ประกาศพระราชโองการ

 

 

 

ไม่เอ่ยถึงแผนการของสวีโย่ว พูดถึงฝั่งเสิ่นเวยบ้าง เช้าวันที่สองตื่นขึ้นมาก็นึกเรื่องที่สวีโย่วมาหาเมื่อคืน รู้สึกเหมือนฝันไม่ใช่ความจริงแม้แต่นิดเดียว

 

 

นึกไม่ถึงว่าสวีโย่วคิดจะสู่ขอนาง จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเสิ่นเวยน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ด้วยฐานะของนาง ขอบเขตการสมรสไม่ได้ครอบคลุมคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง แม้จะบอกว่าแต่งกับตระกูลสูงได้ดี แต่สวีโย่วสำหรับนางแล้วก็ออกจะสูงไปหน่อย หากนางเป็นบุตรสาวคนโตของจวนจงอู่โหวก็ยังพอคู่ควร แต่บุตรสาวบ้านสามกลับเทียบไม่ได้เลยแม้แต่นิด

 

 

แม้จะบอกว่าเสิ่นเวยเข้าใจกระจ่าง แต่หากเกิดขึ้นจริงๆ เล่า หากสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นเป็นบ้าขึ้นมาเล่า เสิ่นเวยอกสั่นขวัญแขวนอยู่หลายวัน กระทั่งยังส่งเด็กรับใช้ไปสอดส่องที่ประตูใหญ่ ดูว่ามีคนมาสู่ขอที่บ้านหรือไม่

 

 

หลายวันผ่านไปจวนโหวไม่มีแขกมาเยี่ยม เสิ่นเวยจึงวางใจลง พักฟื้นต่ออย่างสบายใจ

 

 

นางไปเยี่ยมเยวี่ยกุ้ยรอบหนึ่ง เยวี่ยกุ้ยบาดเจ็บหนักยิ่งกว่านาง บาดแผลของนางล้วนอยู่ข้างนอก แต่เยวี่ยกุ้ยกลับได้รับบาดเจ็บภายใน หากไม่ได้พักฟื้นหนึ่งถึงสองปีก็ไม่มีทางดีขึ้น โชคดีที่เสิ่นเวยเป็นนายที่ใจกว้างเมตตา นำหมอดียาดีมาให้ ทั้งยังปลอบนางว่าแม้ชีวิตนี้จะไม่หายก็ไม่อาจทอดทิ้ง

 

 

เยวี่ยกุ้ยเช็ดน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง หากเป็นนายคนอื่นนางคงไม่รอดแล้ว มีเพียงคุณหนูที่ยอมจ่ายเงินเพื่อรักษานาง คนอื่นไม่บอกนางก็รู้ดีว่าน้ำแกงยาที่นางกินทุกวันใช้เงินมากน้อยเพียงใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาบำรุงที่ล้ำค่าเหล่านั้น นี่ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่สาวใช้คนหนึ่งควรได้รับ ขณะที่นางซาบซึ้งในใจก็ยังหวาดกลัว กลัวว่ารักษาไม่หายแล้วคุณหนูจะทอดทิ้ง ตอนนี้ได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ ความกังวลในเบื้องลึกจิตใจนางก็หายไปแล้ว

 

 

แม้นางจะเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่ง แต่ชะตาชีวิตนางก็ดี ได้พบเจ้านายที่ดี

 

 

อ้อ เรือนเฟิงฮวายังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเหล่าสาวใช้เกิดการนิยมการใช้กำลังขึ้นมา ในนั้นเหอฮวา เถาจือข้างกายเสิ่นเวยขยันที่สุด ยามอิ๋นของทุกวันจะตื่นมาฝึกทหารกับเหล่าเด็กหนุ่มทหารคุ้มกันเรือน รวบรวมกำลังทั้งหมดต้องการฝึกยุทธ์ให้ดี อย่างน้อยก็ไม่อาจเป็นตัวถ่วงคุณหนูได้อีก

 

 

ผ่านไปไม่กี่วัน พวกนางทั้งสองก็ผอมลงไปมาก แต่คนกลับมีกำลังวังชาไม่น้อย เสิ่นเวยทำได้เพียงตามใจพวกนาง

