ส่วนที่ 4 ตอนที่ 89 ไพลินถูกขโมย

ความลับแห่งจินเหลียน

ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง หลินเสวียเหวินเคยเก็บสะสมหยกที่เจียงหนานชุดหนึ่งมาถึงยี่สิบปี? หากเป็นอย่างนั้น ก็มีทางเป็นไปได้ว่าจนถึงตอนนี้ราชาหยกก้อนนั้นอาจจะอยู่ในนั้น? แต่นี่ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากนัก ถ้าหากหลินเสวียเหวินเคยขนส่งชุดหยกไปที่เมืองเจียงหนานจริง ถ้าอย่างนั้นหยกชุดนั้นน่าจะเป็นลักษณะที่ดี ไม่เช่นนั้นหลินเสวียเหวินคงไม่มีทางที่จะขนไปเก็บสะสมไว้ที่เจียงหนานแน่

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงเป็นปัญหาแล้ว ตอนที่หลินเสวียเหวินใกล้ตายเขาก็แบ่งมรดกไว้แล้ว ทุกอย่างถูกจัดการไว้อย่างสมเหตุสมผล แต่ทำไมในพินัยกรรมไม่กล่าวถึงหยกชุดนี้เลยล่ะ? หรือว่าหินหยกชุดนี้เขาก็ไม่คิดจะส่งต่อให้ลูกหลานของตระกูลหลิน?

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเหม่อลอย ไม่ว่าคิดอย่างไรเธอก็ไม่เข้าใจ ความจริงนี่ก็อธิบายได้อย่างไม่ชัดเจนนัก บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ที่ตกต่ำลง ทั้งหมดเป็นเพราะว่าไม่มีหินหยกชั้นดี และไม่มีเงินทุนเข้ามาลงทุนเพิ่ม ส่งผลให้บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ต้องล้มละลายลงในชั่วพริบตาเดียว

 

 

ถ้าหากหลินเสวียเหวินเตรียมหินหยกลักษณะดีไว้ตั้งแต่แรกๆ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถนำทั้งหมดออกมาแล้วพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้แม้ว่ามีคนจะมาโจมตีบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่เท่าไหร่ สุดท้ายก็คงไม่สามารถทำอะไรได้…

 

 

นี่ก็เห็นได้ชัดๆ ว่าตั้งแต่หลินเสวียเหวินมีชีวิตจนกระทั่งตายจากไป เขาก็ไม่ได้พูดถึงหินหยกชุดนี้ที่ขนส่งไปยังเมืองเจียงหนานเลย

 

 

“แหล่งข่าวของคุณเชื่อได้แค่ไหน” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

 

“ถ้าเชื่อไม่ได้ ผมจะกล้าเอามาบอกคุณได้ยังไง?” จ่านมู่ฮวายิ้ม “ผมก็ไม่ใช่คนโรคจิต ที่อยากถูกคุณฟาดแส้เสียหน่อยนะ”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่เพียงหลุดหัวเราะออกมา แต่กลับพูดขึ้นอีกว่า “นี่คุณหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ใครใช้ให้คุณเล่นไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะ?”

 

 

“ผมหาเรื่องที่ไหนกัน” ใบหน้าของจ่านมู่ฮวาท่าทางเหมือนโดนกลั่นแกล้ง

 

 

ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่เพียงยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อกวาดสายตามองไปก็เห็นว่าอันที่จริงการจัดนิทรรศการเครื่องประดับทั้งหมดของแต่ละร้านมีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นหยกเจไดต์ เพชร พลอยไพลิน ทับทิม ไข่มุกหยกต่างๆ ขอแค่อยู่ภายใต้แสงไฟ อัญมณีพวกนี้ก็พร้อมเปล่งแสงระยิบระยับสาดส่องสายตา

 

 

“จินเหลียน พูดตามตรงแล้วผมไม่ดีตรงไหนเหรอ” จู่ๆ จ่านมู่ฮวาก็ถามขึ้นมา

 

 

“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้ตั้งตัว เขาไม่ดีตรงไหนน่ะหรือ? ไม่ว่าอะไรเขาก็ดีทั้งหมด หน้าตาก็โดดเด่น ฐานะที่บ้านก็ร่ำรวย อีกทั้งไม่มีพิการเหมือนกับน้องชายเขา นับว่าเขาก็เป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่งเลย

