การควบคุมมานาขั้นพื้นฐาน

“เขาถอดรหัสมันได้จริงๆงั้นหรอ ?”

“มันสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรอ ?”

เมื่อหมอกสีดำหายไป ความเงียบก็เข้าปกคลุมกลุ่มผู้เล่นทั้งหมดในขณะที่พวกเขามองไปยังซือเฟิงด้วยความตกตะลึง พวกเขานั้นตกใจมากกว่าเดิมนับร้อยเท่า หากเทียบกับตอนที่ซือเฟิงมีความหนาแน่นของมานารอบตัวเพิ่มขึ้น

การล่อลวงของเทพปีศาจในวิหารแบบนี้นั้นอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ และระบบหลักของ God domain ก็ได้กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้เล่นไม่ควรจะมีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฎิบัติตามกฎเหล่านี้ หากต้องการจะพิชิตการล่อลวงของเทพปีศาจให้สำเร็จ และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆนั้นก็ยังไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎเหล่านี้ได้

มันไม่มีผู้เล่นคนใดใน God domain ที่กล้าจะฝันถึงการฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาได้ยอมรับว่ากฎจากระบบหลักของ God domain นั้นเป็นส่วนสำคัญของชีวิตพวกเขาที่นี่

อย่างไรก็ตาม ซือเฟิงไม่เพียงแต่จะปฎิเสธที่จะทำตามกฎเหล่านี้ แต่เขายังสามารถทำลายมันได้ด้วย เขาทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับ God domain ของพวกเขาสั่นคลอนเลยทีเดียว

“เขาทำสำเร็จงั้นหรอ ?! เป็นไปได้ยังไงกัน ?!” ธันเดอร์บีสต์จ้องมองไปที่ซือเฟิงด้วยความตกตะลึง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของความพยายามของซือเฟิงมันก็อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาจึงไม่อาจจะปฎิเสได้เลย “นี่เขาเป็นผู้เล่นจริงๆงั้นหรอ ?”

ธันเดอร์บีสต์นั้นเริ่มสงสัยแล้วว่าซือเฟิงไม่ใช่ผู้เล่น แต่เป็น NPC ปลอมตัวมา ….

ตอนแรกซือเฟิงก็ได้แสดงการควบคุมมานาที่เทียบได้กับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่ จากนั้นเขาก็สามารถจะถอดรหัสวงเวทย์ที่ปิดผนึกวิหารไว้ได้สำเร็จ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสำหรับผู้เล่นปัจจุบันที่จะทำได้

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเผ่าศักสิทธิ์ถึงเต็มใจจะทำงานร่วมกับเขา แม้ว่าจะไม่ได้รับหุ้นของป้อมปราการแสงดาวเลยก็ตาม แถมเผ่าศักสิทธิ์ยังไปไกลถึงขั้นส่งสมาชิกจำนวนมากเข้ามาประจำการที่ป้อมปราการด้วย นี่คือไพ่ลับที่แท้จริงของเขา ? เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นในขณะที่เขาเฝ้าดูวงเวทย์ของวิหารค่อยๆหมดพลังไป

เฮลรัชนั้นคิดว่าสภาสิบแปดปีกโชคดีมากที่ได้รับทั้งมีงกรและคุกป้อมปราการมา หลังจากเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้สำเร็จ เพราะปัจจัยเหล่านี้นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้กองกำลังนรกไม่สามารถจะสร้างปัญหาในป้อมปราการได้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกคุกคามโดยทีมเล็กๆของสภาสิบแปดปีก

รากฐานทางทวีปด้านตะวันตกของกิลนั้นยังจัดว่าอ่อนแอจนน่าสังเวช แม้ว่ากิลจะมีผู้เชี่ยวชาญห้าคนที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วก็ตาม

ผู้เล่นแค่เพียงไม่กี่คนนั้นไม่เพียงพอที่จะส่งพลต่ออิทธิพล และสถานะของกิลในการแข่งขันใน God domain ตอนนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจต่างๆ

มหาอำนาจต่างๆนั้นอาจไม่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็สามารถจะพึ่งพาวิธีอื่นได้นั่นก็คือการขโมยโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการ แม้ว่าโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการจะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา แต่มันก็ไม่สามารถจะถูกนำออกจากป้อมปราการได้ และโดยปกติแล้วผู้ปกครองจะเก็บโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการไว้ในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองซึ่งเป็นที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นที่สุด

