บทที่ 5 บทที่ 12 เข้าพบ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 12 เข้าพบ โดย Ink Stone_Fantasy

‘ถึงคืนชีพให้ลูกชายได้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นลูกชายที่คุณรู้จักนะครับ’

เฉินเหมยห่วนเริ่มเข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดนี้แล้ว

เธอไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นจากบนอกของลูกชาย แต่เขากลับลุกเดินได้ ร่างกายเย็นเฉียบราวกับไม่มีเลือดไหลเวียน แต่เนื้อหนังกลับอ่อนหนุ่มเหมือนคนปกติทั่วไป

เขาไม่พูดจา แต่กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดคนอื่น…ทั้งยังไม่รู้จักคิด เหมือนทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

คนตายที่ยังมีชีวิตอยู่…เฉินเหมยห่วนเริ่มฉุกคิดเรื่องน่ากลัวในหัว

แต่ไม่ว่ายังไง

ยังไงก็ตาม

“ลูกเป็นลูกชายของแม่” เฉินเหมยห่วนประคองใบหน้าของลูกชายด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วพูดเสียงแผ่ว “แม่คลอดลูกมา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ ไม่ว่าลูกจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม…”

จู่ๆ ดวงตาของลูกชายก็กะพริบเล็กน้อย คล้ายได้ยินคล้ายไม่ได้ยินคำพูดนั้น บางทีคงเป็นแค่การตอบสนองตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

แต่เฉินเหมยห่วนคิดว่าลูกชายพยายามสื่อสารกับเธอ เขาแค่ยังปรับตัวกับสภาพแบบนี้ไม่ได้ช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง

“ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ…” เฉินเหมยห่วนพึมพำเหตุผลที่คิดเอาเองเบาๆ “สมองคงได้รับการกระทบกระเทือนเมื่อตอนตกลงมา บางทีคงยังเบลอๆ อยู่ล่ะมั้ง…ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ อย่ากลัวไปเลยลูกแม่ แม่อยู่นี่แล้วนะ”

“ลูกหิวแล้วหรือยัง?”

“ดูลูกสิ สกปรกมอมแมมขนาดนี้”

“อยากดื่มน้ำไหมลูก?”

ไม่ทันไรก็เหมือนย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ เธอต้องคอยดูแลอาหารการกิน การขับถ่าย ไม่มีช่วงไหนคลายกังวลได้เลย เฉินเหมยห่วนนอนกอดลูกชายอยู่บนเตียง พลางลูบศีรษะเขาเบาๆ “นอนซะนะ นอนซะ…”

ทันใดนั้น เฉินเหมยห่วนก็ได้ยินเสียงเปิดประตู!

กู้เฟิง สามีของเธอกลับมาแล้ว

เฉินเหมยห่วนลุกขึ้นนั่งทันที เธอกอดลูกชายแน่น แล้วพูดอย่างกังวลว่า “ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่! ไม่ต้องกลัว แม่จะไม่ยอมให้เขาตีลูกอีก ไม่มีทาง ไม่มีทาง…แม่ไม่ยอม…”

กู้เฟิงปิดประตูบ้าน แล้วถอดรองเท้า เขามองห้องรับแขกแวบหนึ่ง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ พอผ่านไปสักพักถึงได้ตะโกนว่า “ผมกลับมาแล้ว”

เขารู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก

กู้เฟิงต้องลำบากอาศัยเส้นสายมากมาย ถึงออกมาจากสถานีตำรวจได้ เขาก็เคยถามทนายความแล้วด้วย ถึงจะถูกควบคุมตัวตรวจสอบ ก็ชนะคดีได้เช่นกัน ลำพังแค่ข้อมูลนี้ก็ทำให้เขาสบายใจบ้างแล้ว

แต่เขายังมีอีกเรื่องต้องจัดการให้เรียบร้อยด้วยเหมือนกัน ‘เรื่องระหว่างเขาและภรรยาคนปัจจุบัน’ ตอนแรกที่เขาแต่งงานกับเฉินเหมยห่วน เขายังเป็นแค่คนขายโรตีจีนอยู่ในเมืองเท่านั้น

ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะมีลูกชายติดมาด้วยหนึ่งคน แต่ก็นำโชคบางอย่างมาให้เขาด้วยเหมือนกัน ช่วงหลายปีมานี้เขาได้ทำกิจการโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชีวิตความเป็นอยู่จึงดีขึ้นเยอะ แต่งานก็ยุ่งรัดตัวด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญก็คือ เฉินเหมยห่วนถือหุ้นในโรงงานนี้ด้วยเหมือนกัน

 “เหมยห่วน อยู่ไหม? เหมยห่วน?”

