สำหรับตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง อย่างน้อยหากเทียบกับการสืบทอดตระกูลแล้วชีวิตนั้นไม่มีค่าอะไรเลย แม้แต่ชีวิตของผู้นำตระกูลก็ไม่ได้มีค่ามากไปกว่าชีวิตของไก่
อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะแข่งขันด้านกำลังที่แท้จริงกับตระกูลโต้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีกำลังที่แท้จริงตามตำนาน หากไม่ใช่เพราะหลี่ซื่อหมินบีบบังคับ เขาจะรักษาระยะห่างกับตระกูลโต้วให้มากที่สุด หากพบโต้วเยี่ยนซันจะหัวเราะหน้าบานเข้าทักทาย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเจ้าภาพเชิญเขาไปกินดื่มอะไรทำนองนั้น
มีใครชอบสร้างศัตรูที่ทรงพลังให้ตนเองบ้าง มีความกล้าที่จะฟันฝ่าไปพร้อมกับฟ้าดิน ยินดีที่จะฟันฝ่าไปกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ นั่นคือแนวคิดท่านประธานเหมา เรื่องที่ยากลำบากอย่างที่สุดเช่นนี้ก็ควรปล่อยให้ท่านประธานเหมาเขารับหน้าที่ไปทำดีกว่า อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่อยากเสพสุขกับชีวิตที่บ้าน ดูแลท่านย่าให้ถึงบั้นปลายของชีวิต ให้บรรดาน้องสาวแต่งงานออกไปอย่างมีเกียรติ ตนเองให้กำเนิดลูกสองสามคน หากไม่มีอะไรทำก็อยู่บ้านเล่นกับเด็กๆ ดีกว่าการแลกชีวิตต่อกรกับตระกูลโต้วที่ยิ่งใหญ่เป็นไหนๆ
ไม่มีทางที่จะหลบและหลบไม่ได้ด้วย หลี่ซื่อหมินกำลังรอให้อวิ๋นเยี่ยกลับมาริเริ่มเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้อวิ๋นเยี่ยยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเขาก็ไม่กล้าถามเผยอิง ดูเหมือนครอบครัวเขาจะทอดทิ้งเขาแล้ว มาถึงสำนักศึกษาโดยไม่มีผู้ติดตามเลยแม้แต่คนเดียว ปล่อยให้เผยอิงซ่อนตัวรอความตายเพียงลำพังอยู่ในสำนักศึกษา
หัวใจของคนตระกูลใหญ่ทำจากหิน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทำการแลกเปลี่ยนอะไรกับตระกูลเผย สรุปแล้วเผยอิงถูกทอดทิ้ง นอกจากตระกูลโต้วที่ต้องการจับเขาทำซาลาเปาไส้เนื้อกินแล้ว ไม่มีใครห่วงใยความเป็นความตายของเขา
ตัวเขาเองดูเหมือนก็จะยอมรับชะตากรรมแล้ว นอนอยู่บนเตียงและมองไปที่หลังคาโดยไม่กะพริบตา อวิ๋นเยี่ยหยิบซาลาเปาสองสามลูกกับโจ๊กหนึ่งชามมาส่งให้เขา ใช้เท้าเตะไปสองครั้งเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่แววตากลับตายด้าน
“หลายวันนี้เจ้าก็อยู่ที่นี่ก่อน หากรู้สึกเบื่อก็หาหนังสือมาอ่าน เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับหลักสูตรของสำนักศึกษา ต้องเรียนปรับพื้นฐานก่อนโดยเฉพาะศาสตร์การคำนวณ ซึ่งสำหรับเจ้าแล้วเป็นโลกใหม่ที่เจ้ายังไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
อวิ๋นเยี่ยส่งซาลาเปาให้เขาและพูดอีกว่า “ที่ที่เจ้าอยู่ตอนนี้เป็นคุกใต้ดินของสำนักศึกษา เจ้ารู้หรือไม่ว่านักเรียนทุกคนในสำนักศึกษาต่างก็กลัวที่จะมาที่นี่มากที่สุด พวกเขายินดีโดนโบยมากกว่าที่จะต้องมาที่นี่ ถ้าเจ้าอยู่แล้วไม่คุ้นเคยก็ให้พวกเขาเปลี่ยนห้องให้เจ้าได้ แม้ว่าที่นี่จะปลอดภัย แต่อยู่นานไปอาจจะเป็นโรคเอาได้”
