ส่วนที่ 5 ตอนที่ 14 ภูเขาในแดนไกล

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เผยอิงเบิกตากว้าง มองลูกปัดวิ่งขึ้นไปบนเนินเขา ขาของเขายิ่งสั่นเท่ามากขึ้น พริบตาเดียวก็พุ่งไปหลบอยู่ด้านหลังอวิ๋นเยี่ย แม้ว่าจะเข่าอ่อนแต่การเคลื่อนไหวยังคงไม่ผิดเพี้ยนไป ชีวิตที่รับใช้ชาติมาหลายปีไม่ได้เสียเปล่า

 

 

อวิ๋นเยี่ยเดินตามทางที่ลูกปัดกลิ้งไป ลูกปัดยิ่งกลิ้งก็ยิ่งเร็วขึ้น อวิ๋นเยี่ยก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เขาไม่สนใจกำแพงทั้งสองด้าน และไม่สนใจด้วยว่าลูกปัดชนกับกำแพงแล้วจะเด้งไปทางไหน เขาเพียงแต่เดินตามลูกปัดไปมีเพียงเหตุผลเดียวก็คือ บริเวณที่ต่ำที่สุดของสำนักศึกษาคือสวนดอกไม้ ประตูใหญ่ถูกสร้างไว้บนบริเวณที่สูงที่สุด เพราะมันอยู่ใกล้กับทำนบกั้นน้ำมาก ถึงแม้ว่าแม่น้ำตงหยางจะเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ  แต่มันก็มีน้ำท่วมด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันน้ำท่วมเจ้าของบ้านเดิมจึงได้เทพื้นด้านนอกประตูไว้สูงมาก ดังนั้นการเดินตามลูกปัดไปอย่างน้อยก็ไม่กลับออกไปนอกประตู กำแพงทั้งสองข้างนั้นคล้ายกันมาก ทั้งยังมีทางแยกมากมาย ทางแยกบางแห่งสามารถมองเห็นป่าทึบในระยะไกล แต่อวิ๋นเยี่ยก็ยังไม่สนใจมัน เดินตามลูกปัดต่อไป วนไปหนึ่งรอบผ่านทางเข้าหลายทาง ลูกปัดก็กระเด้งกระดอนและหยุดที่ด้านหน้าของกำแพงเงา ที่นี่คือจุดที่ต่ำที่สุด

 

 

เดินมาที่ด้านหน้ากำแพงเงาและมองไปที่คติคำสอนของขงจื๊อ ทำไมยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้มันขัดใจ “ผู้คนมากมายต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” คำพูดนี้ไม่ผิด เพียงแต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลกงซูเริ่มนับถือขงจื๊อปราชญ์แห่งยุค พวกเขาเชื่ออย่างดื้อรั้นว่าบรรพชนของพวกเขานั้นเก่งกาจมากที่สุด ปฏิเสธที่จะนับถือผู้อื่น ซึ่งเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยได้ประสบด้วยตนเองขณะที่อยู่ที่เมืองซั่วฟางแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ประโยคนี้มาไว้ที่นี่เพื่อเป็นภาษิตสอนใจ เช่นนั้นการที่มันปรากฏที่นี่ก็มีเพียงเป้าหมายเดียว ก็คือต้องการปกปิดอะไรบางอย่าง เขาต้องการปกปิดอะไรกัน

 

 

เมื่อมองลงไปดูแผ่นหินสีเทาบนพื้นนั้น แม้กระทั่งลวดลายเกือบจะเชื่อมต่อกัน ทั้งยังตั้งใจทำให้ผสมปนเปเป็นอย่างมาก และใช้วัตถุที่สะท้อนภาพตรงกันข้ามเปลี่ยนลักษณะที่แท้จริงของพื้นดิน รายการสำรวจในยุคปัจจุบันเคยมีรายการหนึ่งในมณฑลส่านซีนำเสนอว่ามีเนินเขาซึ่งดูเหมือนว่าจะมีพลังน่าอัศจรรย์ หากรถไม่เบรกมันจะวิ่งไปบนยอดเขาเองโดยอัตโนมัติ หากเทน้ำในอ่างน้ำทิ้งน้ำก็จะไหลย้อนขึ้นด้านบน จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เนินเขาปีศาจ ท้ายที่สุดจากการทำรังวัดภาคสนาม ผู้เชี่ยวชาญพบว่าจุดที่สูงสุดก็คือจุดที่ต่ำสุด จุดที่ต่ำสุดก็คือจุดที่สูงสุด ผู้คนถูกกรอบอ้างอิง[1]ของวัตถุในท้องถิ่นหลอกเข้าแล้ว

 

 