กู้เฟิงบีบขมับตัวเองด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “พวกเรามาคุยกันดีๆ ได้ไหม? ผมยอมรับ ผมเคยทุบตีจยาเจี๋ยจริงๆ ผมผิดไปแล้ว แต่ผมไม่เคยคิดจริงๆ ว่าเขาจะทำแบบนี้…คุณก็รู้ มีเด็กคนไหนที่ไม่เคยถูกตีบ้าง? ตอนผมเด็กๆ ก็เคยถูกพ่อตีหนักแบบนี้เหมือนกัน ผมคิดว่านะ พวกเราผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ ผมตีเขา ส่วนคุณก็ไม่ดูแลลูกชายให้เต็มที่ เหมยห่วน เหมยห่วน? นี่คุณฟังอยู่…”

ทันใดนั้นเอง กู้เฟิงก็รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณท้ายทอย เขาได้ยินเสียงดังอื้ออึงในหัว โลกหมุนอยู่พักหนึ่งก็สลบไปทันที

เขาล้มตัวลงไปบนโซฟา สองมือเฉินเหมยห่วนถือไม้นวดแป้งไว้อยู่อันหนึ่ง “ฉัน ฉันจะไม่ยอมให้ปีศาจอย่างแกมาตีลูกชายฉันอีก”

เฉินเหมยห่วนโยนไม้นวดแป้งในมือทิ้งไป ราวกับได้สติกลับมาแล้ว เธอรู้ว่ากู้เฟิงแค่สลบไปเท่านั้น สุดท้ายเธอก็ไม่ได้ตัดสินใจทำเรื่องร้ายแรงที่สุด

เธอรีบพุ่งเข้าไปเก็บข้าวของของตนเองในห้อง ก่อนพาลูกชายออกไปจากบ้านหลังนี้

จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่า ลูกชายที่ตายไปแล้ว ‘ฟื้น’ ขึ้นมาอีก เธอคิดว่าเธอต้องพาลูกชายไปซ่อนตัวก่อน…ชั่วคราว!”

 “เซอร์หม่าครับ ปล่อยกู้เฟิงไปแบบนี้จะดีเหรอครับ?” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถาม

หม่าโฮ่วเต๋อจ้องลูกน้องด้วยอารมณ์เสีย “คุณว่าไงล่ะ? ผมก็ทำได้แค่ขู่เขาเท่านั้นแหละ คุณคิดว่าจะกักตัวเขาได้จริงๆ เหรอ? ถึงแม้พวกเรารู้ดีว่ากู้เฟิงใช้ความรุนแรงในครอบครัว แต่จะทำยังไงได้? นี่ถือว่าเป็นคดีอาญา แล้วผู้รับเคราะห์ล่ะ? เขายังนอนอยู่ที่ทางเหล่าฉิน นายปลุกให้เขาลุกขึ้นมาฟ้องร้องได้ไหมล่ะ?”

 “น่าโมโหจริงๆ!” นายตำรวจหนุ่มอดต่อยมือตัวเองไม่ได้

หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วพูดต่อ “จะว่าไป แม้ว่าหนึ่งในสาเหตุมาจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ผมก็ยังมีเรื่องสงสัย”

 “เซอร์หม่าหมายถึงเรื่องสถาบันสอนพิเศษ?”

 “คนฆ่าตัวตายทั้งห้ารายตกตึกตายทั้งหมด และเรียนในสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้กันหมด…” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผู้เสียชีวิตรายแรก  พวกเรายังไม่สังเกตเห็น รายที่สองที่ตามมา ทางนิติเวชก็บอกว่าเป็นการฆ่าตัวตาย… มาถึงรายที่สาม รายที่สี่…แล้วก็ตอนนี้”

และในตอนนั้นเอง ตำรวจลูกน้องอีกคนก็ถือเอกสารเดินเข้ามา “เซอร์หม่าครับ ทางฝ่ายเทคนิคกู้ข้อความถูกลบจากโทรศัพท์ของกู้จยาเจี๋ยได้แล้วครับ ในนั้นมีข้อความหนึ่งที่ผู้ตายแชตคุยกับผู้ใช้งานบัญชีหนึ่งก่อนฆ่าตัวตายครับ พวกเราลองถามผู้ให้บริการดูแล้ว แต่ไม่ได้ผลครับ”

หม่าโฮ่วเต๋อรีบคว้าเอกสารมาดูคร่าวๆ “เก้าโมง…ที่เดิม? อาจารย์?”