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องแห่งจวนจิ้นอ๋องกำลังสนทนาแฝงความนัยกับคุณชายใหญ่อยู่ “ชั่วพริบตาคุณชายใหญ่ก็อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว น้องรองน้องสามของเจ้าก็แต่งงานมีลูกแล้ว แม้แต่น้องสี่ของเจ้าก็ดูตัวแล้ว คุณชายใหญ่ยังไร้คนเคียงคู่ ทุกครั้งที่นึกถึงข้ากับพ่อของเจ้าก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ข้าปรึกษากับพ่อเจ้าแล้ว ถือโอกาสตอนที่ดูตัวให้น้องสี่ของเจ้า หาภรรยาที่ถูกใจให้เจ้าพร้อมกันเสียเลย คุณชายใหญ่ว่าอย่างไร”

 

 

สวีโย่วสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้องหรอก อย่าทำร้ายสตรีตระกูลอื่นอีกเลย”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องยิ้ม “ดูคุณชายใหญ่พูดเข้า ทำร้ายไม่ทำร้ายอะไรกัน พวกเรามีฐานะเช่นไร สามารถแต่งเข้ามาในจวนจิ้นอ๋องได้ล้วนแต่เป็นวาสนาที่บรรพบุรุษของพวกนางสั่งสมไว้ สองปีมานี้สุขภาพของเจ้าก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่ต้องคุยเรื่องแต่งงานได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ค่อยมีทายาทเพิ่ม ข้ากับพ่อของเจ้าก็วางใจแล้ว ร้อยปีหลังจากนี้ได้พบพี่สาวก็จะได้มีคำตอบให้นางแล้ว”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าซับหางตา ในดวงตาที่หลุบลงของสวีโย่วมีความเหยียดหยามแวบผ่าน เขามีทายาทได้หรือไม่นายหญิงจวนจิ้นอ๋องเช่นนางจะไม่รู้เชียวหรือ

 

 

สวีโย่วยังคงเย็นชา “ทำให้พระชายาทุกข์ใจแล้ว แต่ลูกก็ยังคิดว่าไม่จำเป็น”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวตำหนิอย่างเอ็นดู “เจ้าน่ะ เลิกดื้อรั้นได้แล้ว คำพูดของพระอาจารย์ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป ก่อนหน้านี้สตรีสามตระกูลนั้นก็แค่บังเอิญเท่านั้นเอง พวกนางทำบุญมาน้อย จะโทษเจ้าได้อย่างไร ครั้งนี้ พวกเราตรวจสอบให้ดี เลือกคนที่ดวงชะตาดี รูปโฉมความสามารถยอดเยี่ยม จะต้องหาคนดีๆ ให้คุณชายใหญ่ได้แน่นอน”

 

 

นางเห็นสวีโย่วไม่พูดจึงกล่าวราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ก่อนหน้านี้ข้ารับลูกผู้น้องสามคนของเจ้าเข้ามาพักในจวนชั่วคราว ต่างก็เป็นญาติพี่น้องครอบครัวเดียวกัน พวกเจ้าสนิทกันไว้ก็ดี”

 

 

นึกถึงเรื่องที่หลานสาวทั้งสองทำ พระชายาจิ้นอ๋องก็กัดฟันกรอด อย่างไรเสียก็เป็นลูกอนุภรรยา เป็นคนที่พาออกงานสังคมไม่ได้ เป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ว่าเช่นนี้ก็ดี คนโง่แบบนี้จึงจะควบคุมได้ง่าย

 

 

สวีโย่วยังคงหน้าตายเช่นนั้น “พระชายาพักผ่อนเถิด ลูกยังมีงานไม่รบกวนท่านแล้ว” เขาลุกขึ้นคำนับแล้วจึงกลับหลังหันออกไป ไม่ใช่ว่าอยากยัดเยียดหลานสาวให้เขาหรอกหรือ คิดว่าเขาเป็นขอทานหรืออย่างไร เขาไม่อยากเล่นบทเสแสร้งกับซ่งซื่อจริงๆ เป็นเพราะพ่อที่ตาบอดคนนั้นคนเดียวที่โปรดปรานนาง

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องโมโหจนตัวสั่น “แม่นมเจ้าดูสิ เจ้าดู เขามีท่าทางเช่นไร ข้าหวังดีเป็นห่วงเขา แต่เขากลับโมโหสะบัดแขนเสื้อออกไป ยังเห็นพระชายาเช่นข้าอยู่ในสายตาอยู่หรือไม่”

 

 