กงซูมู่ผู้น่าฆ่าทิ้งยังได้ทำการซ่อมแซมอุโมงค์ทางเดินไว้ที่กำแพงเงาทั้งสองด้านด้วย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางตรง แต่ในความเป็นจริงมันเป็นทางโค้ง สำนักศึกษาต้องการของเล่นจำพวกถ้ำผีสิงอย่างในยุคปัจจุบันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน มีของสนุกน่าเล่นเช่นนี้ใครจะมีสมาธิไปเรียนกัน เห็นเงินสำนักศึกษาไม่ใช่เงินหรืออย่างไร ให้เข้าไปได้ก่อนจะคิดบัญชีกับพวกเจ้า

 

 

  ผู้คนมากมายต้องมีอาจารย์ของฉันสักคน เมื่อไหร่กันที่อาจารย์ก็รู้วิธีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนด้วย เครื่องหมายจุลภาคตัวใหญ่มาก กงซูมู่คิดว่าฉันตาบอด มองไม่เห็นหรืออย่างไร จึงให้เผยอิงไปขยับเครื่องหมายจุลภาคนั้น ใครจะรู้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะวิ่งไปใช้นิ้วมือแตะเบาๆ ก็วิ่งกลับมาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยอีกครั้ง

 

 

ช่วยไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้องบิดเครื่องหมายจุลภาคด้วยตัวเอง ใครจะรู้ว่าของอันนั้นถูกยึดตาย บิดอยู่เป็นนานก็ขยับไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ อวิ๋นเยี่ยตรวจดูอีกครั้ง ในที่สุดก็พอจะเห็นหนทางแล้ว ทุกตัวอักษรขยับเขยื้อนได้ยกเว้นเครื่องหมายวรรคตอน เครื่องหมายวรรคตอนนี้ค่อนข้างจะดูเป็นส่วนเกิน ขยับอักษรสามตัวแรกนั้นค่อยยังชั่วเพราะมันเบาๆ จึงขยับอักษรที่เหลืออยู่อีกหลายตัว ก็ไม่เลว สามารถขยับได้ทั้งหมด ส่วนที่เหลือนั้นง่ายมาก มันเป็นเกมคำศัพท์เท่านั้นเอง เรียงอักษรอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังเรียงออกมาไม่ได้ หากจะลองขยับตัวอักษรละหนึ่งครั้ง อวิ๋นเยี่ยก็ต้องลองนับครั้งไม่ถ้วน อวิ๋นเยี่ยบริภาษอยู่ในใจ ให้ดิ้นตายสิกงซูมู่ ตัวอักษรแต่ละตัวต้องลองประสมกันทีละตัว แล้วจะให้ฉันใช้เวลานานเพียงไหนกัน

 

 

นี่เป็นรหัสผ่านเจ็ดหลักชัดๆ มีกี่วิธีในการจัดเรียง อวิ๋นเยี่ยไม่อยากที่จะคิดเลยและไม่กล้าคิดด้วย อย่างไรเสียลองมองหากฎจากความหมายของอักษรก่อน เอาเถอะ ฉันจะลองเริ่มเรียงเจ็ดตัวอักษรที่ให้ความหมายถึงความภาคภูมิใจมากที่สุดเป็นประโยคแรก

 

 

“ผู้คนมากมายต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” ทันทีที่ประโยคนี้เรียงออกมากำแพงเงาก็เกิดเสียงกึกกักๆ ดังขึ้น ตระกูลกงซูก็ยังคงมีความภาคภูมิใจดังเช่นเคย! ตรงกลางของกำแพงเงาแยกออกเป็นช่องว่างเส้นหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยดีใจมากดูเหมือนว่าจะเดาถูกแล้ว ทั้งสองคนออกแรงอย่างมากกว่าจะผลักประตูให้เปิดออก เหนื่อยจนหายใจหอบตลอดเวลา ไม่รู้ว่าทำไมกงซูมู่ไม่ทำให้ประตูเบากว่านี้อีกหน่อย หากทุกคนต้องใช้แรงมากเช่นนี้เพื่อเปิดประตู กำแพงเงานี้เป็นของไร้ค่า

 

 

เพียงแค่ก้าวข้ามธรณีประตู อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเท้าของเขาสะดุดอะไรบางสิ่ง ด้วยความตื่นตัวอวิ๋นเยี่ยย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว ของลักษณะลูกบอลแกว่งผ่านศีรษะไป อวิ๋นเยี่ยตกใจจนเหงื่อแตกไปทั่วร่าง หากถูกของสิ่งนี้ทุบเข้าที่ศีรษะยังจะเหลือชิ้นดีอีกหรือ ใครกันนะที่เ**้ยมโหดเพียงนี้