“พี่อวิ๋น ข้าชอบที่นี่มาก จริงๆ นะ ชอบมันมาก ข้าอยากจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต ข้าชอบความเงียบสงบของที่นี่เอามากๆ”
ดูออกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง ประโยคสั้นๆ เขาใช้คำว่า “ข้า” สามคำติดต่อกัน พิสูจน์ได้ว่าเขาชอบคุกใต้ดินจริงๆ อวิ๋นเยี่ยตบไหล่เขาเบาๆ จึงปิดประตูและเดินออกไป มื้ออาหารของเขาทำในโรงอาหารย่อย เป็นอาหารแบบเดียวกับหลี่ไท่และหลี่เค่อกินและก็ผ่านการทดสอบเช่นเดียวกัน อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการให้เขาตายที่นี่โดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย
จากนั้นก็ปีนขึ้นหอเก็บน้ำอีกครั้งและถามหลี่ไท่ “ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเดินออกไปกี่ครั้งแล้ว”
“หกครั้ง แต่เขาก็ยังดูเหมือนไม่เต็มใจยอมแพ้ ตอนนี้นั่งกินข้าวอยู่ในร้านเล็กๆ ของอิงเหนียง เมื่อพักผ่อนได้สติเต็มที่แล้วก็จะกลับมาอีก”
หลี่ไท่ชื่นชอบมากที่สุดก็คือการสอนโดยใช้คนจริงเช่นนี้ การให้คนแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด
ทันใดนั้นเขาก็ถามอวิ๋นเยี่ยขึ้น “เสี่ยวเยี่ย ถ้าข้าไม่สามารถทำลายเขาวงกตนี้ได้ ข้าจะเจาะทะลุกำแพงหรือขุดเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดินเข้ามา แล้วสุดท้ายเจ้าก็แพ้อยู่ดี”
“โอ้ แล้วทำไมเจ้าไม่ลองไปทำดู เห็นได้ชัดว่าโต้วเยี่ยนซันฉลาดกว่าเจ้า ทำไมเขาถึงไม่เลือกทั้งสองทางนี้ แน่นอนย่อมต้องมีเหตุผลอยู่ อย่าพูดเรื่องเจาะกำแพงเลย รอบสำนักศึกษาก็ไม่ได้ปิดตายเสียหน่อย เขาจะเข้ามาในสำนักศึกษาจากตรงไหนก็ได้ ทำไมถึงต้องพยายามคิดจนหัวแทบระเบิดก็ต้องฝ่าเขาวงกตให้ได้ ลองคิดให้ดีๆ แล้วค่อยพูด”
ทันใดนั้นกงซูมู่ที่หลับตาอยู่ก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวไท่ เจ้าไม่ต้องคิดถึงเรื่องเจาะกำแพง แล้วก็ไม่ต้องคิดเรื่องขุดอุโมงค์แล้ว ทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เป็นเส้นทางแห่งความตาย เมื่อตอนที่กำแพงถูกสร้างขึ้นก็ได้คำนวณถึงปัญหานี้แล้ว เพียงแค่ทำให้กำแพงด้านใดด้านหนึ่งพังลง กำแพงทั้งหมดจะพังถล่มลงมาด้วย ดังนั้นใครก็ตามที่เจาะกำแพงก็มีแต่ตายเท่านั้น นอกจากนี้กำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยหินที่เหลือจากการสร้างอาคาร เพียงเวลาชั่วขณะหนึ่งไม่สามารถเจาะทะลุได้ เว้นแต่ว่าเจ้าจะใช้ซุงพังกำแพงเมืองจึงจะได้ ส่วนเรื่องการขุดอุโมงค์ใต้ดิน เจ้าลองตรองดูให้ดี”
อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองกงซูมู่ ตาเฒ่านี่นับว่าเป็นห่วงเป็นใยหลี่ไท่อย่างมาก ดูท่าทีแล้วมีแนวโน้มที่จะรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิ
