บทที่ 633 เสียสติไปแล้ว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 633 เสียสติไปแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นเคยถามเด็กๆ แล้วว่าจะยอมตามนางไปที่ค่ายทหารหรือไม่ เด็กๆ ต่างไม่ต้องการ ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ยังจัดการอะไรไม่เรียบร้อย ดังนั้นจึงต้องไปหาคนแถวนี้มารับเลี้ยงพวกเขา แต่คนท้องถิ่นที่นี่ไม่มีใครยอมรับเลี้ยงเลย

ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะให้เงินไว้สักนิดหน่อยแต่ก็คิดว่าตอนนี้เงินไม่มีประโยชน์ พวกเขาต่างคิดว่าการมีอาหารกินมีเสื้อผ้าใส่นั้นเป็นเรื่องสำคัญกว่า

การสู้รบเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคน และสิ่งที่ผู้คนกลัวที่สุดก็คือการบาดเจ็บล้มตาย

ณ เวลานี้แค่ลูกของตัวเองยังดูแลแทบไม่ได้ แค่หาอาหารหาน้ำให้พวกเขาดื่มกินก็ยังไม่พอ ดังนั้นจึงไม่มีชาวบ้านคนไหนมารับเลี้ยงเด็กๆ พวกนี้

บ่ายวันหนึ่งขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังหาคนมาเลี้ยงเด็กๆ นางจำเป็นต้องพาพวกเขาไปที่ค่ายทางใต้ก่อน ทว่าพวกเขาไม่ได้เข้าไปในค่าย ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้คนตั้งกระโจมที่นอกค่ายเพื่อให้เด็กๆ พักอาศัย

ตกเย็นนางจึงซื้อชุดผ้าฝ้ายให้พวกเขาแต่ละคน โชคดีที่แถวนี้ยังพอจะหาฝ้ายและผ้าได้บ้าง

ฉีเฟยอวิ๋นขอให้คนทำอาหารอุ่นๆ ให้เด็กๆ กินและหาผ้าห่มอุ่นๆ มาให้พวกเขา ซึ่งพวกเขาทุกคนต่างก็รู้ความ ดูเหมือนว่าพอตกเย็นพวกเขาจะไม่อยากจะอยู่ในเมืองอีกแล้วและอยากจะตามฉีเฟยอวิ๋นไปด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะดูแลให้เสี่ยวเฉียวดีกว่าและฝ้ายที่ซื้อมาทำเสื้อผ้าก็ต้องดีขึ้นในระดับหนึ่ง

นางไปที่ร้านค้าในเมืองและใช้เงินสิบตำลึงซื้อกำไลทองสองวง เวลานี้มีการสู้รบ กำไลทองไม่ได้มีค่ามากนัก ทว่าก็ถือว่ามีค่ากว่าในยามปกติหลายเท่า

ฉีเฟยอวิ๋นหวีผมให้เสี่ยวเฉียวด้วยตัวเอง หวาชิงมองมาจากในกระโจม “ท่านชอบเด็กๆ มากเลยหรือ”

“ข้าชอบเด็กผู้หญิง อยากจะมีลูกสาวสักคน”

ฉีเฟยอวิ๋นมองเสี่ยวเฉียวอย่างเอาใจใส่ เมื่อเสี่ยวเฉียวล้างหน้าล้างตาจนสะอาดจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งนางดูสวยมาก!

หวาชิงหน้าแดง “ข้าก็ชอบเด็กผู้หญิงเหมือนกัน”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สนใจหวาชิง นางผละจากเสี่ยวเฉียวและไปดูเด็กคนอื่น

ทันทีที่เข้าไปเด็กๆ เหล่านั้นก็ต้องตกตะลึงเมื่อมองเห็นเสี่ยวเฉียว นางสวยมากจริงๆ

ฉีเฟยอวิ๋นจูงมือเสี่ยวเฉียวเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เตาถ่าน บนพื้นปูด้วยไม้กระดานส่วนด้านบนเป็นผ้าห่ม ที่นี่สภาพไม่ค่อยดีนัก แต่สำหรับตอนนี้ก็นับว่าไม่แย่

ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเด็กๆ ให้มาหา หวาชิงยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู หากใครมารบกวนนางจะทำหน้าขรึมไล่คนพวกนั้นออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบน้ำตาลกรวดที่นางซื้อมาจากในเมืองออกมา

แบ่งให้เด็กทุกคนคนละหลายๆ ก้อน

“พวกเจ้าอย่ากินกันเยอะนะ ไว้คิดถึงพ่อแม่ของพวกเจ้าก็ค่อยกินหนึ่งก้อน คืนนี้พวกเจ้าลองไปคิดกันดูว่าอยากจะเรียนวิชาแพทย์กับข้าหรือไม่ ถ้าเรียนไม่ได้ข้าจะให้พวกเจ้าทำอย่างอื่นแทน แต่ก็จะต้องเอาตัวรอดให้ได้