สิ่งที่บรรดามหาอำนาจต่างๆต้องทำนั้นก็คือส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้ามาล้อมป้อมปราการแสงดาว และคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองไว้ ซึ่งแม้แต่มังกรที่แข็งแกร่งนั้นก็จะไม่สามารถหยุดกองทัพผู้เล่นนับแสนหรือนับล้านคนได้ นอกจากนี้มหาอำนาจต่างๆก็ยังจะสามารถใช้เครื่องมือบางอย่างช่วยตรึงมังกรไว้เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นการขโมยป้อมปราการจากสภาสิบแปดปีกจึงไม่ใช่ว่าจะเป็นไปปไม่ได้เลย เพียงแต่ว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากก็เท่านั้น แต่ตราบใดที่มหาอำนาจต่างๆเต็มใจจะร่วมมือกันทำแบบนี้ พวกเขาก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นนักดาบตรงหน้าของเขาตอนนี้ เฮลรัชก็เริ่มจะสงสัยแล้วว่าแม้แต่กองกำลังของมหาอำนาจต่างๆรวมกันก็ไม่น่าจะสามารถขโมยป้อมปราการแสงดาวไปจากชายคนนี้ได้

ด้วยการควบคุมมานาของซือเฟิง และความรู้เกี่ยวกับวงเวทย์ที่ไม่มีผู้เล่นคนใดสามารถเทียบได้นั้น การจะคุกคามหรือขโมยป้อมปราการของเขาในระยะนี้ของเกมมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

วงเวทย์อัตโมัติของ God domain และวงเวทย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เล่นนั้นมีเอฟเฟคที่แตกต่างกัน มหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนทำการทดลองลับของตัวเองเพื่อทดสอบแนวคิดนี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่การควบคุมวงเวทย์ป้องกันของเมืองนั้นมันทำได้ยากมากๆ ผู้เล่นนั้นไม่เพียงแต่จะต้องมีความเข้าใจที่มากเพียงพอเกี่ยวกับวงเวทย์ แต่พวกเขายังต้องควบคุมมานาให้ดีได้ในระดับหนึ่งด้วย นี่คือสาเหตุที่เมือง NPC ต่างๆนั้นถูกยึดได้ยากมาก

ผู้เล่นทั่วไปนั้นส่วนใหญ่จะคิดว่าวงเวทย์ป้องกันในเมืองของ NPC นั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองกิลมาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย

วงเวทย์ป้องกันในเมือง NPC นั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองกิลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เนื่องจากเมือง NPC ส่วนใหญ่นั้นมักจะได้รับการปกป้องโดย NPC ขั้นสี่ ซึ่ง NPC ขั้นสี่เหล่านี้ก็มักจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับวงเวทย์ป้องกันของเมืองจนสามารถจะต้านทานการโจมตีของ NPC ขั้นห้าได้เป็นเวลานาน ซึ่งหากป้อมปราการแสงดาวมีผู้คอยควบคุมวงเวทย์แบบนี้ แล้วมหาอำนาจใดกันที่จะไปมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายวงเวทย์ป้องกันได้ ?

ในขณะที่สมาชิกของกองกำลังนรกกำลังเต็มไปด้วยความสับสนและตกตะลึง ซือเฟิงนั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก

ขอบคุณพระเจ้า ฉันทำมันได้สำเร็จ !!!

หลังจากเวลาแห่งการเรียนรู้สามชั่วโมงจบลง ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ด แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถใช้การเคลื่อนไหวที่สามอย่างดาบที่สาม การทำลายล้างศักสิทธิ์ได้ แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มควบคุมมานาได้ที่ขั้นพื้นฐานแล้ว และตอนนี้เขาก็สามารถจะวาดวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวของธาตุหลักทั้งสี่ได้แล้ว ซึ่งโดยปกตินั้นมันจะมีเพียงแค่ NPC นักเวทย์ขั้นสามเท่านั้นที่จะสามารถทำได้

เขานั้นยังคงอยู่ห่างไกลที่จะควบคุมมานาให้ได้เท่ากับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่จริงๆ และเพื่อจะให้บรรลุมาตราฐานนั้น เขาจะต้องวาดวงเวทย์อย่างง่ายที่ประกอบไปด้วยธาตุชั้นยอดอีกสามธาตุให้ได้ด้วย และเมื่อทำได้แล้วเขาจะสามารถสร้างโดเมนมานาเป็นของตัวเองได้ ซึ่งมันก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างโดเมนขึ้นด้วยสกิลหรือเวทย์มนต์

ถึงกระนั้นตอนนี้ซือเฟิงก็พอใจกับความก้าวหน้าของเขา

มันมีจอมเวทย์ขอบเขตพระเจ้า ขั้นหกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นในชีวิตที่ผ่านมาของเขาที่สามารถจะมาถึงมาตราฐานการควบคุมมานาที่ขั้นสามได้ และส่วนใหญ่จะมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากมาถึงขั้นสี่

