ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 17 เจ็ดจานมนตร์อมตะ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 17 เจ็ดจานมนตร์อมตะ โดย Ink Stone_Fantasy

บนบันไดมิติ เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไป นัยน์ตามีประกายอำมหิตวาบผ่าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำทรงอำนาจที่มีชื่อเสียงสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนเก้าเมฆา ถึงแม้จะรู้ว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผมขาวตรงหน้ามิได้ด้อยไปกว่าเขาเลย แต่จะให้ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ เขาควบคุมค่ายกลดำทะมึนที่ท้องฟ้าเบื้องบนให้เคลื่อนเข้ามาไปพร้อมๆ กับที่เบื้องหน้าของร่างกายเขาก็มีค่ายกลที่หมุนวนปรากฏขึ้นสามแห่ง

ค่ายกลดำทะมึนสามแห่งนี้มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่กลับขับเคลื่อนสอดรับกันราวกับเฟืองล้อก็มิปาน พลานุภาพซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางตรงหน้าเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ

“ปัง…”

ลำแสงสีม่วงอันแปรปรวนเก้าร้อยสายปะทะบนค่ายกลดำทะมึนสามแห่งที่สอดประสานกันราวกับเฟืองล้อ

ในขณะเดียวกันนั้นเอง

ค่ายกลดำทะมึนที่ท้องฟ้าเบื้องบนก็มาถึงแล้วปะทะโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองค่ายกลดำทะมึนสามแห่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง สำหรับค่ายกลดำทะมึนที่ท้องฟ้าเบื้องบนแห่งนี้เขากลับมิได้สนใจเลย เพียงแค่ควบคุมมีดบินอีกสามร้อยเล่มให้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ลำแสงสีม่วงสายแล้วสายเล่าปะทะบนค่ายกลดำทะมึนแห่งนั้น ทำให้ค่ายกลดำทะมึนแห่งนั้นสั่นสะท้านจนแตกสลายไปในท้ายที่สุด

แต่ที่บริเวณไกลออกไป ค่ายกลดำทะมึนสามแห่งซึ่งราวกับเฟืองล้อตรงเบื้องหน้าเจ้าเมืองอมตะกลับไม่เหมือนกัน สิ่งที่มีดบินเก้าร้อยเล่มสำแดงนั้นคือเคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพ แต่เคล็ดวิชาหลังจากการดัดแปลงวิชากระบี่ที่ห้าผลาญโลกาให้ง่ายลงนั้น ถึงแม้ว่าหลังจากดัดแปลงแล้วพลังคุกคามจะลดต่ำลงเป็นอย่างมาก แต่จำนวนของมันก็สามารถทดแทนข้อด้อยนี้ไปได้ เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิง!

ปึง…

ค่ายกลดำทะมึนสามแห่งเคลื่อนหมุนไม่หยุดหย่อน เฟืองล้อสอดประสานกัน พลานุภาพซ้อนทับกัน หากพูดว่าระดับการป้องกันของค่ายกลดำทะมึนแห่งหนึ่งคือหนึ่งเท่า เช่นนั้นระดับของค่ายกลดำทะมึนสองแห่งก็ราวกับเป็นสิบเท่า พลานุภาพในการป้องกันของค่ายกลดำทะมึนสามแห่งก็ไปถึงร้อยเท่า! นี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าเมืองอมตะกล้าเรียกตนเองว่า ‘อมตะ’ และมีเพียงยามที่รักษาร่างกายทั้งสิบเก้าร่างเอาไว้เท่านั้นจึงจะสามารถสำแดงเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้

หากลำพังแค่ร่างจริงเพียงร่างเดียว ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณย่อมไม่มีทางสำแดงเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน

“ถึงขนาดตีไม่แตกเลยเชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างไกลจากการโจมตีค่ายกลดำทะมึนให้แตกอีกมากพอดูเลยทีเดียว”

