บทที่ 10 ตั้งคดี โดย Ink Stone_Fantasy
“นี่คือเสี่ยวเฮย นี่คือเสี่ยวไป๋ นี่คืออาฮวา แล้วก็นี่คืออมยิ้ม! นี่คือน้ำผึ้ง! นี่คือนม! นี่คือ…”
เจ้าของร้านลั่วกำลังฟังผีเสื้อน้อยแนะนำชื่อของแมวจรจัดพวกนี้ราวกับนับของมีค่าในบ้าน ฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
ชื่อแรกๆ ก็ยังดูปกติดี แต่ทำไมหลังๆ ถึงได้ดูแปลกขึ้นเรื่อยๆ …บอกความคิดในใจเธอหรือเปล่า?
“พวกมันดูชอบคุณมากนะคะ!” แต่ลั่วเพียนเซียนกะพริบตา มองดูพวกแมวจรจัดที่เธอป้อนอาหารมาสักพักหนึ่งแล้ว เธอพบว่าขนาดตัวเองอยู่ที่นี่ พวกมันกลับใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าอย่างเจ้าของสมาคมมากกว่าเธอเสียอีก
“เธอมาที่ร้านซาลาเปาบ่อยๆ เพื่ออุดหนุนธุรกิจของร้านซาลาเปาเหรอ?” ลั่วชิวพูดถามหลังอุ้มแมวจรจัดตัวหนึ่งขึ้นมา
“เพราะว่ากิจการของร้านเหมือนไม่ค่อยดีเท่าไร…” ผีเสื้อน้อยตอบอย่างสลดใจ แต่ก็กลับมาร่าเริงโดยพลัน “แต่ว่ากิจการช่วงนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ!”
“ช่วงนี้ยังทำงานอยู่หรือเปล่า”
ปีศาจผีเสื้อน้อยไม่ใช้พลังหาเงินมั่วซั่ว เดิมควรต้องหิวโหยเร่ร่อนอยู่ข้างถนนไม่ใช่เหรอ แต่เธอไปเอาเงินมาจากที่ไหนกัน
“ทำค่ะๆ!” ผีเสื้อน้อยพยักหน้าพูด “ก่อนหน้านี้เจอพี่สาวแสนดีคนหนึ่ง เธอรับฉันมาเลี้ยงค่ะ แล้วยังให้ฉันทำงานอยู่ที่นั่นด้วย …แต่ถ้าเธอยังไม่อนุญาต ฉันก็บอกชื่อของเธอกับคุณไม่ได้นะ”
“ไม่เป็นไร” ลั่วชิวยิ้ม แล้วก็ได้ยินเสียงท้องร้องดังขึ้นเบาๆ
ปีศาจผีเสื้อน้อยลูบท้องตัวเอง พร้อมกับก้มหน้ายิ้มเก้อ
“ดื่มสิ”
ผีเสื้อน้อยตาค้างมองขวดน้ำผึ้งในมือเจ้าของร้านลั่วด้วยความทึ่ง
“ซื้อตอนเพิ่งออกมาน่ะ” ลั่วชิวเปิดฝาขวด “ยี่ห้อเดียวกับเมื่อครั้งที่แล้ว ฉันเห็นว่าเธอดื่มได้”
ผีเสื้อน้อยพลันนึกได้ว่าครั้งก่อนเจ้าของร้านคนนี้ก็ให้น้ำผึ้งขวดหนึ่งกับเธอเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเธอหิวมากก็เลยรีบดื่ม แถมยังกัดฝาขวดจนขาดอีก ใบหน้าจึงแดงก่ำด้วยเขินอาย
แต่เธอไม่อาจต้านทานกลิ่นหอมของน้ำผึ้งที่ลอยมาจากฝาขวดที่เปิดออกแล้ว!
ปีศาจผีเสื้อน้อยจึงหยิบมาถือในมือ แล้วยกขึ้นกระดกจนหมดขวด ก่อนเลียริมฝีปากอย่างพึงพอใจ “พี่หลงบอกว่าไม่ให้ฉันดื่มน้ำผึ้งมากเกินไป บอกว่า ‘หากทำเลยเถิดเท่ากับไปไม่ถึงไหน’ ช่วงนี้ฉันเลยดื่มแค่นมน่ะค่ะ”
“พี่หลง?” เจ้าของร้านลั่วอมยิ้มถาม
ตอนนี้ปีศาจผีเสื้อน้อยถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากพูดชื่อพี่หลงไปแล้ว จึงรีบปิดปากของตัวเองทันที แล้วพูดด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “คุณทำเป็นไม่ได้ยิน…ได้ไหมคะ?”
