เจินเมี่ยวรู้สึกอึ้งจนตาถลนปากอ้าค้างจริงๆ ที่นางได้เป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถติดตามขบวนขนเสบียงไปยังกองทัพแดนเหนือเพื่อถามไถ่สุขทุกข์ของแม่ทัพ
หลังจากผ่านความตกใจมาแล้วก็เป็นความรู้สึกยินดี นางจึงเตรียมของออกเดินทางอย่างเบิกบาน
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้สึกจนใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยกับแม่นมหยางด้วยอารมณ์สับสนว่า “หลานสะใภ้ใจกล้าเกินไปหรือไม่ นางไม่ถามสักนิดว่าเหตุใดตนจึงสามารถติดตามขบวนขนเสบียงไปที่สนามรบได้ นางไม่กลัวสักนิดเลยหรือไร”
แม้การให้เจินเมี่ยวไปสนามรบจะเป็นความคิดของฮูหยินผู้เฒ่า แต่เมื่อเจาเฟิงตี้มีราชโองการลงมาจริงๆ นางกลับเริ่มลังเลขึ้นมา
ตอนที่นางยังมีกำลังได้เคยติดตามไปสนามรบจริง แต่นั่นเพราะนางมีวรยุทธ์ติดกาย หากหลานสะใภ้ใหญ่เกิดเป็นอันใดขึ้นมา แม้เสียใจคงมิทันแล้ว
แม่นมหยางจึงเอ่ยปลอบใจว่า “ต้าไหน่ไหน่ห่วงซื่อจื่ออย่างไรเจ้าคะ ทั้งนางไปแล้วก็ให้พักที่ฝั่งด้านหลังของเมือง มิได้อยู่แดนหน้าที่จะพบอันตรายใดได้ ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิด ไม่แน่ว่าตอนที่ซื่อจื่อกับต้าไหน่ไหน่กลับมา ท่านอาจจะได้อุ้มเหลนอีกคนก็ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงค่อยคลายกังวลลงเล็กน้อย
ที่นางอยากให้เจินเมี่ยวไปที่แดนเหนือเพราะฝันประหลาดนั้นของเจินเมี่ยว ทำให้นางรู้สึกว่ามันอาจจะมีประโยชน์กับหลัวเทียนเฉิงไม่มากก็น้อย ไม่แน่ว่าหากมีครั้งใดที่จะได้รับอันตราย นางอาจฝันเตือนภัยก่อนก็เป็นได้ อีกอย่างการไปรบสักครานั้นมิใช่เวลาสั้นๆ จึงจะสามารถรบชนะ สงครามแต่ละครั้งล้วนใช้เวลา ตอนออกไปรบยังเป็นคนหนุ่ม กลับมาอีกครากลายเป็นชายวัยกลางคนไปแล้วก็มีไม่น้อย หลานสะใภ้ใหญ่ไม่มีแม้แต่บุตร ไหนเลยจะผ่านช่วงเวลาอันทรมานนี้ไปได้
ได้แต่หวังว่าการไปในครั้งนี้จะเกิดผลอย่างที่นางปรารถนาเท่านั้น
เจินเมี่ยวไปครานี้ย่อมมิอาจไปมือเปล่าได้ นางต้องนำเครื่องประดับเงินทองที่สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงบริจาคไปแลกเป็นข้าวของเครื่องใช้รวมไปถึงกางเกง เสื้อผ้าหนาอุ่นและของอื่นๆ ไปด้วย ให้สมกับฐานะทูตผู้เป็นตัวแทนของหวงโฮ่วไปเยี่ยมเยือนบรรดาแม่ทัพทหารที่เสียสละเพื่อแผ่นดิน
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มิใช่สิ่งของที่จะตระเตรียมได้ครบในเวลาอันสั้น แต่ด้วยเวลาเพียงเท่านี้นางก็จัดเตรียมสิ่งของได้ไม่น้อยแล้ว
ผ้าแพรผ้าไพร เครื่องประดับราคาแพงเหล่านั้นมิต้องไปใส่ใจเลย แต่ขนสัตว์หนังสัตว์และเสื้อผ้าชนิดอื่นๆ นางจัดเตรียมไว้หลาย**บแล้ว หลังจากนั้นก็เตรียมเสบียงอาหารที่พกพาไปได้สะดวก
