ตอนที่ 689 ฆ่าคน
รอยยิ้มของหนิงจื่อเย่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความอ่อนโยน หลังจากที่นางยอมรับแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “อวี้อาเหรา เจ้าไม่สงสัยแม้แต่น้อยเลยหรือว่าทำไมเขาจึงได้ปฏิบัติต่อเจ้าไม่เหมือนคนอื่น ข้าเชื่อว่าเจ้าฉลาด ไม่คิดว่าเจ้าจะไม่สังเกตเห็น เขาไม่เคยเข้าใกล้คนอื่น เมื่อก่อนก็ไม่เคยเข้าใกล้คุณหนูรองหลิงตัวจริงเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเจ้ากลายมาเป็นคุณหนูรองหลิงแล้ว เขากลับตั้งใจที่จะเข้าใกล้เจ้า เรื่องนี้ เจ้าก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยหรือ”
ใช่แล้ว! เมื่อเขากล่าวขึ้นมาเช่นนี้ อวี้อาเหรายิ่งคิดเช่นนั้น ก็ยิ่งเห็นว่าเขานั้นปฏิบัติกับนางไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ จะมีใครรับกระบี่แทนนางที่ภูเขาวั่วซานหรือไม่?
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ จะมีใครยอมสูญเสียลมปราณเพื่อนางหรือไม่?
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ จะมีใครเข้ามาชิดเชื้อนางได้ถึงเพียงนี้หรือ?
หากเป็นเพราะชอบ ก็มีเรื่องผิดปกติไปหน่อย จำได้ว่ายามที่นางสวมร่างเข้ามา หลังจากนางกลับมาถึงจวนหลิงอ๋องแล้ว เขาก็เข้ามาใกล้ชิดในทันที ยามนั้นเขาบอกว่าเป็นเพราะฮ่องเต้บอกให้เขามาช่วยตรวจอาการให้ เขาควรจะเป็นคนเย็นชาแสนหยิ่งผยองมากกว่า ไม่ควรจะเข้ามาหานางด้วยตัวเองด้วยเรื่องเล็กน้อย เช่นเรื่องการดื่มยาอะไรต่างๆ เลย
ในสายตาของเขา เมื่อปประเมินตามชื่อเสียงของนางก่อนหน้านี้ อย่างไรก็คงไม่มองนางอยู่ในสายตาแน่
แต่ทำไมถึง…
เพราะฉะนั้นเขาต้องมีความลับซ่อนอยู่แน่ๆ
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดถึงจุดมุ่งหมายของเขามาก่อน แต่เพราะนางขี้เกียจที่จะคิดแล้ว ทว่าเมื่อถูกหนิงจื่อเย่กล่าวเตือนในครั้งนี้ เรื่องราวมากมายก็ราวกับว่ากำลังจะถาโถมเข้ามาหา
น้ำเสียงของหนิงจื่อเย่ตัดบทความคิดของนางลง “เจ้าอย่าเพิ่งคิดถึงเหตุผลว่าทำไมฉู่ป๋ายถึงต้องทำดีกับเจ้า ตอนนี้มาช่วยข้าก่อน”
“ข้าจะไม่ยอมฆ่าคนแน่!” อวี้อาเหราเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หนิงจื่อเย่หัวเราะออกมา “ในสายตาของเจ้า เรื่องของข้านั้นเป็นเรื่องที่จะต้องฆ่าคนเสมอหรือ?”
อวี้อาเหราปรายตามองเขาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็เขาเป็นใครกันเล่า เขาเป็นถึงเจ้าสำนักเม่ยเก๋อ เป็นกลุ่มที่สร้างขึ้นมาเพื่อสังหารคนโดยเฉพาะ หากคนอื่นได้ยินเข้า หากไม่คิดว่าเป็นเรื่องการสังหารแล้วจะเป็นเรื่องอะไร?
หนิงจื่อเย่ชะงัก จ้องมองท่าทีของนางอย่างพิจารณา “ข้าก็ไม่คิดหรอก เจ้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ จะไปฆ่าใครได้กัน ก็คงจะได้ตายไปพร้อมกันนั่นแหละ คนของข้ายังมีฝีมือมากกว่าเจ้ามาก ข้าไม่โง่ถึงขนาดที่จะส่งเจ้าไปฆ่าคนหรอกน่า”
อวี้อาเหราหมดคำจะพูด เหตุใดถึงไม่คิดตั้งแต่ตอนที่จะให้นางไปฆ่าฉู่ป๋ายเสียตั้งแต่แรกเล่า ทำไมตอนนี้ถึงเพิ่งคิดขึ้นมาได้ แม้ว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น ก็ช่วยไว้หน้านางหน่อยมิได้หรืออย่างไร?