แม่นมซือรีบโน้มน้าว “พระชายาโปรดระงับโทสะ คุณชายใหญ่ก็เย็นชาเช่นนี้ เขาอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ท่านจะโมโหคนโลกแคบเช่นเขาไปไย รีบดื่มชาระงับอารมณ์เถิดเจ้าค่ะ”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องรับถ้วยชามาจิบเบาๆ หลายอึก เมื่อรู้สึกว่าในอกไม่แน่นถึงเพียงนั้นแล้วจึงกล่าว “เวรกรรมแท้ๆ! ชาติก่อนข้าคงติดหนี้เขา ไม่ปิดบังแม่นม แค่ข้าเห็นหน้าเขาข้าก็ปวดหัวแล้ว”

 

 

แม่นมซือสงสารอย่างถึงที่สุด “ท่านไม่อยากพบเขาก็ไม่ต้องพบ ท่านเป็นผู้อาวุโส เขาจะพูดอะไรได้ อีกอย่างในหนึ่งปีเขาก็ไม่อยู่จวนเสียกว่าครึ่ง ท่านอดทนหน่อยก็ผ่านไปได้แล้วเจ้าค่ะ คิดเสียว่าไว้หน้าท่านอ๋อง”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องเอ่ย “อืม หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าท่านอ๋อง ตอนนั้นข้าคง…”

 

 

“พระชายาโปรดระวังคำพูด!” แม่นมซือรีบห้าม บอกเป็นนัยว่ายังมีสาวใช้ปรนนิบัติอยู่ในห้อง

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ว่าคำบางคำพูดได้ คำบางคำพูดไม่ได้

 

 

“คำสั่งของพ่อแม่ วาจาของแม่สื่อ ข้าเป็นแม่ใหญ่ของเขา เรื่องสมรสของเขาย่อมเป็นข้าที่ตัดสินใจ อืม แม่นมอีกประเดี๋ยวไปส่งจดหมายให้พี่สะใภ้ที่จวนตระกูลซ่งด้วย ข้าอยากปรึกษาเรื่องนี้กับนางให้ดี” พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวต่อ

 

 

“เจ้าค่ะ พระชายาวางใจ บ่าวจะจัดการให้ดี” แม่นมซือตอบรับเสียงเบา

 

 

สวีโย่วออกจากจวนจิ้นอ๋องแล้วก็ไปยังวังหลวง ตลอดทางราบรื่นไร้คนขัดขวาง จนมาถึงห้องทรงอักษรส่วนพระองค์ของจักรพรรดิยงเซวียน จางเฉวียนขันทีใหญ่ผู้ติดตามพระองค์ยิ้มต้อนรับแล้วกล่าว “คุณชายใหญ่ท่านมาแล้ว จักรพรรดิยังทรงรำพึงถึงท่านอยู่เมื่อครู่เลยขอรับ”

 

 

ไม่ต้องรายงานก็นำสวีโย่วเข้าไปทันที เพราะความโปรดปรานของเขามากมายอย่างยิ่ง

 

 

“ถวายบังคมเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ” สวีโย่วทำความเคารพอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนกำลังนั่งอ่านสาส์นกราบทูลอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษรส่วนพระองค์ เงยพระพักตร์ขึ้นมองหลานชายที่ก้มศีรษะปราดหนึ่งจึงตรัส “ไม่มีเรื่องร้อนใจไม่ถ่อมาหา ว่ามา มีเรื่องอะไรจะขอลุงอีก”

 

 

หลานคนนี้มองดูไปแล้วเย็นชา แต่ความจริงแล้วเป็นคนฉลาด ปกติก็เรียกจักรพรรดิ ทั้งยังบอกว่ากฎวงศ์ตระกูลไม่อาจฝ่าฝืน คราวนี้เข้ามาก็เรียกเสด็จลุง จะต้องเพราะมีเรื่องอยากร้องขอเป็นแน่แท้

 

 

แม้จักรพรรดิยงเซวียนจะดำริเช่นนี้ แต่อันที่จริงในใจเขาก็สงสัยอย่างยิ่งเช่นกัน ไม่รู้ว่าหลานชายที่ไม่มีความปรารถนาสิ่งใดผู้นี้จะร้องขอเขาเรื่องอะไร

 

 

สวีโย่วเองก็ไม่เกรงใจจักรพรรดิยงเซวียน เอ่ยปากกล่าวทันที “หลานอยากขอพระราชโองการเสด็จลุงหนึ่งฉบับพ่ะย่ะค่ะ อืม พระราชโองการสมรสพระราชทานหนึ่งฉบับ”

 

 