หม่าโฮ่วเต๋อครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจ้องไปทางลูกน้อง แล้วถามว่า “คุณยังจำวิชาวิทย์คณิตสมัย ม.ปลาย ได้ไหม?”

 “อะไรนะครับ?” นายตำรวจหนุ่มสังหรณ์ใจไม่ดี

 “นี่ คุณไปเข้าเรียนสิ”

 “อะไรน่ะครับ?? เซอร์หม่าเห็นว่าผม…ดูเหมาะเหรอครับ?”

 “คุณไม่เหมาะ หรือว่าผมเหมาะเหรอไง?” หม่าโฮ่วเต๋อทำตาค้อน

ก่อนหน้านี้คุณสาวใช้ย้ายลูกโลกจำลองอันหนึ่งออกมาจากห้องเก็บของ

แล้วตอนนี้เจ้าของสมาคมก็กำลังหมุนมันเล่น บนแผนที่ลูกโลกมีจุดเล็กๆ สีแดงกระจุกรวมกันหนาแน่น แน่นอนว่าจุดแสงสีแดงๆ ที่กระจายอยู่นี้ มีเพียงตัวลั่วชิวเองเท่านั้นที่มองเห็น

เพียงแค่ลั่วชิวเข้าใกล้ประตูมิติ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเคยเปิดใช้มันที่ไหนบ้าง แต่โยวเย่ไม่เหมือนกัน เธอจะรู้ก็ต่อเมื่อเคยเจอลูกค้ามาจากที่นั่น

เขาหมุนลูกโลกจำลองไปช้าๆ เรื่อยเปื่อย

“นายท่านคะ เฉินเหมยห่วนพาลูกชายของเธอไปแล้วค่ะ ก่อนจะไปยังฟาดสามีของเธอจนสลบไปอีกด้วย”

“สังคมคงไม่ยอมรับเรื่องคนตายกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งหรอก” ลั่วชิวพูดขึ้นช้าๆ “เธอไม่อยากให้ใครรู้ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ…และคาดเดาได้ไม่ยาก”

ลั่วชิวอดนึกย้อนไปถึงการตกลงแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ได้

ความปรารถนาของผู้หญิงคนนี้ช่างแรงกล้าเหลือเกิน เธอไม่ได้สอบถามรายละเอียดเลยแม้แต่น้อย ตัวลั่วชิวเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน การตกลงแลกเปลี่ยนก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ด้วยประการฉะนี้

เขาส่ายหัว พอฝ่ามือแตะไปบนลูกโลกจำลอง ลูกโลกที่กำลังหมุนอยู่ก็หยุดนิ่ง

ฉับพลันลมหนาวก็พัดโหมให้ประตูสมาคมเปิดออก แล้วตามมาด้วยหมอกควันสีดำ

ในที่สุดหมอกควันสีดำก็ก่อตัวเป็นรูปร่างตรงหน้าลั่วชิว แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแหบพร่าน่ารำคาญของหญิงแก่ดังมา

“ภูตดำหมายเลขสิบแปด เข้าพบนายท่านคนใหม่ค่ะ”

“เธอคือทูตภูตดำตนนั้นที่โยวเย่บอกว่ามีธุระบางอย่างเลยไม่กล้ามาใช่ไหม” ลั่วชิวพยักหน้า พร้อมกับเริ่มสังเกตลูกน้องเก่าแก่ของสมาคมตนนี้

ภูตดำหมายเลขสิบแปดดึงหมวกเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าชวนให้ตกใจ

ใบหน้าแก่ชรา จมูกโตงุ้มราวกับตะขอ เส้นผมสีเทาเงินแต่บางหร็อมแหร็มราวกับหญ้ารกๆ…ลักษณะเหมือนแม่มดแก่ๆ ในเทพนิยาย