หนิงจื่อเย่เปลี่ยนเรื่องพูด เขาพลิกมือแล้วพูดว่า “เจ้ารีบไปหาจวินจื่อหร่าน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็เหมือนลงเรือเดียวกับพวกเราแล้ว เขามีประโยชน์ต่อพวกเรามาก”
“เจ้าคิดว่า…” อวี้อาเหราเข้าใจถึงงความตั้งใจของเขาในทันที
จวินจื่อหร่านนั้นเกลียดชังจวินอู๋เหินเข้ากระดูกดำอยู่แล้ว เพราะเขาต้องการที่จะแย่งตำแหน่งรัชทายาท ความเกลียดชังนี้ยังไม่หายไป แม้กระทั่งตอนนี้ เพราะอย่างนั้นแล้วหนิงจื่อเย่ต้องการที่จะยืมมือของนาง เพื่อที่จะร่วมมือกัน
เพียงแต่…
อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้น “แต่จวินจื่อหร่านก็เหมือนกับน้ำมันที่เติมในเชื้อเพลิง เขาจะไม่ทำลายทั้งหมดจนเสียการหรืออย่างไร?”
“สำหรับคนอื่นก็อาจจะใช่ แต่เป้าหมายในครั้งนี้เป็นจวินฉางอวิ๋น แน่นอนว่าเขาเองจะต้องให้ความสำคัญแน่ แน่นอนว่าจะต้องไม่ทำอะไรส่งเดช หากไม่สำเร็จ แน่นอนว่าก็สามารถที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้เขาได้” ยามที่หนิงจื่อเย่พูดขึ้นมา แม้ว่าท่าทีจะดูนิ่งเฉย แต่กลับพูดเรื่องคาวเลือดขึ้นมาเช่นนี้ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศเสียอย่างนั้น
อวี้อาเหรามองเขานิ่งๆ จ้องมองหนิงจื่อเย่ที่พูดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ก็ช่างกล้าหาญจนน่าหวาดหวั่น เพราะไม่รู้ว่าเขาจะหักหลังนางเมื่อไหร่
ตอนที่ 690 กลิ่นหอม
สายตาของหนิงจื่อเย่ว่างเปล่า “เจ้าไม่ได้เกลียดชังเขาเสียหน่อย ต่อไปเขาอาจจะโยนความผิดเสียทั้งหมดมาให้เจ้าก็เป็นได้ เพราะเจ้าเป็นคนเริ่มเรื่อง เจ้าจะตายหรือเขาตาย เจ้าอยากจะใช้โฉมหน้าเจ้าสำนักเม่ยเก๋อหรืออะไรก็แล้วแต่เจ้า แต่ข้าจะไม่ออกหน้าแน่”
อวี้อาเหรากัดริมฝีปาก ใช่ นางต้องทำให้ตัวเองรอด
ทว่าหนิงจื่อเย่กลับเหมือนมือมืด เขาเอาแต่นั่งมองเท่านั้น ช่างร้ายกาจยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะตอนนี้นางไม่เหลือวิธีอะไรอยู่เลย นางก็จะไม่ร่วมมือกับเขาอย่างเด็ดขาด เขาไม่ใชคนมือสะอาด หากนางเข้าร่วมด้วย ต่อไปก็คงยากที่จะล้างมลทินได้ ร่วมมือกันทำชั่ว นางกลัวว่าจะเป็นเช่นนี้
แต่นางจะมีวิธีอะไรได้เล่า?