 

 

เขาเอาแต่โกรธเพียงอย่างเดียวโดยลืมไปว่ามีอีกคนอยู่ข้างหลัง ตัวเขานั้นหลบได้แต่เผยอิงถูกของสิ่งนั้นกระแทกเต็มใบหน้า ร้องอ้าเพียงคำเดียวแล้วก็ล้มลงกับพื้น อวิ๋นเยี่ยจึงเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นถุงทราย

 

 

ประตูใหญ่นั้นผ่านเข้ามาได้แล้ว แต่สถานการณ์นั้นแปลกประหลาดมาก มีชาวนาจำนวนมากกำลังปลูก ต้นเอล์มอยู่ที่นั่น ปลูกอย่างหนาแน่นเหมือนกำแพง ไม่มีใครสนใจอวิ๋นเยี่ยราวกับว่าเขาเป็นมวลอากาศ

 

 

ยิ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดมากเท่าไร่ยิ่งต้องสงบสติให้มากขึ้น เผยอิงนั้นไร้ประโยชน์แล้วก็ปล่อยให้เขานอนที่นั่นแล้วกัน อวิ๋นเยี่ยคิดได้แล้วว่าถุงทรายนี้ต้องเป็นงานชิ้นเอกของหลี่ไท่กงซูเฒ่าไม่ทำตัวน่าเบื่อเช่นนั้น เขาสร้างประตูใหญ่ให้กับสำนักศึกษาอีกทั้งประตูนี้ยังมีการล็อกรหัสผ่านอยู่ในตัวด้วย ตรอกนอกกำแพงเงาเป็นเพียงเกมเล็กๆ น้อยๆ อาศัยการมองคลาดเคลื่อนของผู้คนทำให้เดินกลับไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว เทคนิคกลไกในสมัยโบราณน่าจะเป็นประมาณนี้ ชาวจีนมักเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งในโลกนั้นมีไว้เพื่อให้มนุษย์นำมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกลไกด้วยแล้วยิ่งยึดหลักนี้ พยายามจะทำให้ทุกแห่งไปให้ถึงจุดที่ไร้ซึ่งจุดบอด แต่กลับเผื่อทางรอดเอาไว้ทุกแห่ง รหัสผ่านเองก็เป็นเช่นนี้ ที่กล่าวกันว่าตามหา “เลขหนึ่งที่หายไป” ก็คงจะหมายถึงสถานการณ์เช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยหัวเราะเฝื่อนๆ คุณเหลือทางออกหนึ่งทางเอาไว้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ยอมทำอะไรให้เด็ดขาด ชนเผ่าอื่นจะปฏิบัติกับคุณเช่นนี้หรือไม่ เขาแค้นคุณที่ไม่ตาย! ! !

 

 

เพียงแค่เห็นคนที่ปลูกต้นเอล์มอยู่นั้นก็รู้ได้ว่านี่เป็นเขาวงกต ต้นเอล์มเติบโตเร็วเกินไป ปีหน้าก็คงจะปกคลุมพื้นที่โล่งทั้งหมดอย่างหนาแน่น เพียงแค่รอให้มันงอกสูงถึงสองเมตรและตัดยอดของมัน ทิ้ง นี่ก็จะเป็นเขาวงกตที่สมบูรณ์แบบ

 

 

สำนักศึกษาล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสามด้าน หันหน้าไปทางแม่น้ำตงหยาง อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำคืออาคารที่หลี่เค่อสร้างขึ้นใหม่ เหล่าอาจารย์ก็อาศัยอยู่ที่นั่น สำนักศึกษาได้สร้างอาคารมากมายซึ่งเป็นอาคารสองชั้น ผนังด้านนอกไม่ได้รับการตกแต่งเลยแม้แต่น้อย รอยต่อระหว่างอิฐก็ใช้ปูนซีเมนต์ยาแนวจนดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

 

ไม่มีเวลาที่จะไปเอาเรื่องกงซูมู่ ตอนนี้ต้องหาหลิวเซี่ยให้พบก่อนเพื่อถามเรื่องตระกูลเผยนั้นฮ่องเต้คิดเห็นเป็นอย่างไร เขาจะได้เข้าเป็นพวกด้วย เรื่องนี้ถึงคอขาดบาดตายไม่กล้าทำส่งเดช

 

 

ต้นเอล์มปลูกกันอย่างกระจัดกระจายตรงนั้นกระจุกหนึ่งตรงนี้กระจุกหนึ่ง แน่นอนว่าไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของอวิ๋นเยี่ยได้ เพียงไม่กี่ก้าวเขาเดินผ่านสวนออกมาถึงสถานที่ที่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาทำงานกัน ไม่ได้ไปหาหลี่กังก่อน อวิ๋นเยี่ยเคาะประตูของหลิวเซี่ยนขึ้นก่อน