หลี่ไท่ก็ไม่พูดอะไร ก้มหน้าครุ่นคิด
โต้วเยี่ยนซันก็คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง เขาทำเครื่องหมายไว้ทุกๆ ทางแยกแล้ว เขาเดินลอดอุโมงค์ทางเดินครบทุกเส้นไม่มีตกหล่น ทุกครั้งเมื่อเขาคิดว่าเขาพบเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว แต่สิ่งที่รอต้อนรับเขาก็คือประตูทางออกของสำนักศึกษา
นั่งดื่มเหล้าข้าวเหนียวหมักที่องครักษ์นำมาให้หนึ่งคำด้วยความเมื่อยล้าอยู่ด้านนอกประตู เห็นสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจขององครักษ์สำนักศึกษาจึงถามว่า “มีใครเคยทำกลไกของอันนี้ได้บ้างหรือไม่”
“เรียนคุณชาย ก่อนที่คุณชายจะมา โหวเหยียของพวกเราเพิ่งเข้าไปจากที่นี่ แล้วก็พาคนไปอีกคนหนึ่ง” องครักษ์พูดทุกอย่าง
“โหวเหยียของพวกเจ้าใช้เวลานานเพียงไหน” โต้วเยี่ยนซันรู้ดีว่าคนที่พาเข้าไปจะต้องเป็นเผยอิง แต่เขาไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว ตอนนี้แค่อยากรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้เวลานานแค่ไหนในการทำลายกลไกนี้
“โหวเหยียออกมาทั้งหมดสามครั้งและครั้งที่สี่ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น”
หัวหน้าองครักษ์ของตระกูลโต้วโวยวายขึ้นทันที “คุณชาย เขาเป็นกรรมการของสำนักศึกษา แน่นอนว่าต้องรู้ว่ากลไกอยู่ที่ไหน แต่ท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย แน่นอนว่าจึงต้องใช้เวลานาน พวกเราไม่ต้องทำลายกลไกบ้าๆ อะไรนี่แล้ว บุกเข้าไปเดี๋ยวนี้เลยดูว่าพวกเขาจะทำอะไรเราได้”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของโต้วเยี่ยนซันก็ตบเข้าให้ที่หน้า หัวหน้าองครักษ์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็พูดต่อองครักษ์คนอื่นว่า “ชื่อเต็มของสำนักศึกษาแห่งนี้คือ “สำนักศึกษาหลวงอวี้ซัน” ซึ่งก็หมายความว่านี่เป็นสถานที่ของราชวงศ์ หากมีใครกล้าคิดทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระอีกจะถูกลงโทษตามกฎตระกูล”
ทุกคนตื่นตระหนก เพราะกฎของตระกูลโต้วไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถรับไหว โทษเบานั้นเนื้อหนังฉีกขาด โทษหนักถึงขั้นกระดูกหัก นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมคนในตระกูลโต้วมีหลายพันคนแต่กลับมีคุณชายจอมเสเพลอยู่น้อยมาก เนื่องจากคุณชายเล็กได้รับความเอ็นดูเป็นอย่างมากจากผู้ใหญ่ในตระกูล ทุกคนล้วนแล้วแต่ปิดตาข้างหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้เขามีนิสัยที่บ้าอำนาจเอาแต่ใจซึ่งในที่สุดก็นำมาซึ่งความหายนะ ตอนนี้ได้ยินคำตักเตือนของโต้วเยี่ยนซัน ย่อมต้องน้อมกายรับคำเป็นธรรมดา