ถ้าหากพลัดพรากจากพ่อแม่ วันหนึ่งพวกเขาอาจจะตามหาพวกเจ้า และเมื่อโตขึ้นพวกเจ้าก็จะตามหาพวกเขาได้

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งสงคราม ถ้าพวกเจ้าไม่มีชีวิตรอด พวกเจ้าก็จะไม่ได้พบหน้าครอบครัวของพวกเจ้าอีก”

เด็กๆ ไม่พูดอะไรเลย พวกเขารอจนกระทั่งฉีเฟยอวิ๋นพาเสี่ยวเฉียวออกไป จากนั้นทุกคนจึงมารวมกลุ่มหารือกัน

หวาชิงตามฉีเฟยอวิ๋นออกไป ตอนนั้นเองฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หวาชิงตามติดนางตลอดเวลา

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปหาหวาชิง “มีอะไรผิดปกติกับแม่ทัพน้อยหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไร ก็แค่ดูท่านทำงานและคิดว่ามีอะไรที่พอจะช่วยได้หรือไม่” หวาชิงก้มหน้ามองเสี่ยวเฉียว “เสี่ยวเฉียว คืนนี้พี่สาวจะดูแลเจ้าเอง”

เสี่ยวเฉียวส่ายหน้า “ข้าอยู่กับหมออัน ข้ายังมีท่านลุงตู้ด้วย”

หวาชิงทำหน้าไร้เดียงสา “พี่เสียใจจริงๆ”

หวาชิงอยากเข้าทางเสี่ยวเฉียวและคอยติดตามอันเสี่ยวฮวน แต่ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นไปไม่ได้

เสี่ยวเฉียวไม่ได้พูดอะไร นางดูสวยมากหลังจากแต่งเนื้อแต่งตัว นางจ้องมองหวาชิงโดยไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ รวมถึงไม่ได้เอาใจใดๆ ด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าหวาชิงรู้สึกอึดอัดกับเสี่ยวเฉียว เสี่ยวเฉียวไม่ใช่คนที่จะประจบใครๆ

“ท่านแม่ทัพน้อย ข้าขอตัวกลับก่อน ท่านเองก็พักผ่อนเถิด”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดอะไรมากและพาเสี่ยวเฉียวกลับไป นางยังมีเรื่องที่ต้องทำอีก

ใกล้ๆ กระโจมของหนานกงเย่มีกระโจมอื่นๆ อยู่อีก ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กลับไปหาหนานกงเย่แต่เดินตรงเข้าไป เมื่อเข้าไปแล้วเสี่ยวเฉียวจึงพบท่านลุงตู้

“ท่านลุงตู้” เสี่ยวเฉียวเข้าไปหาในขณะที่ท่านลุงตู้รีบลุกขึ้นมา

“เสี่ยวเฉียว”

เสี่ยวเฉียวหันกลับไปมองฉีเฟยอวิ๋น “ท่านหมออัน”

“ข้าขอดูหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นวางกล่องยาลงและเดินไปดูอาการของลุงตู้ เขามีอาการเจ็บป่วยหลายอย่าง ฉีเฟยอวิ๋นต้องค่อยๆ รักษาเขา

ฉีเฟยอวิ๋นเขียนใบสั่งยาให้ลุงตู้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงร่างกาย

“ท่านผู้เฒ่า ได้ยินเสี่ยวเฉียวบอกว่าท่านแซ่ตู้ ข้าจะเรียกท่านว่าเหล่าตู้นะเจ้าคะ” ฉีเฟยอวิ๋นถามพลางเขียนใบสั่งยาให้เหล่าตู้

เหล่าตู้พยักหน้าและตอบรับครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเสี่ยวเฉียว เหล่าตู้ก็รู้สึกชื่นใจมาก

ฉีเฟยอวิ๋นลุกออกมาจากข้างกายของเหล่าตู้ นางทิ้งให้เสี่ยวเฉียวให้อยู่ที่นี่โดยมีคนข้างนอกคอยคุ้มกันพวกเขา

ฉีเฟยอวิ๋นออกมาและกลับไป พร้อมกันนั้นหนานกงเย่ก็เข้ามาพอดี

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นหนานกงเย่จึงมองอย่างพินิจพิเคราะห์ จากนั้นจึงค่อยเข้าไปหานาง