“ฉันพอรู้ว่าพี่หลงที่เธอพูดถึงเป็นใคร” ลั่วชิวส่ายหัวเบาๆ “ช่างเถอะ”
“คะ ค่ะ” ผีเสื้อน้อยพยักหน้าคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ
“งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” ลั่วชิวบอกลา ตอนแรกนึกได้ก็เลยว่าจะมาดูความเป็นอยู่ของปีศาจผีเสื้อน้อยสักหน่อย ตอนนี้เขาได้รู้แล้ว จึงไม่คิดจะรบกวนชีวิตของเธออีกต่อไป
“อ๊า! เดี๋ยวก่อนค่ะ เงิน!”
“ไม่ต้องหรอก”
เธอมองตามเงาหลังของลั่วชิวที่ค่อยๆ ห่างออกไปจากเขตรกร้างแห่งนี้ ฉับพลันเธอก็อ้าปากตะโกนตามหลังไป “เอ่อ…เจ้าของร้านคะ พวกเรา…จะได้พบกันอีกไหมคะ?”
เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงถามแบบนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับคำตอบแล้ว
“เธอไม่รู้หรือว่าฉันอยู่ที่ไหน?” ลั่วชิวถามเสียงเบา “ถ้าอยากมาหาฉัน ก็มาได้ทุกเมื่อ”
แล้วเขาก็หายไปในที่สุด เธอจึงก้มหน้ามองขวดเปล่าในมือคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นก็บิดฝาขวดให้แน่น แล้วเก็บใส่กระเป๋าตัวเองอย่างดี
ลั่วเพียนเซียนย่อตัวนั่งอีกครั้ง เธอลูบแมวน้อยจรจัดพวกนี้ที่เธอเลี้ยง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกเธอรู้ไหม ความจริงเจ้าของร้านคนนี้เป็นคนดีมากเลยล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของปีศาจผีเสื้อน้อยก็ดังขึ้น
“ขอโทษนะคะ คุณลั่วใช่ไหมคะ? คืออย่างนี้นะคะ พวกเราโทรจากสถาบันสอนพิเศษเฉาหยาง ตอนนี้คุณผ่านแบบทดสอบแล้วค่ะ ถ้าคุณสะดวก รบกวนมาจ่ายค่าเรียนภายในสองวันนี้ด้วยนะคะ พอรับเอกสารแล้วก็เข้าเรียนได้เลยค่ะ”
“อ้อค่ะ ได้ค่ะ!”
เหมือนว่า…ทุกครั้งที่เจอเจ้าของร้านคนนี้จะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตลอดเลยนะ
ผีเสื้อน้อยยิ้มน้อยๆ เหม่อมองไปไกล
…
…
หลังจากนั้นสองวัน
เฉินเหมยห่วนนั่งอยู่ในห้องของลูกชาย ทั้งไม่พูดไม่จาและไม่กินข้าวตลอดทั้งวัน
สามีกู้เฟิงยกโจ๊กชามหนึ่งเข้ามาด้านใน พร้อมกับพูดเสียงเบา “กินอะไรหน่อยเถอะ”
“ฉัน…ฉันกินไม่ลง” เฉินเหมยห่วนถือรูปของลูกชายตัวเองไว้ในมือ เธอดูมันมาทั้งวันแล้ว
คราบน้ำตาที่หยดลงบนกระจกของกรอบรูปเริ่มแห้งไปบ้างแล้ว บางรอยก็เป็นคราบ บางรอยก็เหมือนเพิ่งหยดลงมา
กู้เฟิงถอนหายใจ เขานั่งลงมา ยื่นมือไปโอบไหล่ของภรรยา หลับตาลงอยู่เงียบๆ แล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “จยาเจี๋ยคงไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้หรอก”
“เขาไม่อยากเห็น?” เฉินเหมยห่วนเหมือนถูกพูดแทงใจดำ จึงร้องไห้สะอื้นไม่หยุด “ไม่อยากเห็น…ไม่อยากเห็น แล้วเขาทิ้งฉันไปทำไม…คุณพูดสิ! คุณบอกฉันสิคะ …ฉันทำอะไรผิดหนักหนา?”
สามีพูดไปเยอะแล้วจึงไม่พูดอีก ได้แต่ถอนหายใจ
เฉินเหมยห่วนพูดทั้งเสียงสะอื้น “กู้เฟิง เรากดดันลูกเกินไปหรือเปล่า…พวกเราทำผิดไปจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
“ผมก็ไม่รู้…” กู้เฟิงพูดอย่างเจ็บปวด “ผมเป็นพ่อที่แย่จริงๆ ทำไมถึงไม่เคยถามความรู้สึกของลูกเลยนะ”
“ฉันกดดันจนเขาเลือกทางนี้เอง …เป็นฉัน ฉันเอง!” เฉินเหมยห่วนลุกขึ้นยืน แล้วทุบอกตัวเองอย่างแรง พูดอย่างเศร้าโศกแทบขาดใจ “ฉันฆ่าลูกเอง! ฉันไม่ควรไปบังคับเขา …ฉันไม่ควรเข้มงวดกับเขาแบบนี้…ฉันดันคิดไปเองว่าแบบนี้คือหวังดีกับเขา เป็นเพราะฉัน! เพราะฉันเอง!!”