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคราวนี้จะได้พบกับคู่ต่อสู้คนหนึ่งภายในเจดีย์เทพขุมทรัพย์ ถึงกับมีคุณสมบัติพอให้ข้าสำแดง ‘เจ็ดจานมนตร์อมตะ’ ออกมาได้” เสียงของเจ้าเมืองอมตะกลับมาแห้งหยาบตามปกติของเขา ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ เห็นเพียงว่ามีค่ายกลดำทะมึนแห่งใหม่รวมตัวกันปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของค่ายกลดำทะมึนสามอันที่มีอยู่เดิม

ค่ายกลดำทะมึนทุกแห่งต่างก็ราวกับเฟืองล้ออันใหม่ซ้อนทับกันขึ้นไป ก่อเป็นร่างอันสมบูรณ์ร่างใหม่ขึ้นมา

หากพูดว่าค่ายกลดำทะมึนสามแห่งแรกสะสมพลานุภาพอันน่าหวั่นเกรง ยากจะทำให้คนสั่นสะท้านราวกับกำแพงเมืองแห่งหนึ่ง เช่นนั้นค่ายกลดำทะมึนแห่งใหม่…ก็ทำให้พลานุภาพอันน่าหวั่นเกรงที่สะสมเอาไว้นี้แปรเปลี่ยน แปรเปลี่ยนเป็นพลังการโจมตี

พรึ่บ

พรึ่บ

พรึ่บ

ค่ายกลดำทะมึนทั้งสามแปรเปลี่ยนซ้อนทับกัน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุกคามอันแรงกล้า ถึงขนาดที่เขารู้สึกว่าค่ายกลดำทะมึนก่อนหลังทั้งหมดหกแห่ง ทั้งหมดมีขนาดที่แตกต่างกันแต่ทำงานสอดประสานกันเป็นอย่างดี ราวกับร่างอันสมบูรณ์แบบ คล้ายกับการสัญจรกฎเกณฑ์ของจักรวาลแห่งหนึ่ง ตอนนี้ค่ายกลดำทะมึนหกแห่งแปรเปลี่ยนเอาการโจมตีอันน่าหวั่นเกรงออกมา เตรียมพร้อมโจมตี!

เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนยืนอยู่ด้านหลังค่ายกลดำทะมึนหกแห่งแล้วยืนมองฉากนี้ด้วยรอยยิ้มหยัน

เคล็ดวิชาเจ็ดจานมนตร์อมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ตอนนี้เขาก็สามารถสำแดงออกมาอย่างสบายๆ ได้เพียงเท่านั้น ในอุดมคติสูงถึงเจ็ดจานมนตร์! ตามที่เขาคิดนั้นเพียงแค่ทำสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลัวว่าต่างก็สามารถเทียบเคียงได้กับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว แต่เขาบำเพ็ญมานานหลายปีก็ยังไม่สามารถก่อตัวขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ได้มาโดยตลอด แต่เขาก็ยังคงเรียกชื่อว่าเป็นเจ็ดจานมนตร์อมตะเช่นเดิมก็เพื่อให้ตนเองไล่ไขว่คว้าเป้าหมายนี้ไปตลอดกาล

“ยอดฝีมือระดับพลังรบชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวคนไหนๆ ต่างก็มิอาจดูแคลนได้ทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพเหตุการณ์นี้แต่ก็โบกมือคราหนึ่ง มีดบินทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยเล่มอันแน่นขนัดปกคลุมเข้าไปอีกครั้งอย่างปั่นป่วน

“ตายเสียเถิด!” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนต่างก็เอ่ยอย่างเย็นชา

จานมนตร์ทั้งหกหมุนวน

จานมนตร์ที่อยู่รอบนอกสุดมีเงามายาของจานมนตร์สายหนึ่งปะทุออกมาในทันใด เงามายาของจานมนตร์ก็หมุนวนโอบล้อมเอาไว้ตลอดเวลา โอบล้อมมีดบินทั้งหมดเอาไว้ พรึ่บๆๆ… ยามที่เงามายาของจานมนตร์นี้หมุนวนก็คล้ายกับโม่บดที่บดทำลายพลังคุกคามของมีดบินแต่ละเล่ม ทว่าจำนวนของมีดบินนั้นมีอยู่มากมายเกินไป ปะทะปังๆๆ อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด…