อวี้อาเหรากำลังจะถามต่อ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมอง คนที่ยืนตรงหน้าก็หายไปแล้ว
เหลือเพียงแต่ท้องฟ้าที่มืดมัวและต้นไม้ที่ดูโดดเดี่ยวเท่านั้น
ทั่วทั้งบริเวณนั้นมีแต่หิมะจนมองสิ่งอื่นไม่ออก จนแทบจะทำให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นส่องประกาย
อวี้อาเหราวิ่งเข้ามาในห้อง เมื่อเข้ามาแล้วก็เผลอไปชนเข้ากับแจกันดอกไม้จนร่วงลงพื้นทันที เสียงสนั่นดังไปทั่วช่วงเวลากลางคืนอันเงียบสงบ จนทำให้เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้พุ่งเข้ามาอย่างตื่นตกใจ
ทั้งสองมองนางอย่างตื่นตะลึง จากนั้นก็มองไปทางแจกันดอกไม้ที่แตกอยู่บนพื้น กระจายไปทั่วบริเวณ จนต้องจ้องมองนิ่ง
เป็นเจาเอ๋อร์ที่ได้สติขึ้นมาก่อน นางรีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเสื้อผ้าของอวี้อาเหราที่เปียกน้ำ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหนูไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ เหตุใดแจกันถึงแตกได้ บ่าวจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เองเจ้าค่ะ หากสวมเสื้อผ้าเปียกชื้นเกรงว่าจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจึงทำแตก เจ้าไปหาชุดให้ข้าใหม่เถิด” อวี้อาเหราโบกมือ
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสายตาของเมี่ยวอวี้ที่กำลังมองเศษแจกันบนพื้น อีกทั้งบางครั้งก็เงยหน้าขึ้นไปมองทางหน้าต่าง ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ อวี้อาเหรารีบก้าวเข้ามาข้างหน้า แล้วพยายามที่จะเปลี่ยนจุดความสนใจ “เจ้าไปรินน้ำชาให้ข้าที เมื่อครู่นี้ข้าเอาแต่มองไปข้างนอกหน้าต่างเสียเพลิน จนถูกลมพัดหนาวไปหมด”
เมี่ยวอวี้ที่ความรู้สึกเร็วอยู่เสมอ ไหนเลยจะไม่สังเกตเห็น
อวี้อาเหราพูดขึ้น นางจึงค่อยรู้ตัว หลุบตาต่ำลงในทันที “บ่าวจะไปรินน้ำชาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
นางเดินผ่านอวี้อาเหรา ทว่ากลับหยุดฝีเท้าลง แล้วจึงหันกลับมา “คุณหนู เหตุใดร่างของท่านจึงมีกลิ่นหอมประหลาดเล่าเจ้าคะ”
“กลิ่นหอมหรือ?” อวี้อาเหราก้มลงดมอย่างตั้งใจ แล้วพยายามที่จะหาข้องอ้าง “คงจะติดมาจากไหนกระมัง เจ้ารีบไปรินน้ำชามาเถิดไป”
เมี่ยวอวี้ไม่พูดอะไรอีก รีบเดินออกมาในทันที
ยามที่นางเดินออกมานั้น ใบหน้าของอวี้อาเหราก็เคร่งเครียดลงท่ามกลางแสงตะเกียง
กลิ่นหอมนี้คงเป็นกลิ่นติดกายของหนิงจื่อเย่ บนกายของเขานั้นมีกลิ่นเฉพาะตัวของคนในสำนักเม่ยเก๋ออยู่ด้วย
ก่อนหน้านี้ที่ตลาดมืดเองก็เป็นเมี่ยวอวี้ที่ได้กลิ่นนี้ จมูกของนางนั้นช่างไวเสียยิ่งนัก
เมื่อคิดถึงเรี่องที่หนิงจื่อเย่ให้นางไปโน้มน้าวจวินจื่อหร่าน นางก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ทำอย่างนั้นก็เท่ากับสร้างความลำบากให้นางมิใช่หรืออย่างไร?
ตัวเขาไม่กล้าที่จะออกหน้า รู้แต่การใช้คนอื่นบังหน้า ช่างร้ายกาจนัก! ต้องการเพียงนั่งสบายๆ เพื่อรับผลประโยชน์ อย่าคิดว่านางไม่รู้ เมื่อเขาจัดการกับฉู่ป๋ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะลงมืออยู่ดี ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขาก็ทำตามใจตัวเองเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น!
เจาเอ๋อร์หยิบเสื้อผ้ากลับมาแล้ว ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อชุดที่ชื้นเพราะน้ำจากแจกันถูกนำไปซักแล้ว
ผ่านไปไม่นาน เมี่ยวอวี้ก็ชงชาเข้ามาหนึ่งกา แล้วรินให้นาง
นางจิบน้ำชา ชานี้เป็นชาที่หลิงอ๋องมอบให้ ก่อนหน้านี้ ทั้งฉู่เกอและจวินอู๋เหินต่างก็ชมไม่ขาดปาก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ชาดีก็คือชาดี ทว่าเมื่อยามที่ผ่านปากของนางในยามนี้ ก็เปลี่ยนไปเป็นไร้รสชาติเสียแล้ว ไร้ซึ่งความสนใจใดๆ นางเพียงแต่รู้สึกว่าลมด้านนอกช่างหนาวเย็นเหลือเกินก็เท่านั้น