โชคดีที่เขาจำเป็นต้องควบคุมมานาให้ได้ที่ขั้นพื้นฐาน เขาจึงจะสามารถถอดรหัสวงเวทย์ที่ปกป้องวิหารอยู่ได้ เขาจึงต้องผลักดันขีดจำกัดของตัวเองจนสามารถมาถึงตรงนี้ได้อย่างรวดเร็ว แถมโบนัสจากการได้เรียนรู้เทคนิคมานานี้ มันยังทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลางแล้วด้วย ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าเขาต้องเจอกับอะไรแบบนี้อีกครั้ง เขาจะสามารถจัดการมันได้ง่ายมากๆเลยทีเดียว

อีกทั้งความสำเร็จของซือเฟิงก็ยังสร้างความตื่นเต้นให้กับอควาโรส และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกอย่างมาก

ตอนนี้วงเวทย์ได้ถูกถอดรหัสแล้ว นั่นมันก็แปลว่าพวกเขามีสิทจะได้รีบหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอของวิหารแล้ว

ซึ่งหากพวกเขาได้รีบหีบสมบัติระดับนี้มา มันอาจจะทำให้สภาสิบแปดปีกได้รับเศษชิ้ส่วนไอเทมระดับตำนานมาอีกหนึ่งชิ้น และพวกเขาก็จะสามารถสร้างผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือระดับสัตว์ประหลาดขึ้นมาได้อีกหนึ่งคน

อย่างไรก็ตามก่อนที่อควาโรส และสมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆจะทันได้เฉลิมฉลอง ร่างที่สูงเจ็ดเมตรในชุดเกราะสีดำสนิท และสวมหมวกที่มีเขาก็ปรากฎขึ้นในวิหาร โดยร่างนี้นั้นถือขวานสีดำสนิท และพร้อมสำหรับการต่อสู้อย่างมาก

ในขณะที่ร่างนี้ปรากฎขึ้น วิหารนี้ก็เริ่มแผ่ออร่า Divine Might ออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งมันทำให้แม้แต่เฮลรัช กับกองกำลังของเขาที่ยืนอยู่ห่างออกไปสามร้อยหลาจากวิหารก็ยังรู้สึกหวาดกลัว

[เทพปีศาจ, แอทล๊อค] (เงาเทพ ระดับเทพนิยาย)
เลเวล 120
HP??????/??????

ทุกคนนั้นอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นข้อมูลของแอทล๊อค

เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ ? แม้แต่ซือเฟิงเองก็ยังจ้องมองไปยังแอทล๊อคด้วยความหวาดกลัว

NPC นั้นไม่เหมือนกับผู้เล่น ทุกๆห้าเลเวล พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพลังการต่อสู้ของ NPC เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบนั้น มันก็อยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจาก NPC เลเวลหนึ่งร้อยสิบ

หากให้พูดกันว่ายๆก็คือ แอทล๊อคนั้นแข็งแกร่งกว่ามังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค ซะอีก

“หัวหน้ากิลจะเข้าไปในนั้นจริงๆงั้นหรอ ?” อควาโรสถามอย่างเป็นห่วง

เธอนั้นมั่นใจในโอกาสที่พวกเขาจะได้รับหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอมากๆ ก่อนที่จะทันได้เห็นแอทล๊อค แต่หลังจากได้เห็นเงาของเทพปีศาจด้วยตัวเธอเองแล้ว เธอก็ได้รู้เลยว่าเธอคิดผิดมากแค่ไหน

เธอนั้นจะยืนหยัดต่อต้านเงาของเทพปีศาจได้ไม่เกินห้าวินาทีแน่นอน และแม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่ออร่า Divine Might ของมันก็ลดพลังการต่อสู้ของเธอลงไปอย่างน้อยสามสิบเปอเซ็นต์แล้ว และเธอน่าจะสูญเสียพลังในการต่อสู้มากไปกว่าเดิม เมื่อเธอเข้าไปอยู่ในระยะโจมตี

“ฉันมาไกลขนาดนี้แล้ว ฉันจำเป็นต้องลอง …” ซือเฟิงกล่างพลางกัดฟัน

การล่อลวงของเทพปีศาจนั้นปรากฎขึ้นแบบสุ่ม และคนๆหนึ่งจะต้องจัดว่าโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อจึงจะมีสิทได้พบกับมัน