……

ไกลออกไป หัวหน้าพรรคกระบี่สวรรค์และหญิงสาวในอาภรณ์เทาหลวมโพรกเห็นแล้วก็ตกใจอยู่ไม่น้อย

เจ้าเมืองอมตะมีพลังอำนาจอันน่าหวั่นเกรงเช่นนี้ พวกเขาไม่แปลกใจเลย ถึงอย่างไรชื่อเสียงก็เป็นที่เลื่องลือ สถานะก็สูงส่งกว่าพวกเขามากมายนัก

ทว่าบุรุษผมขาวสวมหน้ากากสีเงินผู้ลึกลับคนนี้ถึงกับปะทะซึ่งๆ หน้าได้โดยไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย

“มีเจ้าเมืองอมตะโผล่ขึ้นมาคนหนึ่งก็แล้วไปเถิด ยังมีโผล่มาอีกคนหนึ่ง พลังยุทธ์ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ เป็นผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นของดินแดนเก้าเมฆาหรืออย่างไร ถ้าหากเป็นผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นจริงๆ ก็ควรจะมีชื่อเสียงเลื่องลือมานานแล้วสิ” ชายหนุ่มผู้องอาจที่กุมขวานเหล็กดำเอาไว้ในมือเหวี่ยงกระแทกหัวขวานลงบนประตูหินครั้งแล้วครั้งเล่า ประตูหินส่งเสียงครืนแล้วเกิดเป็นหลุมลึกปรากฏขึ้นมา ผิวชั้นนอกของขวานเหล็กดำเล่มนั้นก็มีสายฟ้าวับวาบ

“บุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวผู้นี้คงจะมิใช่ผู้แกร่งกล้าในท้องที่หรอก เป็นคนของมหาโลกทิพย์ทั้งสามหรือ หรือว่าเป็นคนของสำนักทิพย์โบราณ” ชายหนุ่มผู้องอาจเอ่ยพึมพำ “น่าสนใจ น่าสนใจเหลือเกิน!”

……

เงามายาของจานมนตร์กลิ้งเข้ามา ถึงแม้ว่าจะถูกมีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายจนหมดอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้น หกจานมนตร์ดำทะมึนนั้นก็ยังสร้างเงามายาของจานมนตร์อันใหม่ออกมาอีกครั้ง เงามายาของจานมนตร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง… กลับกลายเป็นทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เริ่มตกเป็นรอง

“พลังยุทธ์ของเขาดูเหมือนจะค่อยๆ ยกระดับขึ้นอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงความตกตะลึง

“จานมนตร์หมุนวน พละกำลังทั้งหมดต่างก็สามารถใช้รวมกันได้ พลังคุกคามก็มีแต่จะยกระดับขึ้น” เจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนกลับเต็มไปด้วยความทะนง เพราะมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศนี้ สิ่งที่เขาชมชอบเป็นที่สุดก็คือการมุ่งหน้าเข้าไปเสี่ยงภัยในสถานที่อันตราย ถึงอย่างไรดินแดนเก้าเมฆาก็เป็นชิ้นส่วนที่แตกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม มีสถานที่อันน่าอัศจรรย์หลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง

ตอนแรกเขาก็เคยเข้าไปในคูหาที่รกร้างไปแล้วแห่งหนึ่ง คูหาแห่งนั้นมิได้มีสมบัติล้ำค่าอันใดอยู่เลย แต่ภายในบรรดาห้องเงียบสำหรับบำเพ็ญนั้นกลับมีกลิ่นอายอันน่าหวั่นเกรงหลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นก็คือกลิ่นอายของจานมนตร์ทั้งเจ็ด…