 

 

ประตูเปิดออก แต่ไม่ได้มีเพียงหนึ่งคน หลี่กังก็อยู่ที่นั่นด้วย ด้านหลังยังมีขันทีชราอีกคนหนึ่ง ดูจากเสื้อผ้าของเขาก็รู้ได้ถึงระดับขั้นตำแหน่งของเขา ซึ่งเป็นถึงขุนนางขั้นหกคนหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในวังแล้ว คนของสำนักพระราชวังมีอิสระในการเข้าออกสำนักศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อวิ๋นเยี่ยมองดูหลี่กังและหลิวเซี่ยนและยังคงนิ่งเงียบรอให้พวกเขาเป็นฝ่ายอธิบายเหตุผลอย่างเหมาะสมให้ตนเองฟังอยู่ ตัดสินใจครั้งสำคัญเช่นนั้นไปแล้วคงจะไม่ใช่ว่าจะไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียวหรอกนะ

 

 

“ข้าน้อยอู๋เสอ คารวะหลานเถียนโหว” พวกเขาสองคนยังไม่พูดอะไร แต่กลับเป็นขันทีที่ชื่อว่าอู๋เสอพูดก่อน

 

 

“ดูจากชุดที่เจ้าสวมใส่ เจ้าทำงานอยู่ในเยี่ยถิงจวี๋[2]กระมัง หัวหน้าขั้นหก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าเป็นหัวหน้าของเยี่ยถิงจวี๋อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้ามาสำนักศึกษาด้วยเหตุอันใด” หลี่ซื่อหมินเคยบอกไว้แต่แรกแล้วว่าหน้าที่ของขันทีมีเพียงรักษาการอยู่หน้าประตูตำหนัก ดูแลเรื่องความสะอาดฝ่ายในและอาหารการกินเท่านั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาสามารถออกจากวังมาพูดคุยกับขุนนางได้ แต่ถ้ารับคำสั่งมาจากพระสนมท่านนั้นที่อยู่ในวังหลวงเพื่อที่จะให้สถานศึกษาเปิดประตูรับเพื่อช่วยเผยอิง อวิ๋นเยี่ยจะต้องตอกกลับไปอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากทำตามก็จะถูกเหล่าขุนนางทั้งหมดดูถูก ไม่กล้าเงยหน้าสู้หน้าผู้คนไปแปดชั่วคนแน่นอน ยกเว้นฮองเฮาจั่งซุนนางจะไม่ตัดสินใจอะไรใดๆ หากนางตัดสินใจทำอะไรก็แสดงว่าความคิดนั้นเป็นการตัดสินใจของหลี่ซื่อหมิน ความลับเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนและเหล่าขุนนางเองก็แบ่งแยกได้ชัดเจนเช่นกัน

 

 

“เรียนโหวเหยีย ข้าน้อยก็คือขันทีจากเยี่ยถิงจวี๋ได้รับพระบัญชาให้มาบอกกับโหวเยี่ย” ขันทีเฒ่ายังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและดูเหมือนจะไม่ถือสากับท่าทีของอวิ๋นเยี่ย พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

 

 

“กระหม่อมอวิ๋นเยี่ยรับพระบัญชา” ไม่มีอะไรจะพูด เนื่องจากเป็นงานราชการเช่นนั้นก็ทำตามหน้าที่ขุนนาง ไม่ต้องเลือกฝั่งที่จะยืนนั้นช่างวิเศษสุดๆ เลย

 

 

“ฝ่าบาททรงตรัสว่านี่คือการพูดคุยกันในครอบครัว โหวเหยียไม่จำเป็นต้องแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ”

 

 

เช่นนี้ก็เป็นปัญหาแล้ว ฮ่องเต้ไม่ได้มีพระราชโองการ แต่ตั้งใจใช้เป็นการสนทนาภายในครอบครัวให้ได้ ข้างในมีอะไรบางอย่างแปลกๆ ต้องฟังให้ชัดเจนห้ามถูกขันทีหลอกอย่างเด็ดขาด ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงหันไปมองหลิวเซี่ยก่อน เห็นว่าหลิวเซี่ยนพยักหน้าอวิ๋นเยี่ยจึงลุกขึ้น ฟังดูว่าฮ่องเต้จะคุยเรื่องอย่างคนในครอบครัวกับตนเองอย่างไร

 

 