ฉีเฟยอวิ๋นเองก็มองหนานกงเย่อย่างพินิจพิเคราะห์เช่นกัน สองสามีภรรยามีเวลาพบหน้ากันน้อยลง ทว่าฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกได้ว่าวันนี้หนานกงเย่อารมณ์ไม่ดี

“ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นนึกขึ้นได้ว่าหนานกงเย่สุขภาพไม่ดี จึงดึงเขาให้นั่งลง

หนานกงเย่นั่งลงทั้งใบหน้าบึ้งตึง “วันนี้คนเดียวหรือ”

“…..” ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงหวาชิง จากนั้นจึงอธิบายว่า “นางมาเองเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดนางจึงต้องตามข้าด้วย”

“ข้าคิดว่านางถูกตาต้องใจท่าน” หนานกงเย่คว้ามือของฉีเฟยอวิ๋นมากุมไว้ ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนานกงเย่

นางจะมาชอบข้าได้อย่างไร น่าจะเป็นเพราะประโยคที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมากกว่า วางใจเถิดเพคะ ท่านอ๋องฉลาดปราดเปรื่องและองอาจห้าวหาญ

หนานกงเย่เลิกคิ้ว “ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางชอบข้า ทั้งยังชอบมานานแล้วด้วย ฟังดูเหมือนอวิ๋นอวิ๋นจะรู้มานานแล้วว่านางชอบข้า”

หนานกงเย่โกรธขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้รู้อยู่แล้วว่าคนอื่นชอบเขาแต่ยังมีความสุขได้อีก นางไม่มีมโนธรรมเลยหรืออย่างไร

ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า “ข้ายังมีความทรงจำของเจ้าของเดิมเหลืออยู่บ้าง บางอย่างก็จำได้ บางอย่างก็จำไม่ได้

บังเอิญจำหวาชิงได้ จะให้ข้าทำอย่างไรล่ะเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปอีกทาง “ท่านบอกว่าเจ้าของเดิมรู้จักกับหวาชิงใช่ไหมเพคะ”

“นางยิ่งกว่ารู้จัก นางยังรู้เรื่องของท่านอ๋องกับหวาชิงด้วย ท่านอ๋องต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าเหตุใดเจ้าของเดิมจึงชอบท่านอ๋องขนาดนั้น”

หนานกงเย่ไม่ตอบ เขาไม่รู้จริงๆ

นั่นเองฉีเฟยอวิ๋นจึงเล่าเรื่องที่เขาเคยช่วยเจ้าของเดิมให้ฟัง

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นและพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ตอนที่ข้านึกขึ้นมาได้ในวันนั้น ข้าร้องไห้น้ำตาไหลอาบหน้า ท่านอ๋อง ท่านบอกข้าทีว่าเจ้าของเดิมยังอยู่ที่นี่เสมอใช่หรือไม่”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าระบบในร่างกายของนางมีปัญหาบางอย่าง แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องของเจ้าของเดิมขึ้นมาได้

หนานกงเย่ส่ายหน้า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

หนานกงเย่ใจร้อน เหตุใดจึงยังอยู่อีก

หนานกงเย่ไม่ชอบเลยเมื่อนึกถึงเจ้าของเดิม แต่ถ้ายังร้องไห้ได้ นางจะขับวิญญาณนี้ออกไปได้หรือไม่

หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้และดึงนางเข้ามา เขามองฉีเฟยอวิ๋น “อวิ๋นอวิ๋น ข้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนกันเถิด”

“อื้ม”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพักผ่อน หนานกงเย่ฝันว่าฉีเฟยอวิ๋นหายตัวไปและได้ฉีเฟยอวิ๋นคนเดิมกลับคืนมา

หนานกงเย่ตกใจมากจนสะดุ้งตื่นกลางดึก เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่หลับเขาจึงกอดฉีเฟยอวิ๋นจากทางด้านหลัง

ฉีเฟยอวิ๋นถูกปลุกขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้นและหันไปมองก็พบว่าเป็นหนานกงเย่ “ท่านเป็นอะไรหรือ”

“ห้ามจากข้าไปไหนนะ” หนานกงเย่ออกแรงรัดฉีเฟยอวิ๋นไว้ในอ้อมกอดอย่างเผด็จการและเอาแต่ใจ เขาจ้องมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาที่เย็นชา “ไม่ว่าเจ้าจะไปหรือไม่ไป คนที่ข้าต้องการไม่ใช่เจ้า ฟังข้าให้ดี จงไปยมโลกเสียให้เร็ว มิเช่นนั้นข้าจะแทงเจ้าเดี๋ยวนี้!”

ฉีเฟยอวิ๋นผงะ!

เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร

บทที่ 630 แม่ทัพหวาพึงพอใจอย่างมาก