เช่นผิงกั่วก็หั่นเป็นผิงกั่วตากแห้งชิ้นเล็กๆ ทั้งยังมีไหน้ำปรุงรสต่างๆ อากาศในช่วงนี้ของทางเหนือไม่มีผัก นางจึงนำผักใบเขียวไปอบแล้วตากให้แห้งทำเป็นผักอบแห้ง ยามจะกินก็แค่เอามาแช่กับน้ำร้อน แม้จะมิสดใหม่นัก แต่ก็มีรสชาติอันพิเศษเฉพาะตัวของมันอยู่ ท่ามกลางอากาศอันเหน็บหนาวของแดนเหนือ นี่ก็นับเป็นอาหารเลิศรสเหลือเกินแล้ว ส่วนเนื้อวัวแห้ง เนื้อหมูแห้งนางก็ทำไว้ไม่น้อยเลย
ระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เจินเมี่ยวตระเตรียมเสบียงอาหารไม่หยุดประหนึ่งผึ้งงานน้อยตัวหนึ่ง ในที่สุดนางก็ได้มีเวลาพักหายใจบ้าง วันเวลาที่จะออกเดินทางได้ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
รัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบห้าแรก ย่างสู่ฤดูวสันต์แล้ว แต่อากาศยังคงเหน็บหนาวจนน่าตกใจ ยอดไม้มีน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด บนพื้นกองพะเนินด้วยหิมะหนึ่งชั้น บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมาน้อยยิ่ง ส่วนเจินเมี่ยวนั้นนั่งอยู่ในรถม้าที่ล้อมไว้อย่างแน่นหนา มันเคลื่อนล้อห่างจากเมืองหลวงไปทีละน้อยๆ ตามขบวนขนเสบียงอันยาวเฟื้อยไป
การเดินทางครานี้มิใช่การออกไปไหว้พระหรือเที่ยวเล่นจึงมิอาจนำสาวใช้มาได้มากนัก เจินเมี่ยวครุ่นคิดไปมา สุดท้ายก็ให้ชิงไต้ที่หายดีแล้วกับไป๋เสาที่สุขุมรอบคอบเป็นผู้ติดตามตน เมื่อเดินทางไปได้สักหลายชั่วยาม นางก็เรียกคนทั้งสองเข้ามาเล่นไพ่เยี่ยจื่อฆ่าเวลา
เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังลอดออกมาจากรถม้า เซียวมั่วอวี่ผู้เป็นหัวหน้าขบวนขนเสบียงในครานี้ถึงกับลอบส่ายหน้า
เซียวมั่วอวี่เป็นคนของจวนหย่วนเวยโหว มีฐานะเป็นท่านอาเล็กของเซียวอู๋ซัง
เพราะจวนโหวมิวางใจหลานชายคนโตของตระกูลที่เพิ่งอยู่ในวัยหนุ่มน้อย จึงได้ส่งเซียวมั่วอวี่มาเป็นตัวแทน แม้จะบอกว่าเป็นอา แต่ความจริงเขาอายุเพิ่งจะยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น เพราะเหตุผลบางอย่างจึงยังมิแต่งงานกระทั่งตอนนี้ ทั้งยังเป็นบุตรที่เกิดจากอนุอีกด้วย
“ไปบอกจยาหมิงเซี่ยนจู่หน่อยเถิดว่าเชิญนางลงจากรถม้ามากินข้าวก่อน” เขาหันไปเอ่ยกับรองหัวหน้าขบวน
สตรีสูงศักดิ์รูปร่างบอบบางเช่นนี้ คิดว่าอีกไม่นานคงได้โอดครวญไปอีกหลายวันแน่ ไม่รู้ว่าเบื้องบนคิดเช่นไรจึงให้สตรีสูงศักดิ์เป็นทูตตัวแทนติดตามขบวนเสบียงกองทัพออกมาเช่นนี้
“เซี่ยนจู่ เชิญลงจากรถเพื่อพักกินข้าวก่อนเถิดขอรับ” รองหัวหน้าขบวนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีจึงมีความสดใสของหนุ่มน้อยอยู่บ้าง เมื่อเขารู้ว่าในรถม้านี้คือคนที่เขียนบทกวีที่โด่งดังเป็นที่กล่าวถึงอยู่ในขณะนี้ ทั้งยังมีฐานะสูงส่งเป็นถึงเซี่ยนจู่ ก็อดตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาหลายส่วน
ม่านถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่เคร่งขรึมยิ่งของคนผู้หนึ่ง “ทราบแล้ว”
