“ขอรับ” บ่าวรับคำ รีบติดตามไป
ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ทอดสายตาไกลออกไป เห็นเยี่ยเม่ยยิ่งเดินยิ่งไกล นัยน์ตาลุ่มลึกปรากฏแววไม่อาจคาดเดาได้
ด้านหลังมีบ่าวอีกคน เอ่ยปากอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง เม่ยเซียงเก๋อเป็นกิจการที่ท่านลอบวางไว้ที่ชายแดนนี้เพื่อใช้สืบข่าว วันนี้สตรีนางนี้ลงมือทำร้ายคนของเราตั้งมากมาย หากไม่จัดการนาง ภายหลังชื่อเสียงของเหม่ยเซียงเก๋อ…”
บ่าวเพิ่งจะพูดก็ถูกคนผู้มีศักดิ์เป็นท่านอ๋องหันกลับมามอง เขาสวมอาภรณ์หรูหรา ต่อให้เป็นชุดเรียบง่ายสำหรับออกข้างนอก ทว่าไม่อาจปกปิดรัศมีสูงส่งของเขาได้
เรียวคิ้วคม นัยน์ตาสุกสกาว หล่อเหลาไม่ธรรมดา แววตาประดุจกระบี่ล้ำค่าถูกดึงออกจากฝัก คมกริบทว่าเก็บงำไว้
เขาจ้องบ่าวผู้นั้น พลันหัวเราะเสียงเบา “ไม่เลว หากไม่จัดการเสีย ภายหน้าผู้อื่นจะเข้าใจว่า คนของเราถูกคนต่อยตีต่อหน้าสาธารณชน ผู้ลงมือกลับไม่เป็นอะไรเลยสักน้อย ผู้หนุนหลังเม่ยเซียงเก๋อก็ไม่เท่าไหร่”
“ขอรับ บ่าวหมายความเช่นนี้” บ่าวรีบก้มหน้าลง
ถัดมา
น้ำเสียงเย็นชาของบุรุษเอ่ยถาม “แต่ว่า พวกเจ้ามีคนสู้แม่นางผู้นั้นได้หรือไม่”
บ่าวชะงักไป “นี่…” ตัวเขาเองย่อมสู้ไม่ได้
อย่าว่าแต่เขาเลย เขารู้สึกว่าในบรรดาผู้ติดตามท่านอ๋องที่มาจากเมืองหลวงในครั้งนี้ แปดส่วนไม่อาจสู้แม่นางผู้นั้นได้
แต่ว่า…
บ่าวผู้นั้นตระหนักได้เงยหน้าขึ้นมองท่านอ๋องของตน
“อย่าได้มองข้า ท่านอ๋องอย่างข้าไม่มีความมั่นใจ” เซี่ยโหวเฉินเอ่ยตามสัตย์ ทว่าแฝงอารมณ์ล้อเล่นสนุกสนาน เขาพ่นหัวเราะออกมา “เจ้าคงไม่ให้ท่านอ๋องอย่างข้าลงมือเองหรอกกระมัง ออกหน้าให้พวกบ่าวไพร่ไม่กี่คน ผลสุดท้ายยังอาจถูกแม่นางผู้นั้นทำร้ายอีก เรื่องแพร่ไปยังเมืองหลวง ข้ายังจะมีหน้าอีกหรือไม่”
บ่าวกระตุกมุมปาก “…เช่นนี้ บ่าวเข้าใจแล้ว”
เขาเพียงมองออกว่าแม่นางผู้นั้นร้ายกาจ จะรู้ที่ไหนกันว่าท่านอ๋องไม่มั่นใจว่าเอาชนะนางได้
เซี่ยโหวเฉินหัวหน้ากลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ในความมืดมิดไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยเม่ยอีก
เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “สตรีผู้นี้ หากสามารถใช้งานได้ต้องเป็นกำลังสนับสนุนที่สำคัญแน่”
นี่คือสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง จากการต่อสู้ในราชสำนักมาหลายปี สัญชาตญาณของเขาไม่เคยผิดมาก่อน น่าเสียดายที่เบื้องหน้ายังมีเรื่องสำคัญ เขาไม่อาจปลีกตัวไปหานางได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นใช้งานนางได้เด็ดขาด
“ขอรับ บ่าวจะสั่งการให้คนติดตามนางไปเดี๋ยวนี้” บ่าวรู้ทัน รีบเอ่ยออกมา
เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า นัยน์ตาเล่ห์ร้ายแฝงรอยยิ้ม ถาม “องค์ชายใหญ่กลับมาหรือยัง”
“เข้าเมืองมาอย่างลับๆ แล้ว…”
……
เยี่ยเม่ยแบกคนที่ช่วยมาจากข้างทางมุ่งหน้าต่อไป
นางจำเป็นต้องหาสถานที่ซ่อนคนก่อน ค่อยช่วยหนุ่มผู้นี้รักษาบาดแผล อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้พวกทหารเหล่านั้นพบนางได้
นางใช้ตรอกเล็กเงียบสงบ เดินผ่านไปหลายสาย ฝีเท้าเยี่ยเม่ยพลันชะงักลง มุมปากกระตุกยิ้มประชดประชัน ด้านหลังมีคนสะกดรอยตามนางมา
นางพบง่ายดายแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าคนที่สะกดรอยตามไม่ใช่ยอดฝีมือ
คนด้านหลังเห็นว่านางหยุด ก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
เยี่ยเม่ยหันกลับไปมอง สายลมยามค่ำคืนเย็นเยือก พัดชุดของนาง
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากเสียงเย็น “ต้องการให้ข้าหยุดฝีเท้า ต่อยตีจนเจ้ากลับไปหรือไม่”
เมื่อนางเอ่ยวาจาจบ คนที่ติดตามนางมาแตกตื่นตกใจ ตัดสินใจหันกลับไปมอง
รอบด้านไม่มีใครเลยสักคน หัวใจของเขารัดเกร็ง เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้กำลังตักเตือนเขา
เมื่อคิดถึงตอนอยู่บนถนนใหญ่ ฝีมือทำร้ายคนบาดเจ็บล้มไปกองที่พื้นอย่างง่ายดาย ถึงเขามีพื้นฐานวิทยายุทธบ้าง ทว่ารู้อยู่แก่ใจว่าตนหาใช่คู่ประมือนาง เวลานี้บังเกิดความหวาดกลัวอยู่ในใจ
ครั้นเห็นคนติดตามมาด้านหลังไม่ขยับ เยี่ยเม่ยยิ้มยกมุมปาก มองท้องฟ้า เมฆหนาปกคลุม ลมเย็นสายหนึ่งพัดมา
แววตานางเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยือก “คืนนี้มืดมิด สายลมเย็นเยือก เหมาะกับการฆ่าคนนัก เจ้าอยากลองหรือไม่”