“ใช่แล้วค่ะ ข้าน้อยเอง” ภูตดำหมายเลขสิบแปดส่งเสียงหัวเราะฮิๆ ชวนสยอง

ช่วงนี้เจ้าของร้านลั่วได้เห็นตัวประหลาดมามากแล้ว จึงไม่ได้ตกใจกับหน้าตาของภูตดำหมายเลขสิบแปดนัก เขาแค่พยักหน้าพูดเล็กน้อย “มาพบก็ดีแล้ว เมื่อก่อนทำงานยังไง ตอนนี้ก็ทำงานยังงั้นแหละ”

ภูตดำหมายเลขสิบแปดพยักหน้าน้อมรับ เธอเริ่มมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่คุณหนูของสมาคมที่เธอคุ้นเคยเท่านั้น ยังมีหญิงสาวแปลกๆ อีกคนหนึ่ง…แถมยังไม่ใช่ทูตภูตดำด้วย

“คุณฉินคนนี้จะอยู่ที่นี่ชั่วคราวนะ”

“ข้าน้อยรับทราบค่ะ” เดิมเธอคิดจะก้มหัวทักทายฉินชูอวี่ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลย เธอครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา แล้วจ้องอีกคนหนึ่งอย่างแปลกใจ

ควรจะพูดยังไงดีล่ะ?

เจ้าตัวที่ถูกมัดห้อยอยู่บนฝ้าเพดานดูแปลกชอบกล

“นี่คือไท่อินจื่อ ยังไม่มีหมายเลข” ลั่วชิวพูดส่งๆ ไป “อืม…ก็อย่างที่เธอเห็น เขามีงานอดิเรกแปลกๆ อยู่บ้าง”

ภูตดำหมายเลขสิบแปดพยักหน้า แล้วก็จำงานอดิเรกที่ไม่ธรรมดาพวกนี้เอาไว้ในใจ…ยังไงดูจากลักษณะแล้ว เธอก็เข้าใจได้ว่าที่เรียกว่างานอดิเรกแปลกๆ คืออะไรกันแน่

ไท่อินจื่อเงียบไปนาน ก่อนเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แล้วมองคุณสาวใช้ผู้มีใบหน้าสวยราวกับหยกด้วยความสลดถึงที่สุด ก่อนคอตกด้วยความเศร้าสร้อย

ไม่ใช่แบบนั้น…จริงๆ นะ…

ไท่อินจื่อคิดว่าชีวิตอย่างภูตดำมีเกียรติได้หายไปในพริบตา ตอนนี้เขาแค่รู้สึกว่าชีวิตภูตดำของตนเองช่างเต็มไปด้วยความด่างพร้อยเสียจริง

แต่เดิมพวกภูตดำก็พบปะพูดคุยกันน้อยมาก ด้วยเพราะรับผิดชอบดูแลคนละพื้นที่ ภูตดำหมายเลขสิบแปดก็แค่มองเขาเท่านั้น และไม่ได้คิดจะไปสนใจ เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้า แล้วหงายฝ่ามือที่มีการ์ดสีขาวหลายใบบนนั้น

“นายท่าน นี่เป็นข้อมูลของลูกค้าที่ข้าน้อยรวบรวมมาได้ช่วงนี้ค่ะ”

เดิมทีเธอตั้งใจรวบรวมมาเป็นพิเศษเพื่อแสดงการอวยพรต่อนายท่านคนใหม่ เพียงแต่เธอยังไม่ทันได้ส่งมอบให้ โยวเย่ก็สั่งให้ไปทำหน้าที่อื่น เธอจึงได้แต่เก็บเอาไว้ก่อน

ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ย่อมต้องรีบฉวยโอกาสแสดงฝีมือให้ดีๆ โดยการส่งมอบให้ตั้งแต่วินาทีแรกที่พบหน้า ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้ระบุจุดเปิดประตูมิติแห่งใหม่

ถึงแม้ว่าคุณสาวใช้จะบอกว่าผู้รับใช้ไม่ควรเสนอขึ้นก่อน แต่ผู้รับใช้ก็น่าจะฉวยโอกาสแสดงความตั้งใจทำงานของตนต่อหน้านายท่านได้อยู่ล่ะมั้ง?