เงาดำขดม้วนรวมกันดูคล้ายกับคนผู้หนึ่งกระตุกไม่หยุดราวกับกำลังอดทนรับความเจ็บปวดบางอย่าง
เยี่ยเม่ยเดินดุ่มๆ ไปด้านข้างเงาดำนั้น
ทำคล้ายกับว่ามองไม่เห็น
นี่กลับทำให้คนที่ขดเป็นก้อนอยู่นั้นเงยหน้ามองไปทางเยี่ยเม่ย นางประสานสายตากับเขา ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อน ดูสารรูปไม่ออก ทว่าดวงตาสวยมาก ภายใต้ความมืดมิดเปล่งประกายเหมือนดวงดาว
จากนั้นเขามองเยี่ยเม่ย รีบก้มหน้าลง ไม่ส่งเสียงดัง ชักกระตุกต่อไป
เยี่ยเม่ยเห็นเช่นนี้รั้งสายตากลับอย่างไม่พอใจ ไม่เป็นฝ่ายเริ่มเข้าไปหา เดินจากไป นางคิดว่าหน้าตาตนไม่เพียงแต่สวยงาม อีกทั้งมีคุณธรรม ในโลกก่อนยามฆ่าคน อีกฝ่ายยังต้องเป็นผู้ร้ายโฉดชั่วตัวฉกาจ นางถึงยอมรับงาน
แต่ว่าก่อนที่ผู้อื่นออกตัวขอความช่วยเหลือ นางไม่เคยเสนอตัวช่วยก่อน
ท้องฟ้ามืดสนิท
เดินไปได้สิบกว่าเมตรก็ออกจากเส้นทางมืดมิดนี้
ถนนเบื้องหน้าเริ่มดูคึกคัก ทั้งสี่ทิศเต็มไปด้วยรถม้า ผู้คนสัญจรจำนวนไม่น้อยที่หันมามองนางโดยไม่รู้ตัว
แม่นางงดงามเช่นนี้ เรียกได้ว่าโฉมสะคราญ แต่สีหน้าเย็นชา ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้ คล้ายกับดอกไม้บนยอดผาไม่อาจหมายปอง ทุกคนได้แต่แอบมอง ทว่าไม่กล้าขึ้นไปเด็ด
นางกลับไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องพวกนี้ หนีออกจากสถานที่วุ่นวายนั้นแล้วสมควรไปตามหาลูกพี่หรือไม่ ลูกพี่ตกทะเลลงมาพร้อมนาง จะตกมาอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันหรือเปล่านะ หากเป็นช่วงเวลาเดียวกันสมควรไปตามหาอีกฝ่ายที่ไหนดี
ในขณะที่คิดนั้น ท้องก็ส่งเสียงโครกคราก
นางกินข้าวเย็นไปได้ไม่นาน ตอนแรกไปตักเตือนท่านหญิงผู้นั้น ต่อมาก็หนีฝ่าวงล้อม ใช้แรงกายไปไม่น้อย นางเริ่มรู้สึกหิวแล้ว
บรรดาแจกันโบราณก็ไม่ได้เอาออกมาด้วย ไม่อาจแลกเป็นเงินกินข้าว
ส่วนเวลานี้บนถนนใหญ่ มีเด็กตัวน้อยยืนอยู่ข้างกายนาง แม่นางน้อยสูงเท่าเอวนางเท่านั้น เจ้าเด็กน้อยดึงชายชุดนาง เสียงอ่อน “พี่สาว ท่านหิวแล้วใช่หรือเปล่า”
เยี่ยเม่ยก้มหัวมองอย่างแปลกใจ
เห็นแม่นางน้อยมีประกายน้ำวับแววในดวงตา ซ้ำยังบวมแดง คล้ายเพิ่งร้องไห้
ยังไม่ทันตอบกลับ แม่นางน้อยก็ยื่นขนมเซาปิ่ง[1]ในมือให้เยี่ยเม่ย “พี่สาว ให้ท่าน!”
