บทที่ 438 สองทางเลือก

The king of War

สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับสูงอย่างตงเชย มักมีสัมผัสที่รับรู้ถึงความอันตรายได้อย่างว่องไว

ถึงแม้ว่าหยางเฉินจะมีการสะกดจิตสังหารของตัวเองเอาไว้อย่างดีแล้ว แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายสัมผัสได้อยู่ดี ซึ่งก็สามารถบอกได้เลยว่าชายสูงอายุผอมแห้งคนนี้ เป็นคนที่มีความร้ายกาจไม่น้อยเลยทีเดียว

และหยางเฉินก็ได้รับข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งจากปากของหวงเจิ้งด้วยว่า

ตงเชยคือผู้แข็งแกร่งอันดับที่สามของตระกูลหวง ซึ่งก็ชัดเจนแล้วว่าในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่ในตำแหน่งสุดยอด ความแข็งแกร่งของตงเชยก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับพวกเขามากนัก

เมื่อหลายปีก่อน หยางเฉินมักจะทำการต่อสู้ที่ชายแดนเหนืออยู่ตลอด ถึงแม้จะเคยปราบมือกับผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดมาแล้วมากมาย แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของตระกูลชั้นสูงที่อยู่นอกชายแดนเหนือ มีความแข็งแกร่งมากขนาดไหน ตัวเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด

ไม่แน่ชัดก็คือไม่แน่ชัด แต่เขามีความมั่นใจในตัวเองว่าแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา

ต่อให้จะเป็นชายสูงอายุคนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเหมือนกัน

“นี่นายกำลังข่มขู่ฉันอยู่งั้นหรอ?”

ทันใดนั้นสีหน้าของหวงเจิ้งก็เปลี่ยนไป สีหน้าบึ้งตึง พร้อมกัดฟันพูด

ดวงตาทั้งสองของหยางเฉินค่อยๆ หรี่ลง พร้อมตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ : “จะบอกอะไรที่คุณไม่ชอบให้ฟังแล้วกันนะครับ เมื่อเทียบกับหวงจงแล้ว คุณก็แค่ขยะเท่านั้น!”

“ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมตระกูลหวงถึงได้เลือกคนไร้ประโยชน์อย่างคุณมาเป็นผู้สืบทอดตระกูล”

“นี่อย่าบอกนะว่าตระกูลหวงไม่เหลือคนที่สามารถเชิดชูเป็นหน้าเป็นตาแก่ตระกูลได้แล้วงั้นหรอครับ?”

ไม่ใช่ว่าหยางเฉินจงใจที่จะกระแนะกระแหนตระกูลหวง แต่เป็นเพราะว่านี่คือสิ่งที่ในใจเขาสงสัยจริงๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะได้พบคนที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างหวงเจิ้งเป็นครั้งแรก แต่ก็สามารถสัมผัสได้เลยว่าความสามารถของหวงเจิ้งนั้นยังห่างชั้นกับหวงจงอย่างมาก

นอกเสียจากว่าตระกูลหวงไร้ผู้สืบทอดตระกูลแล้ว เขาก็ไม่สามารถคิดถึงความเป็นไปได้อื่นได้เลยว่าทำไมตระกูลหวงถึงได้เลือกคนอย่างเขามาเป็นผู้สืบทอดตระกูล

“รนหาที่ตาย!”

ด้านหวงเจิ้งที่อับอายจนเกิดความโกรธเคือง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล

หยางเฉินแม้ไม่ได้สนใจชายโง่เขลาคนนี้ แต่ภายในใจกลับมีความสงสัยอยู่เต็มไปหมด

ตระกูลหวงต่อให้จะไร้ผู้สืบทอด ก็คงจะไม่ให้หวงเจิ้งกลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลหรอกมั้ง ?

อีกอย่างแม้แต่ผู้แข็งแกร่งอันดับที่สามของตระกูลหวงก็ยังถูกส่งตัวให้มาคุ้มกันเขาอีกด้วย

หากดูจากสองจุดนี้ ก็สามารถบอกได้แน่ชัดแล้วว่าหวงเจิ้งไม่ได้เป็นคนโง่เขลาอย่างที่คิด

นี่ตัวเขามองพลาดไปอย่างนั้นหรอ?

หวงเจิ้งคนนี้ ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ แต่เป็นคนที่มีความสามารถ ?

และยังมีความสำคัญกับตระกูลหวงอะไรแบบนั้นด้วย?

“ไร้สาระ!”

หยางเฉินที่คิดไม่ตก ถึงกับต้องสะบัดหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนที่จะหันหลังหวังจะเดินจากไป

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เขาที่เพิ่งเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงร้องคำรามของหวงเจิ้งก็ดังตามหลังมา : “สองทางเลือกที่ฉันมอบให้กับนาย นายยังไม่ได้ตอบเลยว่าจะเลือกทางไหน !”

หยางเฉินถึงกับหยุดนิ่ง มองไปที่หวงเจิ้งด้วยสีหน้าประหลาด: “คุณจะให้ผมเลือกจริงๆ งั้นหรอ?”

“พูดมาก ที่ฉันเดินทางไกลขนาดนี้เพื่อมาหานาย คิดว่าฉันมาเพื่อพูดไร้สาระกับนายหรือยังไง ?”

หวงเจิ้งพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ในเมื่อคุณอยากให้ผมเลือก อย่างนั้นผมก็ขอเลือกข้อที่สองแล้วกัน !ให้ผมชดใช้เถอะ!”

เมื่อยหยางเฉินพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที

หวงเจิ้งหน้านิ่งอึ้ง ด้วยท่าทีที่ล่องลอย

ผ่านไปได้สักพัก กว่าที่เขาจะกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง พร้อมร้องลั่นด้วยความโมโห : “หยางเฉิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!หยุด!”