รองหัวหน้าขบวนลอบพ่นลมหายใจออกมาพลางเอ่ยในใจว่า เซี่ยนจู่ท่านนี้ช่างเป็นคนที่เคร่งขรึมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะเขียนบทกวีที่อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนั้นออกมาได้
ทว่ารูปโฉม…ช่างงดงามเหลือเกินจริงๆ
คาดว่าคงเป็นสัญชาตญาณของบุรุษ ทำให้เขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในทันที
เมื่อผ้าม่านประตูรถถูกแหวกออก สาวใช้สวมชุดสีเขียวผู้หนึ่งก็กระโดดออกมาอย่างคล่องแคล่ว
แล้วสตรีท่าทีงามสง่าสวมชุดสีขาวนวลก็ลงจากรถม้าตามมาอีกคน นางเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองไปที่นั้น แล้วพยักหน้าให้รองหัวหน้าขบวนอย่างสงวนท่าที จากนั้นจึงหันหลังยื่นมือออกไป
รองหัวหน้าขบวนยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยรองหัวหน้าขบวนคารวะจยาหมิงเซี่ยนจู่ขอรับ”
แม้ไป๋เสาที่เดิมเป็นคนรอบคอบ ท่าทีสุขุมยังอดชะงักมือตนมิได้ เมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นเข้าใจผิดก็ได้แต่หยักยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แต่มิได้เอ่ยอธิบายอันใดยังคงยื่นมือออกไปเช่นเดิม ปากก็พูดว่า “เซี่ยนจู่เชิญลงรถม้าเจ้าค่ะ”
รองหัวหน้าขบวนแทบจะตกจากหลังม้าในทันใด เพราะตกใจยิ่งจึงสำลักน้ำลายตนทำให้ไอออกมาอย่างรุนแรง
มือขาวเนียนข้างหนึ่งยื่นออกมา ทั้งยาวและเรียวเนียน สมบูรณ์แบบประหนึ่งงานศิลปะชั้นเอกทำให้คนอดใจไม่ไหวที่จะได้พบหน้าเจ้าของมือนั้น
เจินเมี่ยวสวมเสื้อสีขาวงาช้าง ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเขียว นางยื่นมือให้ไป๋เสาประคองและลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล แล้วส่งยิ้มให้กับรองหัวหน้าขบวน
รองหัวหน้าขบวนหน้าแดงขึ้นมา รู้สึกขัดเขินไม่รู้จะวางมือเท้าไว้ที่ใด จึงรีบคารวะต่อเจินเมี่ยวทันที แต่สายตาก็แอบชำเลืองมองสีหน้าไร้อารมณ์ของไป๋เสาอย่างรวดเร็ว แล้วควบม้ากลับไปหาเซียวมั่วอวี่โดยไว
เซียวมั่วอวี่กำเชือกไว้แล้วมองขึ้นฟ้า “ข้าไม่รู้จักเจ้า”
“ท่าน…” รองหัวหน้าขบวนถึงกับหน้าแดงขึ้น เขารู้สึกประหม่าจนจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“เจ้าถึงกับดูคนผิด ตาเจ้าไปงอกอยู่ที่ก้นหรือไร อย่าไปบอกใครว่าเจ้าเป็นรองหัวหน้าขบวนข้าเลย น่าขายหน้าเหลือเกิน!”
ไม่นานเขาก็เลิกหน้าแดงแล้วเอ่ยพึมพำอย่างไม่ยินยอมว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าสาวใช้ของเซี่ยนจู่จะสง่างามกว่าคุณหนูบางตระกูลที่ข้าเคยพบเสียอีก”
เซียวมั่วอวี่ยิ้มเยาะอย่างไม่ไว้หน้าว่า “คุณหนูที่เจ้าเคยพบ? หมายถึงบุตรสาวชายขายหมูสกุลจางที่อยู่ข้างเรือนเจ้างั้นหรือ สตรีที่เติบโตมาพร้อมกันกับเจ้าผู้นั้น?”
เส้นโลหิตที่ขมับของรองหัวหน้าขบวนถึงกับปูดโปนขึ้น “ท่านหัวหน้า มิจำเป็นต้องเอ่ยตบหน้ากันถึงเพียงนี้กระมังขอรับ จางเอ้อมิใช่สตรีที่เติบโตมาพร้อมกันกับข้าเสียหน่อย ครานั้นที่นางพบเยี่ยนอ๋องในเรือนตน นางเกือบจะเอามีดสับหมูฟันเยี่ยนอ๋องด้วยซ้ำ!”
เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็อดหันกลับไปมองหาเงาร่างของไป๋เสามิได้ พลางเอ่ยในใจว่าไหนเลยจะเหมือนผู้อื่น ทั้งที่เป็นเพียงสาวใช้แต่ท่าทีกลับสง่างาม สุขุมนุ่มลึกเพียงนั้น!
ครั้นเห็นไป๋เสาที่ใกล้เข้ามา รองหัวหน้าขบวนก็แทบจะตกม้าลงมาแล้ว เขารีบจับเชือกไว้แล้วตะกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แต่ม้าตัวนั้นกลับทำเสียงฟึดฟัดที่จมูกอย่างรังเกียจ กระทั่งสลัดทิ้งนายตนอย่างไม่ไยดี
รองหัวหน้าขบวนได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ไป๋เสาได้แต่ขบขันอยู่ในใจแต่สีหน้ากลับเรียบเฉยยิ่ง นางส่งตะกร้าอาหารให้ไป “นี่เป็นอาหารที่เซี่ยนจู่ของเราเตรียมมา เชิญท่านกับท่านหัวหน้าเซียวลองชิมดูเถิด”
รองหัวหน้าขบวนยื่นมือไปรับ เขายังมิทันได้เอ่ยว่าขอบคุณด้วยซ้ำ ไป๋เสาก็ย่อกายให้แล้วเดินจากไปทันที
เขาถือตะกร้าไปหาเซียวมั่วอวี่ “ท่านหัวหน้า จยาหมิงเซี่ยนจู่ให้คนเอาอาหารมาส่งขอรับ”
มั่วเซียวอวี่กวาดตามองตะกร้าอาหารแสนประณีตทั้งทำจากไม้ล้ำค่านั้นแล้วถึงกับแค่นยิ้ม “เจ้ากินเถิด ข้ามิได้พิถีพิถันในการกินปานนั้น”
ในตะกร้าอาหารนั้นต้องมีแต่ขนมและผลไม้รองท้องชนิดต่างๆ แน่ เกรงว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่คงคิดว่าตนเดินทางมาเที่ยวเล่นชมนกชมไม้กระมัง ได้แต่หวังว่าจริงๆ ว่าผ่านไปอีกสักหลายวันจะไม่มาบอกให้เขาไปซื้อของว่างกินเล่นมาให้นาง
“เช่นนั้น ข้าน้อยกินนะขอรับ” รองหัวหน้าขบวนสูดกลิ่นเข้าจมูกตน เขาได้กลิ่นหอมของเนื้อที่ลอยออกมาจากด้านในแล้ว จึงอดเปิดฝาของมันออกมามิได้
ด้านบนสุดมีเนื้อวัวตุ๋นแผ่นบางวางทับอยู่ บางจนแทบจะโปร่งแสงเลยทีเดียว ทั้งยังมีเนื้อหมูที่หั่นเป็นแผ่นๆ วางผสมอยู่ด้วย ด้านหนึ่งมีสีน้ำตาลเข้มอีกด้านเป็นสีแดงเข้ม เมื่อมารวมอยู่ด้วยกันแล้วช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนคนนัก
นัยน์ตาเซียวมั่วอวี่แทบถลนออกมาแล้ว
ผลไม้อบแห้งที่คิดไว้เล่า ทั้งขนมหวานอีก
นางเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง แต่สิ่งที่นำติดตัวกลับเป็นเนื้อวัวตุ๋นกับเนื้อหมูงั้นหรือ!