หากการล่อลวงของเทพปีศาจครั้งนี้ มีรางวัลเป็นแค่หีบสมบัติระดับอีปิค เขาก็จะเลือกที่จะยอมแพ้โดยไม่คิดเลย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอนั้น เขาไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้โดยไม่ลองพยายาม

แม้จะผ่านไปกว่าหนึ่งทศวรรษใน God domain แต่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานก็ยังคงจัดว่าหายากมากๆ และทุกชิ้นก็ล้วนจัดเป็นสมบัติล้ำค่า และแม้ว่าซือเฟิงจะมีเบาะแสอีกจำนวนหนึ่งที่จะนำไปสู่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานได้ แต่เขาจะได้รับมันมาไหม มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตามตอนนี้เนื่องจากเขามีโอกาสสูงจะได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานแล้ว แล้วจะให้เขาจากไปโดยไม่ต่อสู้ได้อย่างไร ?

คู่ต่อสู้ของเขาอาจจะเป็นเงาของเทพปีศาจ ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ แต่เขาก็ยังมีโอกาสจะได้รับชัยชนะ เพราะเขาไม่จำเป็นจะต่อสู้กับมันจนตายกันไปข้างหนึ่ง สิ่งที่เขาต้องทำนั้นมีเพียงแค่ซื้อเวลาให้ได้มากพอที่จะขโมยหีบสมบัติออกไปให้ได้เท่านั้น

หลังจากให้คำตอบแล้ว ซือเฟิงก็เดินเข้าไปในวิหาร

“อะไรกัน ? นี่เขาจะเข้าไปปจริงๆงั้นหรอ ?” ธันเดอร์บีสต์อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

คำพูดนั้นมันไม่เพียงพอที่จะอธิบายความแข็งแกร่งเงาของเทพปีศาจได่เลย เพียงแค่มีความกล้าหาญมากพอจะเข้าไปในวิหารมันก็จัดว่าน่าประทับใจมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับแอทล๊อคเลย เพราะท้ายที่สุดมันน่าจะฆา NPC ขั้นสี่ ได้ในทันที ไม่ต้องพูดถึงอะไรกับผู้เล่นขั้นสามในปัจจุบันเลย ผู้เล่นในปัจจุบันไม่มีทางจะซื้อเวลาให้มากพอสำหรับคู่ต่อสู้ตนนี้ได้เลย

ซือเฟิงนั้นได้ถอดรหัสวงเวทย์ของวิหารทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าและออกวิหารได้อย่างอิสระ และสามารถใช้เครื่องมือเวทย์มนต์ได้ทั้งหมด แต่วงเวทย์ภายในวิหารนั้นยังคงอยู่ครบถ้วน วงเวทย์ด้านในนั้นช่วยให้มั่นใจว่าผู้เล่นจะสามารถเข้าไปด้านในได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือซือเฟิงจะเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจขั้นสี่ด้วยตัวเองเท่านั้น แล้วเขาจะไปซื้อเวลาให้กับตัวเองได้มากแค่ไหนกัน ?

“นักผจญภัยตัวน้อย คุณนั้นค่อนข้างจะมีความสามารถและความกล้าหาญทีเดียว คุณสามารถที่จะถอดรหัสวงเวทย์ที่ฉันตั้งเอาไว้ด้านนอกได้ แถมยังกล้าเข้ามาใวิหารด้วย หลังจากได้เห็นเงาของฉัน” แอทล๊อคกล่าวกับซือเฟิงด้วนน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม และความโกรธ “อย่างไรก็ตามตอนนี้มันจบลงแล้ว !!! เนื่องจากคุณกล้าจะทำลายการทดสอบของฉัน ฉันก็จะกำจัดคุณออกไปจากโลกใบนี้ !!!”

หลังจากพูดจบนั้น ออร่า Divine Might ของแอทล๊อคนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก และซือเฟิงก็รู้สึกราวกับว่ามีน้ำหนักราวหนึ่งตันกดทับลงมาบนไหล่ของเขา และแม้แต่การเดินเคลื่อนไหวธรรมดา มันก็กลายเป็นความท้าทายมากๆแล้ว

แน่นอนเลยว่าการเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจขั้นสี่นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ซือเฟิงมองไปยังแอทล๊อคด้วยรอยยิ้มขมขื่น ขณะที่สัมผัสได้ถึงออร่า Divine Might ของมัน อย่างไรก็ตามฉันก็จำเป็นจะต้องเสี่ยง !!!

หลังจากนั้นซือเฟิงก็ดึงม้วนคัมภีร์อัญเชิญองครักษ์ส่วนตัวออกมาจากกระเป๋า และทำการเรียกแอนนาออกมายืนข้างๆเขา