 

 

แต่สเป็คของเธอตั้งแต่แรก เธอไม่ได้ชอบคนแบบเขา และไม่รู้ว่าเพราะอะไร ภายในใจเธอก็รู้สึกว่าคนคนนี้อันตรายมาก

 

 

“คุณเป็นคนดีมาก” ซีเหมินจินเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้น

 

 

“คุณชอบมู่หรงเหรอ?” จ่านมู่ฮวาถามคำถามที่เคยถามอีกครั้ง

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ตอบอะไรออกมา เธอชอบจ่านป๋ายหรือเปล่า? คำถามนี้แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ จ่านป๋ายบอกเองว่าเขาเป็นคนพิการ ในชีวิตนี้อยากแค่จะอยู่เคียงข้างเธอ แต่ดูจากการกระทำของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้พิการเลย

 

 

เพียงแต่เรื่องนี้จะพูดอย่างไรดีล่ะ ผู้ชายดีๆ บางทีก็อาจจะเป็นคนบกพร่องได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากไม่ใช่เหรอ? ทั้งสองที่คบหากันในช่วงเวลานี้ ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าเธอเห็นเขาเป็นคนของตัวเองแล้ว เพียงแต่เธอรู้ตัวดีว่า ในอนาคตถ้าหากจ่านป๋ายจะต้องแต่งงาน จ่านป๋ายก็ต้องจากเธอไปในที่สุด

 

 

“หลายๆ ครั้ง ฉันมองเขาเป็นพี่ชาย” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เป็นคนที่สามารถพึ่งพาได้”

 

 

จ่านมู่ฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีก เพียงแค่ถอนหายใจพูดว่า “จินเหลียน คุณน่าจะลองให้โอกาสตัวเอง และลองให้โอกาสคนอื่นดูบ้าง”

 

 

“ให้คุณน่ะเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองเขาแล้วถามว่า “คุณจ่านมู่ฮวา ความจริงแล้วพวกเราก็ไม่มีอะไรที่เหมาะสมกันเลย คุณไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลามากมายกับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ชอบเสี่ยวป๋าย แต่ฉันก็ไม่สามารถชอบคุณได้ ผู้ชายอย่างคุณเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป ไม่ว่าใครที่ได้แต่งงานด้วยก็ไม่น่าจะโชคดีอะไร”

 

 

“อ้อ…” จ่านมู่ฮวาหัวเราะออกมาอย่างขนขื่น ความรู้สึกนั้นบางทีก็เป็นสิ่งที่สวยงาม และบางทีก็เป็นสิ่งที่ผิด

 

 

“อ๊ะ…” จู่ๆ สายตาของซีเหมินจินเหลียนก็สะดุดเข้ากับคนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน

 

 

“มีอะไรเหรอ” จ่านมู่ฮวาถามขึ้นอย่างแปลกใจ พร้อมมองไปตามสายตาของเธอที่ตกไปอยู่ที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นรูปร่างหน้าตาจัดว่าสวยทีเดียว ผมสั้นสีทอง ใบหน้ารูปไข่ อายุน่าจะราวๆ สามสิบปี หน้าตาโดดเด่นกว่าใคร จัดอยู่ในประเภทสาวงามที่เติบโตเต็มที่คนหนึ่ง เธอสวมใส่เสื้อผ้าแฟชั่น กำลังยืนมองตู้เพชรของบริษัทหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า

 

 

“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่เคยเห็นเธอมาก่อนก็เท่านั้น” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น ทว่าในใจก็ยังคงคิดไม่หยุด จ่านป๋ายบอกว่าคนคนนี้เป็นหัวขโมยอัญมณีรายใหญ่ ทางที่ดีให้ระวังไว้ อย่าให้ผู้หญิงคนนี้ได้จับต้องของมีค่าเชียว

 

 