“อะไรนะ!” จักรพรรดิยงเซวียนตกพระทัยจนแทบจะหักพู่กัน “พระราชโองการสมรสพระราชทานหรือ” ดวงพระเนตรของพระองค์เต็มไปด้วยเหลือเชื่อ

 

 

สวีโย่วสบสายตาที่สงสัยของจักรพรรดิยงเซวียนอย่างไร้กังวล พยักหน้ากล่าว “พ่ะย่ะค่ะ พระราชโองการสมรสพระราชทาน” ในเมื่อตัดสินใจว่าจะสู่ขอเด็กคนนั้นแล้ว กำหนดสถานะไว้ก่อนก็ดี ดั่งสำนวนที่ว่า ‘หากยืดเยื้อย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง’ มิใช่หรือ

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนตกใจเพียงเสี้ยววินาที ทันใดนั้นก็หัวเราะร่าฮ่าๆ ขึ้นมา “ดี! ดี! ดี! อาโย่วในที่สุดเจ้าก็เปิดใจมีสตรีที่ชอบแล้ว สตรีผู้นี้อยู่ตระกูลใดเล่า ความประพฤติเป็นอย่างไร”

 

 

สวีโย่วกล่าว “เป็นคุณหนูสี่จวนจงอู่โหว ปีนี้อายุสิบห้าแล้ว หลานเห็นนางแล้วถูกตาต้องใจ”

 

 

“อ้อ เป็นหลานสาวของเสิ่นผิงยวนหรือ” จักรพรรดิยงเซวียนประหลาดใจเล็กน้อย “บ้านไหนเล่า”

 

 

สวีโย่วกล่าวตอบ “บุตรสาวคนโตบ้านสามพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“บิดานางคือเสิ่นหงเซวียนกรมพิธีการสินะ ความรู้ความสามารถกลับไม่เลว แต่ว่าฐานะต่ำไปเล็กน้อย” จักรพรรดิยงเซวียนขมวดคิ้วกล่าว หลังจากนั้นก็คล้ายพลันนึกขึ้นได้ “บุตรสาวภรรยาคนก่อนงั้นหรือ”

 

 

เห็นสวีโย่วพยักหน้า จักรพรรดิยงเซวียนก็กล่าวอย่างคล้ายครุ่นคิด “อืม เป็นหลานสาวของหยวนเจิ้นเทียนนี่เอง ตอนนั้นบุตรสาวของหยวนเจิ้นเทียนออกเรือนพร้อมสินสอดยาวนับสิบลี้ น่าเสียดายที่หญิงงามชะตาสั้น จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณหนูสี่ผู้นี้เองก็น่าสงสาร แต่ว่าฐานะก็ยังคงต่ำไปสักหน่อย” จักรพรรดิยงเซวียนส่ายพระพักตร์ด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับกล่าว “เสด็จลุง หลานชอบนางพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เอ๋” จักรพรรดิยงเซวียนสนใจขึ้นมาในชั่วพริบตา “คุณหนูสี่ผู้นี้รูปโฉมงดงามดุจนางสวรรค์หรือ สวยกว่าลูกผู้น้องของซูเฟยอีกหรือ”

 

 

ซูเฟยคิดมาโดยตลอดว่าอยากพูดถึงลูกผู้น้องของนางให้สวีโย่วฟัง ลูกผู้น้องคนนั้นของนางจักรพรรดิยงเซวียนเคยเห็นครั้งหนึ่ง เป็นหญิงงามอ่อนหวานคนหนึ่ง

 

 

มุมปากสวีโย่วกระตุกเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าเสด็จลุงของเขาเป็นผู้อาวุโสแต่ไม่เคารพตนเองทั้งยังความรู้ตื้นเขินเล็กน้อย สนใจเพียงหน้าตาแล้ว ใครจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้ามีจิตใจเช่นไร มิน่าเล่าวังหลังของเสด็จลุงถึงได้มีแต่คนอย่างซูเฟย

 

 

ทว่าสวีโย่วยังคงพยักหน้าอย่างจริงใจ “คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นรูปโฉมงดงาม แต่ที่หลานให้ความสำคัญก็คือนางจิตใจดี นางช่วยชีวิตหลานไว้”

 

 

“ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนที่บุตรสาวของหยวนเจิ้นเทียนยังเยาว์วัยก็เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง บุตรสาวของนางย่อมไม่ด้อยกว่า” จักรพรรดิยงเซวียนพยักหน้า จากนั้นจึงคล้ายได้สติกลับมา กล่าวอย่างประหลาดใจ “ช่วยชีวิตเจ้าหรือ ตั้งแต่เมื่อไร รีบบอกมา”