เขาบีบอาหารแห้งที่แข็งโป๊กนั้นแน่น แล้วใช้ปากกัดแทะอย่างแรงคราหนึ่ง รสชาติดั่งเคี้ยวขี้ผึ้ง
ใบหน้าของรองหัวหน้าขบวนเจิดจ้าขึ้นมาทันใด เขาหยิบแผ่นเนื้อวัวตุ๋นยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวทันทีพลางเปิดชั้นต่อไปอย่างระมัดระวัง จึงอดถอนหายใจออกมามิได้
ด้านในมีขาหมูวางอยู่ แต่ถูกแบ่งออกเป็นสองชิ้น
“ท่านหัวหน้า ขาหมูยังร้อนอยู่เลยขอรับ!” เขาหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดกินโดยไม่สนใจว่าน้ำมันจะเปื้อนเต็มริมฝีปากแม้แต่น้อย
ขาหมูร้อนๆ ขาหมูร้อนๆ ขาหมูร้อนๆ…
เซียวมั่วอวี่รู้สึกเพียงว่าขาหมูอีกชิ้นหนึ่งกำลังหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงหน้าเขา จึงลอบกลืนน้ำลายตน เมื่อเห็นว่ารองหัวหน้าขบวนกินขาหมูชิ้นนั้นจนเกือบหมดแล้ว จึงกระแอมไอออกมาโดยแรงแล้วถามว่า “รองหัวหน้าฉือ ขาหมูยังร้อนอยู่จริงๆ งั้นหรือ”
รองหัวหน้าฉือกำขาหมูไว้แน่นแล้วพยักหน้าอย่างงุนงง “ใช่ขอรับ”
“ข้าไม่เชื่อ”
“ร้อนอยู่จริงๆ ขอรับ ท่านหัวหน้า ข้าไม่หลอกท่านหรอก”
เซียวมั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้น “ให้ข้าลองชิมดูก่อนว่าร้อนหรือไม่”
รองหัวหน้าฉือจึงใช้กระดาษซับมันที่รองอยู่ใต้ตะกร้าอาหารห่อขาหมูชิ้นนั้นส่งให้เขาไป “ท่านกินดูก็จะรู้เอง”
เซียวมั่วอวี่รับมาแล้วกัดกินคำใหญ่ เขาถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ “ร้อนอยู่จริงๆ ด้วย”
รองหัวหน้าฉือกะพริบตาปริบๆ จึงเริ่มคิดได้ เขาโกรธจนเป็นใบ้ขึ้นมา “ท่านหัวหน้า ท่าน…ท่าน…”
เซียวมั่วอวี่ยิ้มบางเบาให้เขาแล้วเช็ดคราบน้ำมันบนริมฝีปากตน “มิจำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก อ้อ แล้วเนื้อวัวตุ๋นนั่นยังร้อนอยู่หรือไม่”
รองหัวหน้าฉือรีบเอามือป้องตะกร้าอาหารไว้ทันที “ไม่ร้อนแล้ว”
“ไม่ร้อนหรือ”
รองหัวหน้าฉือพยักหน้าโดยแรง
“อ้อ เช่นนั้นข้าต้องลองชิมดูหน่อยแล้วว่าเย็นจริงๆ หรือไม่”
รองหัวหน้าฉือ “…”
ขาหมูที่เจินเมี่ยวส่งไปให้ทำให้เซียวมั่วอวี่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อขบวนหยุดพักที่เมื่อเล็กๆ เมืองหนึ่ง เขาจึงส่งรองหัวหน้าฉือไปถามเจินเมี่ยว “เซี่ยนจู่ต้องการซื้อสิ่งใดหรือไม่ขอรับ”
ไป๋เสาจึงส่งรายการสิ่งของที่ต้องการให้เขาไป “รบกวนรองหัวหน้าแล้ว”
รองหัวหน้าฉือกวาดตามองสิ่งของในบันทึกรายการ ใจของเขาเบ่งบานประหนึ่งบุปผาก็มิปาน แล้วจากไปอย่างเบิกบาน
การเดินทางไปแดนเหนือนั้น แม้ตอนนี้จะล่วงเข้าวสันต์แล้ว แต่อากาศกลับยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ
แดนเหนือนั้นมีคนอยู่ไม่มาก เมื่อเดินทางไปเรื่อยๆ ก็พบป่าเขามากขึ้นทุกที ในรถม้าเจินเมี่ยวมีเตาเล็ก จะกินขนมหรือเครื่องดื่มร้อนๆ ก็สะดวกยิ่ง รวมถึงเซียวมั่วอวี่ด้วย
ส่วนใหญ่เขาก็กินแต่อาหารแห้งที่แข็งโป๊ก หากพักในป่าย่อมต้องหาเอาหม้อขึ้นมาก่อไฟทำน้ำแกงผักป่าซดสักถ้วยก็นับว่าไม่เลวแล้ว
วันนี้ขบวนขนเสบียงหยุดพักและก่อไฟทำอาหาร เจินเมี่ยวจึงลงจากรถม้า ไป๋เสาถือตะกร้าที่มีผ้าปิดไว้เดินตามมา
“เซี่ยนจู่นี่คือ…”