“ฝ่าบาทตรัสว่า เจ้าหนุ่มอวิ๋นเยี่ยจงฟังให้ดี เราหาปัญหามาให้เจ้าเรื่องหนึ่ง เป็นปัญหาใหญ่ด้วย ก็คือเจ้าสารเลวเผยอิงที่ดันไปแหย่รังผึ้งเข้า แต่รังผึ้งนี้เราเป็นคนให้แหย่เอง ดังนั้นปัญหาจึงตกเป็นของเราด้วยเช่นกัน เมื่อเจ้ากลับมาแล้วปัญหานี้จึงต้องให้เจ้าเป็นผู้แบกรับ ห้ามมอบเผยอิงออกไปอย่างเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าเราให้เจ้าส่งมอบ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่ว่าใครพูดก็ห้ามฟัง จำไว้ให้ดี แม้ไท่ซั่งหวงให้เจ้ามอบตัวให้ก็ห้ามส่งคนให้อย่างเด็ดขาด” เมื่ออู๋เสอพูดเสร็จก็หุบปากเงียบ สงบนิ่งราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน

 

 

ไม่แปลกใจเลยที่ไม่เขียนเป็นราชโองการ คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถเขียนออกมาเป็นราชโองการได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมเผยอิงถึงฟังคำสั่งของฮ่องเต้แล้วไปแหย่รังผึ้ง แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่อวิ๋นเยี่ยฟังออกคือฮ่องเต้วางตัวว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้มีร่องรอยที่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อยนิด แต่มีใครบางคนต้องเป็นแพะรับบาปเอาไว้ ใครกันที่เหมาะ อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นคนที่มั่นคงที่สุด ในฐานะศิษย์ของผู้สูงส่ง สถานะอยู่เหนือผู้อื่น ไม่มีทางใส่ใจเกี่ยวกับชื่อเสียงที่ราวกับเป็นตำนานนับหลายพันปีของตระกูลโต้วอย่างแน่นอน นอกจากนี้อวิ๋นเยี่ยเข้ากันกับไท่ซั่งหวงได้อย่างมีความสุข ถ้าหากมีปัญหาจะปรับเปลี่ยนอะไรก็ยังมีหนทางอยู่ เขานั้นคิดได้รอบคอบมาก เพียงแต่พริบตาเดียวอวิ๋นเยี่ยก็ถูกกระชากให้ขึ้นไปอยู่ตรงปากเหวในทันที

 

 

จึงลากเก้าอี้แล้วนั่งลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวิ๋นเยี่ยพูดกับอู๋เสอว่า “ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย ข้ากับเผยอิงเองก็มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นดั่งชีวิต แน่นอนว่าจะไม่มอบเขาออกไป ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจะแบกรับภาระนี้ไว้เอง” หลังจากพูดหลายประโยคนี้จบ เขาพูดกับหลิวเซี่ยนอีกว่า “เรื่องการดูแลเผยอิงคงต้องมอบให้พี่รองหลิวแล้ว ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ไม่อนุญาตให้เขาออกจากสำนักศึกษาแม้แต่ก้าวเดียว”

 

 

หันไปพูดกับหลี่กังว่า “ข้าคิดว่าหมู่นี้นักเรียนของสำนักศึกษาค่อนข้างอิสรเสรีเกินไป จะเป็นการดีที่จะขอให้อาจารย์หลี่ควบคุมนักเรียนของสำนักศึกษาให้เข้มงวดมากกว่านี้ สำหรับเรื่องอื่นๆ อาจารย์หลี่ก็ไม่ต้องสนใจแล้ว นับตั้งแต่ตอนนี้ข้าจะเป็นคนมารับช่วงดูแลสำนักศึกษาเอง หากใครมีปัญหาอะไรก็ให้เขามาหาข้าได้เลย”

 

 

พวกเขายังไม่ทันจะได้ตอบอะไร อวิ๋นเยี่ยก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป ยืนอยู่ที่ราวบันไดบนชั้นสอง มองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปและยิ้ม

 

 

 

 

——

 

 

[1] กรอบอ้างอิง ในวิชาฟิสิกส์ คือ โคออร์ดิเนตที่ใช้เป็นหลักเทียบในการบอกตำแหน่งหรือการย้ายตำแหน่งของวัตถุเมื่อเวลาใดเวลาหนึ่ง

 

 

[2] เยี่ยถิงจวี๋ เป็นชื่อหน่วยงานหนึ่งซึ่งสังกัดสำนักพระราชวัง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของตำหนักไท่จี๋ โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของนางกำนันหรือหญิงที่กระทำความผิดซึ่งหญิงเหล่านี้จะต้องใช้แรงงานอยู่ในวัง