กลับไม่อาจทำอันตรายใดได้จริงๆ

แต่ชี่หลิงจื่อก็ไม่รู้ว่าฝึกฝนเคล็ดวิชาหลีกหนีอันใด ผิวเปล่งแสงสีฟ้าออกมา คาดไม่ถึงว่าร่างกายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับมัจฉาแหวกว่ายกลางสายธาร ทำให้แม้คู่ต่อสู้จะใช้อาวุธหรือพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าเขา ก็ยังทำอันใดเขาไม่ได้

สีหน้าของสือหลุนในยามนี้ย่ำแย่กว่าเมื่อครู่หลายส่วน

แม้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือแค่สองคน แต่ระดับก็รุนแรง แต่กลับดูเหมือนว่าจะอยู่เหนือความคาดหมาย

แม้ว่าจะมั่นใจว่าสหายร่วมวิถีทั้งสองจัดการคู่ต่อสู้ได้ แต่เขากลับไม่รออีกต่อไป

เขาตัดสินใจไม่สนลำแสงสีดำที่บินวนล้อมรอบบุรุษวัยกลางคนสิบกว่าสายนั้น มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่าจะมีถุงหนังสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น ด้านในมีเสียงอึกทึกดังแว่วมา

แต่ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นแผ่นหลังของเขาก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น

“อ๋อ คือแมลงวิญญาณหรือ ดูเหมือนว่าระดับจะไม่ต่ำด้วย? ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณคนหนึ่งมีแมลงวิญญาณ นับว่ามีฝีมือนี่”