 

 

“ครั้งก่อนหลานบังเอิญพบมือสังหารที่นอกเมืองคราวนั้น นางกลับมาจากจุดธูปบูชาพระพบหลานเข้าพอดี นางให้ทหารคุ้มกันตระกูลของนางช่วยเหลือ หลานถึงได้รอดชีวิตกลับมา หลานรู้สึกว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นนั้นดีนัก เห็นนางแล้วก็รู้สึกสบายใจ” สวีโย่วกล่าวกึ่งจริงกึ่งเท็จ ตอนนั้นคนที่ช่วยก็คือนางกับเด็กโง่คนนั้น ทหารคุ้มกันของนางไม่ได้ลงจากรถอย่างสิ้นเชิง แต่ว่านี่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้เสด็จลุงฟัง

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนพยักพระพักตร์ช้าๆ “อืม กลับเป็นสตรีที่มีน้ำใจ ฐานะต่ำก็ต่ำเถอะ ใครให้อาโย่วชอบสตรีเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเพียงนี้เล่า เรื่องนี้เจ้าพูดกับพ่อเจ้าแล้วหรือยัง”

 

 

สวีโย่วส่ายหน้า “ยังพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่องานเยอะ” ลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “แต่ว่าพระชายาเป็นห่วงหลานอย่างยิ่ง รับบุตรสาวอนุภรรยาฝั่งมารดาเข้ามาพักในจวนชั่วคราว หลานจึงกลัว”

 

 

พูดเพียงแค่กลัว ไม่ได้บอกว่ากลัวอะไร จักรพรรดิยงเซวียนเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว จะไม่เข้าใจความหมายในนั้นได้อย่างไร

 

 

สวีโย่วเหลือบตาขึ้นไม่หวาดกลัวแม้แต่นิดเดียว “อย่างไรเสียก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่วาจาของแม่สื่อ หลานเองก็ไม่อยากทำให้ท่านพ่อลำบากใจ”

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนโกรธแทบตาย งานเยอะกับผีน่ะสิ ท่านอ๋องเช่นเจ้าจะยุ่งกว่าเราได้อย่างไร เมื่อได้ยินประโยคหลังก็ยิ่งโมโห ซ่งซื่อเจ้าหมายความว่าอย่างไร คนตระกูลสวีของข้าคู่ควรกับบุตรสาวอนุภรรยาตระกูลซ่งของเจ้างั้นหรือ เอาบุตรสาวอนุภรรยามาสร้างมลทินให้ผู้อื่น เก่งกล้ามาจากไหนกัน เขาบอกแล้วว่าซ่งซื่อนั้นไม่ใช่คนดีอะไร แต่น้องชายโง่เขลาคนนั้นของเขาก็ยังยืนกรานจะแต่งนางให้ได้

 

 

“ได้ ลุงรับปากเจ้า จะเขียนราชโองการให้เจ้า” จักรพรรดิยงเซวียนรับปากอย่างตรงไปตรงมา เทียบกับลูกอนุภรรยาของตระกูลซ่งแล้ว คุณหนูสี่จวนจงอู่โหวยังดีกว่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางผู้นี้ยังช่วยชีวิตอาโย่วไว้ ที่สำคัญที่สุดก็คืออาโย่วเองก็ชอบนาง

 

 

“ขอบคุณเสด็จลุงที่ช่วยให้หลานสมปรารถนา” ในดวงตาของสวีโย่วเต็มไปด้วยความดีใจ คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นดังตึงๆ สามครา

 

 

จักรพรรดิยงเซวียนไหนเลยจะเคยเห็นหลานชายมีท่าทางดีใจเช่นนี้ หลุดสรวลออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าน่ะ รีบลุกขึ้นเถิด” สรวลเสร็จในใจกลับเศร้าสลด อาโย่วเด็กคนนี้น่าสงสารตั้งแต่เล็ก ไม่มีแม่ตั้งแต่เกิด เกิดมาก็มีโรคติดตัว กินยาเยอะกว่ากินข้าวเสียอีก ทุกข์ทรมานมามากเหลือเกิน

 

 

ช่างเถอะๆๆ ในเมื่อคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้คือคนที่อาโย่วชอบก็ทำให้เขาสมหวังเถิด