แต่จากคำพูดของหัสดิน เหมือนจะสื่อว่าเธอกำลังสะกดรอยตามเขา เพียงแค่ลำดับต่างกันเท่านั้นเอง ความหมายก็ต่างกันมาก
ใช้เด็กไปผูกมัดผู้ชาย เป็นทางเลือกที่ผิดที่สุด ผู้ชายอาจจะรักลูก แต่ผู้หญิงได้รับเพียงความรังเกียจเท่านั้น
ถ้าเธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผิด ความรัก และความเห็นใจของหัสดิน ความคิดที่จะไม่เอาเด็กที่ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่างนี้คงไม่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ เธอคิดดีแล้ว วางแผนทุกอย่างดีแล้ว
ลูกกระเดือกหัสดินกระตุกขณะดื่มไวน์แดงเบาๆ ก่อนจะนวดขมับและพูดว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมีลูก เรนนี่”
เด็กคนนี้มาโดยที่หัสดินไม่ทันได้คาดคิด และเขาก็ไม่มีความคิดว่าอยากจะมีลูก
“เข้าใจแล้ว” เรนนี่ตัวสั่นและพูดว่า “พรุ่งนี้ออกมาจากบริษัทแล้วอย่าลืมแวะร้านขายยาซื้อยาทำแท้งให้ฉันด้วย จากนั้นก็อยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันทำอย่างนี้เป็นครั้งแรก ฉันกลัว”
“ขอโทษด้วย ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ” การที่เธอคิดจะทำอย่างนี้ ไม่วุ่นวาย ไม่ร้องไห้ ทำให้หัสดินรู้สึกอึดอัดในใจ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขารู้ว่าลูกสำคัญกับผู้หญิงขนาดไหน
“งั้นก็ดีค่ะ” เธอยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มบอบบางราวกับดอกบัวที่ปลิวไสวตามลมและสายฝน ดูทั้งน่าสงสารและอ่อนแอ “กินข้าวเย็นเถอะค่ะ เป็นของที่คุณชอบทั้งนั้นเลย”
หัสดินดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วถามเธอเสียงอ่อน อยากกินอะไร อยากได้อะไร น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับน้ำที่หยดลงหิน
นี่คือสิ่งที่เรนนี่ต้องการ…
เธอไม่ได้มีความคิดที่จะไปจากหัสดิน และไม่อยากให้ในใจเขาเริ่มไม่พอใจเธอ
ดังนั้นเด็กคนนี้จึงเก็บเอาไว้ไม่ได้ และสิ่งที่เธอได้กลับมาก็คือ ความรู้สึกผิด ความใจอ่อน และสุดท้ายก็จะมอบการแต่งงานที่เธอต้องการให้
เมื่ออยู่ต่อหน้าหัสดิน เรนนี่คุ้นเคยแล้วกับการที่ต้องแสดงบทบาทอ่อนแอ อ่อนโยน ใจกว้าง คิดถึงแต่เขาให้ทุกอย่าง เดาความคิดของเขาอย่างรอบคอบ และเข้าใจจิตใจของเขา ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่มีทางขัดแย้งกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข และความรัก
แต่เรนนี่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า การสานสัมพันธ์แบบนี้เป็นการกระทำที่ผิด ใช้ได้แค่ในระยะเวลาอันสั้น แล้วในระยะยาวล่ะ
หนึ่งเดือน สองเดือน ครึ่งปี คือหนึ่งปี ไม่ว่าจะระมัดระวังแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะอุดรอยรั่วได้ เมื่อถึงตอนจวนตัวจนต้องต่อสู้และดิ้นรน ก็จะยิ่งร้ายแรง และรุนแรงกว่าคนทั่วไป
ที่จริงคือยู่ยี่ก็เข้าใจว่า เธอไม่ได้ได้เขามาเพราะความรัก แต่เธอได้เขามาด้วยความคิดและร่างกาย
เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหัสดิน เธอไม่สามารถทำตัวไร้ยางอาย เธอทำตามใจตัวเองได้….