ทั้งสองเดินชมนิทรรศการจัดแสดงเครื่องประดับอัญมณีได้หนึ่งรอบ แน่นอนว่าสินค้าดีมีเยอะแยะมากมาย จ่านมู่ฮวาพยายามหาโอกาสที่จะซื้อให้เธอ แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับไม่ได้สนใจเขา ถึงเขาจะมีเงินก็ใช้ไม่หมด ตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งเป็นเวลาพักผ่อน ห้องจัดนิทรรศการต้องการทำความสะอาด บริษัทจิวเวอรี่ทุกแห่งต่างนำสินค้าที่มาจัดแสดงไปเก็บไว้ในตู้เซฟข้างในที่ทางงานจัดไว้ให้ ของพวกนี้ราคามหาศาลนับไม่ถ้วน แม้ว่าจะยุ่งยากไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะละเลย

 

 

สินค้าที่จัดแสดงของซีเหมินจินเหลียนทั้งหมดมอบให้จ่านป๋ายเป็นคนดูแลจัดการเรื่องความปลอดภัย และเชิญเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาคุ้มกัน

 

 

เมื่อกวาดสายตามองดู บริษัทจิวเวอรี่ทุกที่ก็เป็นเช่นนี้ ภายในบริษัทจิวเวอรี่มีพนักงานที่คอยรับผิดชอบ นอกจากนั้นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยมาคอยคุ้มกันเช่นกัน

 

 

แต่สิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนคิดไม่ถึงก็คือ ภายใต้นโยบายป้องกันขโมยอย่างเข้มงวดยังเกิดเรื่องขึ้นได้

 

 

ตอนเที่ยงเมื่อเริ่มงานแสดงสินค้า บริษัทหวังต้าฝูจิวเวอรี่ของฮ่องกงกลับพบว่าพลอยไพลินของตนได้หายสาบสูญ ตอนนั้นเหตุการณ์วุ่นวายชุลมุน กลายเป็นข่าวที่น่าตกใจในเวลานั้น

 

 

ซีเหมินจินเหลียนเมื่อเห็นแล้วก็เริ่มเครียดกังวลขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ของเราไม่มีอะไรหายไปใช่ไหม”

 

 

จ่านป๋ายลองตรวจสอบดูรอบหนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่มี”

 

 

“นอกจากบริษัทพวกเขาแล้วก็ไม่เห็นมีบริษัทไหนที่ของหาย คิดว่าน่าจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในบริษัท” หลินเสวียนหลานพูดอยู่ข้างๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…ทำยังไงดีล่ะ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถามไม่หยุด “นี่คงจะไม่ส่งผลกระทบต่องานนิทรรศการหรอกใช่ไหม” วันนี้ตอนเช้าแค่ครึ่งวัน เธอก็ได้สินค้าล็อตใหญ่ถึงสามที่ ถ้าหากงานนิทรรศการไม่สามารถจัดต่อไปตามปกติได้ นี่คงเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่

 

 

“เพียงแค่บริษัทของพวกเขาบริษัทเดียว ไม่น่าจะมีอะไรหรอก บริษัทอื่นเองก็ไม่น่าจะยอมเหมือนกัน” หลินเสวียนหลานพูด “งานนิทรรศการหยกไม่เหมือนกับงานนิทรรศการอื่นๆ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น ก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยจัดการอยู่ ไม่สามารถยกเลิกงานได้เพียงแค่บริษัทจิวเวอรี่แห่งหนึ่งมีสินค้าหาย”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ในที่สุดก็ปล่อยสบายใจขึ้นบ้าง เพียงแต่คอยกำชับจ่านป๋ายและหลินเสวียนหลานว่าระวังให้มากเป็นพิเศษ อย่างไรก็กันไว้ดีกว่าแก้

 

 

เนื่องจากพลอยไพลินหนึ่งเม็ดหายไป ทั้งช่วงบ่ายงานนิทรรศการข้างในถึงได้ยิ่งเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม ซีเหมินจินเหลียนนั่งอยู่ในห้องทำงาน แล้วคอยมองกล้องวงจรปิดผ่านทางคอมพิวเตอร์เพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก พร้อมถอนหายใจออกมา ยังดีที่ช่วงบ่ายนี้ถือว่าปลอดภัยไม่มีปัญหาอะไร สำหรับบริษัทที่พลอยไพลินหายไป แน่นอนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยหาขโมยอยู่ เรื่องนี้จึงไม่ต้องกังวล

 

 

ในขณะที่งานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีวันแรกใกล้จะสิ้นสุดลง ทางฝั่งซีเหมินจินเหลียนก็มีแขกที่ไม่รับเชิญเข้ามา…