เยี่ยเม่ยมองขนมเซาปิ่ง ไม่ได้ยื่นมือรับ นางเย็นชามาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรมาคนรู้จักนางต่างหวาดกลัว คนไม่รู้จักนางก็ไม่กล้าเข้าหาง่ายๆ คนที่ได้พบครั้งแรกนี้กลับยินยอมมอบความหวังดีให้ นางไม่รู้ว่าควรรับไว้หรือเปล่าและไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี
สำหรับคนที่เย็นชาจนเคยชิน พลันได้รับความอบอุ่น เหมือนในฤดูหนาวเหน็บกลับอบอุ่นประดุจแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม
“พี่สาว ท่านไม่ชอบกินเซาปิ่งเหรอ” แม่นางน้อยมองนาง
เยี่ยเม่ยได้สติ พลันรู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว เวลานี้หิวอยู่พอดี เห็นแม่นางน้อยมีน้ำใจเช่นนี้ รับมาดมดูรู้ว่าขนมเซาปิ่งไม่มีปัญหา จึงกัดอย่างรวดเร็ว ขนมไม่อร่อยแต่ก็ไม่ได้รสชาติแย่
นางมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใคร
ถามเด็กหญิงคำหนึ่ง “แม่นางน้อย พ่อแม่ของเจ้าล่ะ”
“ฮือๆ…” แม่นางน้อยผู้นั้นพุ่งเข้ามากอดนางร้องไห้ดังออกมาทันที “ท่านพ่อท่านแม่พาข้าออกมาชมโคมไฟ ข้าหลงกับพวกเขาแล้ว!”
เยี่ยเม่ยนิ่งไป นางคือคนโรคจิตจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่คนหวาดกลัว ได้พบเห็นสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก นางก็ตะลึงไป “อย่าร้อง ข้าช่วยเจ้าหาดีไหม”
ถึงจะพบกันเป็นครั้งแรก แต่นางรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนจิตใจดีงามอย่างแท้จริง หลงทางกับพ่อแม่ ไม่สนใจสถานการณ์ตัวเอง เห็นนางหิวข้าว ถึงกับยกขนมเซาปิ่งมอบให้นาง ช่วยนางตามหาพ่อแม่ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเอ่ยประโยคนี้จบ
มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หญิงผู้นั้นนำหน้าอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา “เจ้าเด็กคนนี้ ใครให้เจ้าเที่ยววิ่งไปทั่วกัน แม่ตกใจแทบแย่!”
“ท่านแม่!” สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้
เยี่ยเม่ยกัดขนมเซาปิ่งในมือคำหนึ่ง มองพวกนางสองแม่ลูก อึ้งไปเล็กน้อย ทว่าก็เบาใจลง
สตรีนางนั้นหันหน้ากลับมองเยี่ยเม่ย เอ่ยขอบคุณ “แม่นาง ขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลนางให้ ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ!”
เยี่ยเม่ยกระอักกระอ่วนไปชั่วครู่ นางพูดไม่ออกว่า ความจริงแล้วผู้ใหญ่อย่างตนยังไม่ทันไม่ช่วยเหลือดูแลเด็กน้อย กลับเป็นแม่นางน้อยดูแลมอบเซาปิ่งให้ตน?
แต่ตอบด้วยเสียงเย็นชาอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่…ข้ายังไม่ได้ช่วยอะไรเลย!”
บิดาของเด็กหญิงเองก็ขอบคุณนางเช่นกัน มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ขอบคุณแม่นางมาก ครอบครัวของเราซาบซึ้งในบุญคุณของแม่นาง!”