แต่เธอรู้ว่า หัสดินเริ่มมีความรู้สึกกับเธอแล้ว และความรู้สึกก็เพิ่มมากขึ้น แต่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่าเรื่องเวลา
บนเตียงใหญ่ในตอนกลางคืน ภายใต้การยั่วยวนของเรนนี่ บทเรียนรักก็เกิดขึ้นอย่างร้อนแรง…
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของฉันทัช ยู่ยี่ก็เตรียมจะรับโครงการต่อ จึงบอกผู้จัดการไว้
นี่จะเป็นโอกาสที่เธอจะได้ฝึกฝนอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเธอจะได้เข้าร่วมโครงการนี้ เธอก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้น
ถ้าโครงการนี้เธอได้มาอยู่ในมือจริง งั้นก็ดีมาก ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
นาโนถามเธอว่าหัวเธอได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า ถึงได้รับโครงการของหัสดิน ยู่ยี่จึงบอกสิ่งที่ฉันทัชบอกแกเธอให้นาโนฟัง
ท่านใดนั้นดวงตาของนาโนก็เป็นประกายทันทีด้วยความตื่นเต้น ที่แท้เทพบุตรของเธอก็เป็นคนที่ไม่มีผู้ชายคนไหนเทียบได้เลย
ในโลกของเธอตอนนี้ เทพบุตรคือเทพคุณ และหัสดินคือตด แค่พูดคำว่าตดก็ทำให้เสียบรรยากาศ
ตอนเย็น ตอนเช้า ตอนเที่ยง เธอก็เอาแต่คุยกับฉันทัช เขาพูดเสียงเรียบ ไม่มีความอ่อนโยนหรือห่วงใย แต่ก็ทำให้เธอหน้าแดงใจสั่น เสียการควบคุม ก่อนที่ทั้งสองคนจะนัดกันไปเดินเล่นหลังเลิกงาน
ผู้จัดการขยับตัวเร็วกว่าใคร เมื่อเธอบอกว่าจะรับ ก็ยื่นเอกสารทั้งหมดมาให้เธอทันที จากนั้นก็มีนัดกันในตอนบ่ายที่ร้านกาแฟเพื่อคุยรายละเอียดอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ตลอดทั้งเช้าเธอมองโครงการอย่างจริงจัง เธอตั้งใจจะทำมันอย่างจริงจังและมุ่งมั่น
เมื่อถึงเวลาเธอก็มาถึงร้านกาแฟ พนักงานเสิร์ฟพาเธอไปห้องที่จองไว้อยู่แล้ว ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายยังไม่มา
ยู่ยี่สั่งกาแฟ ค่อยๆดื่ม ระหว่างนั้นเพื่อนคุณชายก็ส่งข้อความมาถามเธอว่ากำลังทำอะไรอยู่
เธอบอกไปว่ากำลังนัดกับอีกฝ่าย เพื่อคุยกันอย่างจริงจัง และตอนนี้กำลังรอ
จากนั้นเขาก็ส่งข้อความมาอีก โดยบอกให้เธอท่องจำในสิ่งที่เขาพูด ประโยคที่ว่าใช้สิทธิ์ในฐานะแฟน
ยู่ยี่หัวเราะไม่หยุดขณะกดโทรศัพท์ ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก และหัสดินก็เดินเข้ามา
เธอกวาดสายตามองกลับไป เห็นกระเป๋าเสื้อเขาพอดี สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเปิดเผยออกมาบางส่วน แล้วเธอก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคือยาทำแท้ง
เป็นยาที่หัสดินเพิ่งซื้อมา และเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ แต่ไม่ได้เก็บไว้อย่างดี ก่อนที่เขาจะมองตามสายตายู่ยี่ไปจนเห็นว่าเธอมองไปที่ไหน…
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว อารมณ์ขุ่นมัว น้ำเสียงทุ้มลึกและร้อนรน หงุดหงิด…
ยู่ยี่มองเล็กน้อยและดึงสายตากลับมา ราวกับไม่เห็นอะไรเลย
เขาซื้อยาอะไร เขากับใครมีความสัมพันธ์ยังไงกัน มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอ
เธอนำเอกสารวางลงบนโต๊ะ และวางแก้วกาแฟลง ก่อนจะพูดเสียงเย็นชา “เรามาเริ่มพูดถึงรายละเอียดสัญญากันดีกว่าค่ะ”
สีหน้าของหัสดินกลับมาเป็นปกติ ดวงตาลูกพีชเหล่เธอ และเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเกียจคร้าน “ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็น เริ่มรู้สึกหิว เรื่องรายละเอียดสัญญาไว้คุยกันหลังกินข้าวเสร็จแล้วกัน”
คิ้วของยู่ยี่ขมวดขึ้นด้วยความไม่พอใจ แต่เธอก็ยังอดทนไม่ทำอะไร
พนักงานเสิร์ฟนำเมนูอาหารมาให้หัสดิน และเขาก็สั่งอาหารมาสิบกว่าชนิดจนเต็มโต๊ะ
ยู่ยี่แตะเอกสารในขณะที่คิ้วยังคงขมวดอยู่เล็กน้อย “งั้นเริ่มที่ข้อแรกก่อน”
“ขอโทษด้วย ผมไม่ชอบคุยงานระหว่างกินข้าว มันจะกระทบต่อความอยากอาหารของผมได้” หัสดินดื่มน้ำอุ่นและพูด
ยู่ยี่รู้ว่าเขาตั้งใจ และเริ่มรู้สึกทนไม่ได้แล้ว “แต่ตอนนี้เป็นเวลาทำงานของฉัน และไม่ใช่เวลากินข้าว”
“แต่ผมใช่ ฉะนั้นรบกวนคุณยู่ยี่รอหน่อยนะครับ ผมขอไปห้องน้ำก่อน” เมื่อพูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ในห้องเหลือเพียงยู่ยี่คนเดียว เธอยังรู้สึกโกรธอยู่ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะพบว่าเป็นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว
เธอเลิกงานเวลาห้าโมงเย็น ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง แต่อาหารสั่งไปเยอะขนาดนั้น น่าจะต้องใช้เวลาทำอีกประมาณชั่วโมงกว่า
ถ้าเขาตั้งใจจะคุยกับเธอเรื่องสัญญาจริง อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วโมงเลย สองชั่วโมงเธอก็อดทนรอได้
แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่…
เธอก้มหน้าหยิบปากกาออกมาขีดเน้นบนเอกสารเรื่อง การลงชื่อ สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ รายละเอียดที่ต้องคุย โดยใช้ปากกาสีแดงทั้งหมด
หัสดินรู้ถึงความโกรธของยู่ยี่ โดนคนตั้งใจแกล้งแบบนี้ เธอต้องโกรธมากจนอารมณ์เสียแน่
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือ เมื่อเขาเดินกลับเข้ามาในห้อง กลับไม่เห็นเธอแสดงความโกรธเลย