จานมนตร์ดำทะมึนเจ็ดจานรวมตัวกันเป็นร่างหมุนวนอันสมบูรณ์แบบร่างหนึ่ง

ก็คล้ายกับการทำลายล้างของความมืดในขั้นสุดยอด ทำให้เจ้าเมืองอมตะมองดูอย่างหวาดหวั่นยิ่ง นับแต่นั้นมาเขาก็ไปศึกษาหยั่งรู้อยู่บ่อยๆ แล้วค่อยๆ วิวัฒน์เจ็ดจานมนตร์อมตะออกมาจากกลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่นี้ แต่สิ่งที่เขาวิวัฒน์ออกมานั้นห่างชั้นกับสิ่งที่ได้เห็นในห้องเงียบแห่งนั้นไม่รู้กี่เท่า เจ้าเมืองอมตะคาดเดาว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดสักท่านหนึ่งเหลือทิ้งเอาไว้ก็เป็นได้

ทว่าแม้กระทั่งวิวัฒน์ไปเล็กน้อย แต่ก็ทำให้พลังยุทธ์ของเจ้าเมืองอมตะพุ่งพรวดขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นผู้นำทรงอำนาจฝ่ายหนึ่งของทั้งดินแดนเก้าเมฆา! หากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนไม่แสดงตัว เขาก็เป็นบุคคลผู้ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้แล้ว

“สามารถต้านทานมังกรมัจฉาปลิดชีพของข้าได้ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็คิดไม่ถึงว่าตนอาศัยเพียงแค่เคล็ดวิชามังกรมัจฉาปลิดชีพก็สามารถบุกผ่านชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวได้แล้ว

“น่าสนใจ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายเย็นยะเยือกสายหนึ่งวาบผ่าน

พรึ่บ!!!

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันราวกับสารที่ผ่านทะลุหกจานมนตร์อันดำทะมึนที่หมุนวนอยู่ไกลๆ แผนภาพคลื่นจาน ศาสตร์ลับอาณาบริเวณที่แข็งแกร่งที่สุดของวังทวีสูญ พันธะของอาณาเขตอันแกร่งกล้าทำให้จานมนตร์ดำทะมึนทั้งหกที่หมุนวนอยู่ได้รับผลกระทบในทันที แม้กระทั่งอันที่โจมตีเงามายาของจานมนตร์อยู่ก็ได้รับการขัดขวางรบกวน แม้ว่ามันจะสามารถรักษาการโจมตีเอาไว้ได้เช่นเดิมแต่พลังคุกคามก็ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด…

“ท่าไม่ดีแล้วสิ” ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างนี้ก็ห่อหุ้มร่างของเจ้าเมืองอมตะสิบเก้าคนนั้นเอาไว้ในเวลาเดียวกัน ทำให้สีหน้าของเจ้าเมืองอมตะแปรเปลี่ยนในทันใด พันธะอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เขานึกอยากจะหนีก็ยากเย็นนัก

ร่างกายสิบเก้าร่างของเขาเริ่มเลือนราง เลือนรางราวกับไอหมอกดำทะมึน

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ระเบิดแผนภาพคลื่นจานออกมาอย่างสุดกำลังกดดันเจ้าเมืองอมตะ ในขณะเดียวกันกับที่กดดันจานมนตร์ทั้งหก เห็นเพียงมีดบินอันแน่นขนัด แต่รักษาพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ เหลือเงารางของลำแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนทิ้งไว้ แล้วปกคลุมสังหารไปอีกครั้ง แต่ทว่าพลังคุกคามลดต่ำลงอย่างมหาศาล เงามายาของจานมนตร์ดูคล้ายว่าชั่วขณะที่ต้านรับนั้นก็แตกสลายเป็นชิ้นอย่างสมบูรณ์

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองอมตะไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็เข้าใจดีว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผมขาวผู้ลึกลับคนนี้เลย ต้านทานลงไปอย่างจริงจัง กลัวว่าจะมีผลลัพธ์คือตัวตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

……………………………………..