พูดจบเขาคุกเข่าลง
เยี่ยเม่ยรีบรั้งตัวเขาไว้ “ข้าไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ กลับเป็นนางที่เอาขนมเซาปิ่งให้ข้าชิ้นนึง…”
หลังจากคนทั้งครอบครัวได้ยินเรื่องทั้งหมดจากเยี่ยเม่ยกลับยังขอบคุณนาง เอ่ยวาจาขอบคุณแล้วขอบคุณอีก แล้วค่อยพาแม่นางน้อยนั้นจากไป
เยี่ยเม่ยพบเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก มองพวกเขาจากไป ค่อยระบายลมหายใจออกมา จากนั้นค่อยรู้สึกน่าขัน ครอบครัวนี้ดูไปแล้วเป็นเพียงคนธรรมดา ทว่ามีความเมตตา ทั้งยังมีเด็กน้อยคนนั้น บุญคุณของขนมเซาปิ่ง ไม่รู้ว่าจะได้ตอบแทนเมื่อไหร่
คิดแล้วนางก็กัดขนมเซาปิ่งอีกคำหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ทางทิศตะวันตกเกิดเสียงดัง นางหันหน้ากลับไปดู เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมา ด้านหน้ามีคนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด คนผู้นั้นมองเยี่ยเม่ย สายตาคุ้นตามาก นั่นคือเงาดำที่นางเห็นในระหว่างเดินทาง
ระหว่างที่เขาวิ่งโซซัดโซเซ สุดท้ายก็ล้มลงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย
เขายื่นมือออกมาคิดจับเท้านางไว้ ทว่ายังห่างอยู่เล็กน้อย จับไม่ถึง
ลมหายใจขาดห้วง พ่นคำพูดออกมาไม่กี่คำ “ช่วย…ช่วยข้า”
เขามองนาง
ในสายตากลับไม่มีแววขอร้องเลย มีแต่ความหมดหวัง คล้ายเขาเอ่ยปากขอร้อง ทว่าไม่คาดหวังว่าตนจะได้รับผล เป็นแค่การดิ้นรนก่อนตายเท่านั้น
ดวงตางดงามคู่นี้ กลับดูเจนโลกราวกับเห็นความเย็นชาของโลกหล้าอย่างชัดเจนอยู่แต่แรก ทำให้นางใจกระตุกเล็กน้อย นางไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
วินาทีถัดมาเขาเป็นลมไปข้างเท้าเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองคนที่วิ่งไล่ตามมา คนกลุ่มนั้นท่าทางดุร้าย เห็นคนสลบอยู่บนพื้น ร้องเสียงดัง “เอาตัวมันไป!”
เยี่ยเม่ยเห็นสถานการณ์นี้ก็ถอนใจ
สถานการณ์ตอนนี้คือนางออกจากชายแดน ยังมีทหารอีกมากไล่ตามจับนาง เวลาแบบนี้นางสมควรสงบเสงี่ยมไว้ ไม่หาเรื่องดึงดูดสายตาคนถึงจะดี กันไม่ให้ปัญหามาถึงตน
แต่เมื่อเห็นเขาขอร้องอยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะแววตาสุกสกาววาววับเช่นนี้ สามารถสั่นคลอนความรู้สึกของนางได้
นางมองคนเหล่านั้น สีหน้าเย็นชา ดูไม่ออกว่ายินดียินร้าย ถามเสียงเย็นว่า “พวกเจ้าจับเขาไปทำอะไร”
หัวหน้ากลุ่มเห็นเยี่ยเม่ย สายตาเป็นประกายวาบ เวลานั้นเกิดความคิดชั่วร้าย แม่นางงดงามขนาดนี้ หากจับไปพร้อมกันได้ ต้องหาเงินได้ไม่น้อย!
คิดแล้วเขาก็โบกมือ ส่งเสียงดังขึ้นไปอีก “จับสองคนนี้กลับไป! พวกเขาสองคนถูกขายให้เม่ยเซียงเก๋อของเราแล้ว ยังกล้าหนีอีก รนหาที่ตายเสียจริง!”
“พวกเราสองคนถูกขายให้พวกเจ้าแล้วหรือ นี่รวมถึงข้าด้วยรึ เจ้ามั่นใจหรือเปล่า” เยี่ยเม่ยมองเขา นัยน์ตาปรากฎความเย็นเยือก
คนผู้นั้นเห็นสีหน้าของเยี่ยเม่ย พลันแตกตื่น แต่เมื่อคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นแม่นางอายุไม่ถึงยี่สิบปีผู้หนึ่ง มีอะไรน่ากลัวกัน
ยามนี้เขาปลุกปลอบความกล้า “ใช่ รวมเจ้าด้วย ทางที่ดีเจ้าตามพวกเรากลับไปอย่างว่าง่าย ไม่เช่นนั้น…”
[1] เซาปิ่ง คือ ขนมปังอบชนิดหนึ่งของจีน ด้านบนทาด้วยซอสแล้วโรยงา