กู้เฟิงเห็นภรรยาเริ่มบ้าคลั่งพุ่งไปกระแทกกำแพง เขาก็สะดุ้งตกใจ รีบเข้าไปกอดเธอไว้จากด้านหลัง แล้วตะโกนลั่นพร้อมเสียงสั่นเครือ “ใจเย็นก่อนคุณ! คุณทำแบบนี้ก็ไม่ได้อะไร นี่คุณคิดจะทิ้งผมไปอีกคนหรือยังไง”
เฉินเหมยห่วนนิ่งงันทันที เธอยกสองมือขึ้นกุมหน้าของตัวเองเอาไว้ ก่อนทรุดลงนั่งกับพื้น สะอึกสะอื้นพูด “กู้เฟิง พวกเรา…พวกเรา…พวกเราจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง…”
“จะใช้ต่อไปยังไง …ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” กู้เฟิงถอนหายใจยาว
บ้านหลังนี้เหลือเพียงสองคน ทั้งเงียบเหงา และวันเวลาก็ดูยาวนานกว่าแต่ก่อน พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
…
“เป็นการฆ่าตัวตาย”
เซอร์หม่าอึ้ง เขากำลังดูรายงานชันสูตรศพฉบับหนึ่งที่เหล่าฉินจากสถาบันนิติเวชวิทยาเอามาด้วย แต่ก็ต้องขมวดคิ้วแน่นทันที “เหล่าฉิน แน่ใจใช่ไหม?”
อีกฝ่ายกลับตอบอย่างเฉยเมย “คนโกหกได้ แต่ศพโกหกไม่ได้ นอกจากคุณจะคิดว่าผมทำพลาด”
“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…” หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะแห้งๆ แล้วกลับไปพูดอย่างจริงจังอีกว่า “แต่รวมศพนี้ก็ศพที่ห้าแล้ว เป็นการฆ่าตัวตายทั้งหมด คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเรื่องเหลือเชื่ออีกว่า “ผมยังต้องกลับไปทำงาน ชันสูตรศพเสร็จแล้ว งานของผมก็จบแล้ว นิติเวชทำได้แค่วินิจฉัยศพคน …แต่สภาพจิตใจของผู้ตายเป็นอย่างไร หากข้อมูลไม่เพียงพอ พวกเราก็สรุปไม่ได้”
“สภาพจิตใจ?” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้ง
แล้วอีกฝ่ายก็พูดเนิบๆ ว่า “ถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บจนถึงชีวิต แต่ผมก็พบรอยแผลต่างๆ ทั้งใหม่และเก่าบนตัวของศพ แล้วบางรอยยังเกิดจากของมีคม ถ้าเด็กคนนี้เป็นนักเรียนธรรมดา ก็ไม่น่ามีแผลเก่าเยอะขนาดนี้”
“ความหมายของคุณคือ…” หม่าโฮ่วเต๋อกลืนน้ำลาย “การใช้ความรุนแรงในครอบครัว?”
“นี่ก็เป็นงานของพวกคุณแล้ว”
หม่าโฮ่วเต๋อเห็นชายเคร่งขรึมคนนี้เดินออกจากห้องทำงานตัวเองไป ก็อดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้
ก่อนจะพึมพำอยู่คนเดียว “แปลกจริง!”
แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่แปลกกว่านี้อีก นั่นก็คือรวมกู้จยาเจี๋ยคนนี้ไว้ด้วยแล้ว ก็มีคนฆ่าตัวตายห้าคนแล้ว แถมยังเป็นนักเรียนจากสถาบันสอนพิเศษเฉาหยางทั้งหมดด้วย
หม่าโฮ่วเต๋อสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า สุดท้ายหลังจากที่เขี่ยบุหรี่อันใหม่เต็มไปด้วยขี้บุหรี่แล้ว เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้นอย่างแน่วแน่ “ฮัลโหล เหล่าหลิวใช่ไหม!”
“หม่าโฮ่วเต๋อ! มีที่ไหนพูดกับผู้บังคับบัญชาแบบนี้!”
“ช่างเรื่องไร้สาระก่อน!” หม่าโฮ่วเต๋อรีบพูด “ท่านอธิบดี ผมอยากตั้งคดีเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับคดีฆ่าตัวตายหลายครั้งในช่วงนี้!”
“คุณมีหลักฐานแล้วเหรอ?”
“ศพที่ห้าแล้ว! คุณยังอยากได้หลักฐานอะไรอีก?!”
“…ช่างเถอะ”