องครักษ์ของสำนักศึกษาเอ่ยปากขึ้น “เมื่อครู่พี่ชายท่านนั้นถูกตบไปหนึ่งฝ่ามือก็สมควรแล้วจริงๆ โหวเหยียของพวกเราเพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่มาสำนักศึกษา อาจารย์กงซูจึงเตรียมไว้ที่จะทำให้โหวเหยียต้องลำบากเล่น แน่นอนว่าต้องไม่บอกความลับข้างในให้โหวเหยียรู้ แม้แต่ข้าน้อยเองก็ถูกเว่ยอ๋องกำชับอย่างดุดันว่าห้ามเปิดเผยข้อมูลใดๆ แม้แต่น้อย ข้าน้อยขอใช้ศีรษะรับประกัน โหวเหยียไม่รู้อะไรเลยสักนิด เข้าไปโดยพึ่งพาทักษะที่แท้จริงที่มีอยู่ ถ้าไม่เชื่อ ท่านสามารถถามอาจารย์หลี่กังได้ ท่านเป็นผู้ที่เถรตรงที่สุด คาดว่าจะไม่หลอกลวงทุกท่านแน่”
โต้วเยี่ยนซันที่เมื่อครู่ยังเริ่มคิดสงสัยอยู่ เมื่อได้ยินองครักษ์พูดเช่นนี้ ความสงสัยก็สลายไปสิ้น เขาสามารถสงสัยในความรู้ของอาจารย์หลี่กัง แต่กลับไม่สงสัยในการวางตนของหลี่กังเลย หลี่กังใช้เวลากว่าค่อนชีวิตในการสร้างคุณสมบัติเฉพาะตัวที่มั่นคงชัดเจน
โต้วเยี่ยนซันนึกได้ทันทีว่าทำไมตนเองจึงต้องมาแข่งประชันปัญญาอะไรกับสำนักศึกษาอยู่ที่นี่ด้วย เพียงแค่กลับเข้าวังไปขอราชโองการจากไท่ซั่งหวงเพียงฉบับเดียว แม้อวิ๋นเยี่ยจะใจกล้าบ้าบิ่นเพียงไรก็ต้องไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เป็นปัญหาแล้ว ถ้าไปที่วังในตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยจะพูดกับคนทั้งฉางอันว่าตระกูลโต้วไม่สามารถทำลายกลไกของสำนักศึกษาได้ จึงต้องพึ่งพาอำนาจมาแย่งชิงคนไป ยังจะถือว่าเป็นตระกูลใหญ่เชื้อพระวงศ์ที่เป็นทายาทแห่งผู้มีการศึกษาอะไรกัน การสืบทอดหลายพันปีที่ผ่านมาก็คือการสืบทอดการกดขี่ประชาชนหรือ
แย่แล้ว ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าประตูไป สถานการณ์ของเรื่องนี้ก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่ตระกูลเป็นฝ่ายถูกดูหมิ่นกลายเป็นผู้ที่มาสำนักศึกษาเพื่อหาเรื่องและท้าทายศักยภาพด้านความรู้ของสำนักศึกษาไปแล้ว
ตั้งแต่ที่ตนเองปรากฏตัวขึ้นจนถึงปัจจุบันได้ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะได้เดินเข้าไปติดกับดักที่คนอื่นจงใจวางไว้ น่าสมเพชตัวเองที่เห็นมันเป็นเพียงการละเล่นเด็กๆ ว่าตนเองสามารถทำลายเขาวงกตของสำนักศึกษาง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ ใครรู้ว่าเสียเวลาอยู่สองชั่วยาม ตัวเองก็ยังทำอะไรไม่ได้ ไม่สามารถทำลายปริศนาได้ก็เข้าไปในสำนักศึกษาไม่ได้ ประตูนี้ใหญ่บานนี้ก็คือหินก้อนใหญ่ที่กีดขวางบนเส้นทางการล้างแค้นของตระกูลโต้ว
มันก็สายเกินไปแล้วที่จะเสียใจภายหลัง สำนักศึกษาได้ทำลายกำแพงกั้นเป็นช่วงระยะหนึ่งในบริเวณใกล้ๆ อีกด้วย นักเรียนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมอาจารย์ พากันล้อมโต้วเยี่ยนซันชนิดที่น้ำยังไม่อาจไหลผ่านได้ ส่งเสียงจ้อกแจ้กถามกันว่าเขาจะหาวิธีทำลายปริศนาได้หรือไม่ ตนเองได้วางเดิมพันไปหมดแล้วด้วย
“พี่ชาย เจ้าทำลายปริศนาได้หรือยัง ข้าได้วางเดิมพันตั๋วมื้ออาหารห้าร้อยเหวินว่าเจ้าจะชนะ ห้ามแพ้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอีกครึ่งเดือนที่เหลือข้าคงได้แต่กินหมั่นโถวแล้ว” หลี่ไท่มองดูลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยแววตาที่ชื่นชมนับถือ สีหน้าน่าขยะแขยง ท่าทางน่าเกลียด
ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาจากด้านหลัง โต้วเยี่ยนซันก็รู้ว่าเขาพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ขี่ม้าเหล่านั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไปฉางอันเพื่อป่าวประกาศเรื่องนี้ คิดว่าใช้เวลาไม่นานคนทั่วทั้งเมืองฉางอันก็จะรู้ว่าตระกูลโต้วต้องการท้าทายสำนักศึกษาอวี้ซัน สำหรับเรื่องที่น่าสังเวชของน้องชายตนคงจะไม่ถูกใครกล่าวถึงอีก ใต้หล้านี้ก็เพียงแค่มีขันทีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนเท่านั้น แล้วตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมานับพันปีจะมีแรงกระตุ้นมาจากสิ่งใดจึงคิดจะท้าทายสำนักศึกษาอวี้ซันที่เพิ่งก่อตั้งไม่นานกัน
โต้วเยี่ยนซันกำสองหมัดแน่นจนข้อต่อกลายเป็นสีขาว เขากัดฟันพูดว่า “ตระกูลโต้วจะต้องทำลายปริศนาแล้วลากตัวฆาตกรที่ทำร้ายน้องชายข้าออกมาฉีกเป็นหมื่นๆ ชิ้น โต้วเยี่ยนซันนั้นไร้สามารถด้อยสติปัญญา ข้ายอมรับว่าตนเองทำลายปริศนานี้ไม่ได้ แต่ไม่เชื่อว่ากลไกปริศนาเล็กๆ นี้จะสามารถขัดขวางการแก้แค้นของตระกูลโต้วได้ เผยอิง เจ้าฟังให้ดี วันนี้จะปล่อยให้เจ้าได้หายใจอีกวัน พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาอีก” พูดจบก็ผลักฝูงชนออกไป ขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังฉางอัน
อวิ๋นเยี่ยก้าวออกมาจากร้านของอิงเหนียง มองดูแผ่นหลังของโต้วเยี่ยนซันอย่างหม่นหมอง ตระกูลใหญ่เต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถจริงๆ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค ก็บีบให้สำนักศึกษาต้องเดินเข้าทางตัน บนโลกนี้ไม่มีปริศนาอะไรที่ทำลายไม่ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป โต้วเยี่ยนซันยอมรับว่าเขาพ่ายแพ้และยอมรับว่าอย่างเปิดเผยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทั้งยังกล่าวย้ำว่าเขาไม่ได้อิจฉาความรู้ของสำนักศึกษา แต่เพราะสำนักศึกษาถือหางฆาตกรที่ทำร้ายคน ตระกูลโต้วจึงจำต้องรับคำท้า ถึงตอนนั้นสำนักศึกษาก็จะไม่มีข้ออ้างมาขัดขวางการล้างแค้นของพวกเขาได้ แผนการที่หลี่ซื่อหมินวางไว้ก็ล้มเหลว แม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะยังไม่รู้ว่าแผนของหลี่ซื่อหมินคืออะไรกันแน่
ฉันควรจะเปลี่ยนอักษรเจ็ดตัวของคำว่า “ท่ามกลางสามคนต้องมีอาจารย์ของเราอยู่สักคน” เป็นตัวเลขหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ดที่น่ารักเจ็ดตัวดีหรือไม่ แล้วหา “เลขหนึ่งที่หายไป” กลับคืนมา ให้กลายเป็นรหัสลับเจ็ดตำแหน่ง หากคิดจะถอดรหัสด้วยมือ ตระกูลโต้วคงต้องสืบทอดให้ลูกหลานอีกสักสองรุ่นจึงจะถอดรหัสสำเร็จ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอาย อย่างน้อยตอนนี้ก็ไร้ยางอายเป็นอย่างมาก