ทว่าหยางเฉินกลับไม่ได้เหลียวหันกลับไปมองเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะค่อยๆ เดินหายไป

“ตงเชย คุณไปหยุดเขาเดี๋ยวนี้!นี่เขาไม่รู้เลยไงว่าการเลือกแบบนี้จะมีบทสรุปที่ร้ายแรงขนาดไหน ?”

หวงเจิ้งหันไปออกคำสั่งกับตงเชยที่ยืนอยู่ข้างๆ

แต่ตงเชยกลับตอบกลับด้วยความเฉยชา : “ภารกิจของผมมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการคุ้มกันคุณ !”

เมื่อพูดจบ ตงเชยก็หันหลังกลับ

หวงเจิ้งโกรธหนักจนแทบจะบ้ามองไปยังทิศของยอดเมฆา พร้อมพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มด้วยความโกรธ : “ไอ้หนุ่ม ในเมื่อนายเลือกที่จะชดใช้ อย่างนั้นฉันก็จะตอบสนองความต้องการของนาย !”

กระทั่งหยางเฉินกลับมาถึงยังยอดเมฆา ทางด้านฉินซีที่ไม่แม้แต่จะถอดรองเท้าออก ใบหน้ากังวลเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องรับแขกของวิลล่า

จนได้เห็นว่าหยางเฉินกลับมา ในที่สุดความกระวนกระวายใจของเธอก็สงบลงได้เสียที

“ที่รัก คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”

ฉินซีรีบรุกเข้าไปหาเขาทันที

หยางเฉินยิ้มพลันส่ายหน้า: “ผมจะเป็นไรได้ล่ะ?”

เพราะรู้ว่าฉินซีเป็นห่วง หยางเฉินจึงยิ้มพร้อมกับอ้าแขนทั้งสองออกแล้วหมุนตัวอยู่กับที่ไปหนึ่งรอบ เพื่อแสดงออกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

เมื่อเห็นอย่างนี้ฉินซีถึงค่อยวางใจ

ค่ำคืนเห็นความเงียบผ่านพ้นไป กระทั่งเช้าตรู่ในวันถัดมา หลังจากที่หยางเฉินไปส่งเสี้ยวเสี้ยวและฉินซีเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปยังเยี่ยนเฉินกรุ๊ป

เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในงานต่อสู้ ข่าวที่บอกว่าหยางเฉินกลายเป็นราชาสองเมืองก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองเจียงผิงและหนันหยัง

จึงทำให้ผู้ประกอบการตระกูลต่างๆ ก็เกิดความชื่นชมและเดินทางมาเพื่อขอร่วมธุรกิจกับเยี่ยนเฉินกรุ๊ป

ฉินยีในฐานะผู้จัดการของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ด้วยความยุ่งที่หนักหนา ในช่วงเวลาเช้าตรู่เธอจึงเดินทางมายังบริษัทแล้ว

“ท่านประธาน หลายวัยมานี้ระดับการร่วมมือทางธุรกิจมีการเพิ่มสูงขึ้น ตามแนวโน้มการพัฒนาในปัจจุบัน สิ้นปีนี้ ผลกำไรการประกอบการของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงจะมียอดรวมถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดเยี่ยนเฉินกรุ๊ปค่ะ”

ฉินยีมายังห้องทำงานของหยางเฉิน พร้อมพูดด้วยเสียงที่จริงจัง: “แต่เพราะด้วยขอบเขตที่จำกัด เยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงจึงไม่สามารถที่จะตอบรับทุกการร่วมมือทางธุรกิจ”

หยางเฉินเข้าใจความหมายของฉินยีดี ซึ่งก็คือ ตอนนี้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงยังมีโครงสร้างที่เล็กเกินไป จึงไม่สามารถที่จะตอบรับความร่วมมือจากทุกบริษัทที่เข้ามา

ก็เป็นอย่างเช่น โรงงานเย็บผ้าแห่งหนึ่งที่ทุกวันจะสามารถผลิตเสื้อได้มากที่สุดเพียงหนึ่งหมื่นตัว แต่ถ้าหากทำความร่วมมือกับทุกกิจการที่เข้ามา และปริมาณที่เสื้อที่ต้องการมีมากกว่าหนึ่งหมื่นตัว

ซึ่งเป็นภารกิจที่ไม่มีทางที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงได้เลย

แต่การจะให้ปฏิเสธพวกเขาที่เป็นฝ่ายรุกเข้ามาขอความร่วมมือด้วยไปเสียอย่างนี้ มันก็ช่างน่าเสียดาย

“คุณคงจะมีแผนอยู่แล้วสินะ?”

หยางเฉินถาม

ฉินยีพยักหน้าพลางพูดด้วยเสียงหนักแน่น: “พี่เขย ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เยี่ยนเฉินกรุ๊ปถึงแม้จะมีคุณเป็นประธาน แต่ในความเป็นจริงกลับยังมีบางคนในตระกูลอวี๋เหวินที่มีหุ้นอยู่ในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปด้วย”

“หากคุณต้องการที่จะกุมเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไว้ในมือเพียงคนเดียว ถ้าไม่มีกลยุทธ์ที่สุดยอด ก็ยากที่จะทำได้”

“และความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสในการพลิกสถานการณ์ของพวกเรา เมื่อเป็นอย่างนี้ทำไมพวกเราไม่สร้างบริษัทใหม่ขึ้นมาอีกอันเลย แล้วใช้ประโยชน์จากการมาขอความร่วมมือจำนวนมากนี้ในการพัฒนาบริษัทใหม่ล่ะคะ?”

“ฉันคิดว่าคุณสามารถสร้างเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่สองได้ในระหว่างที่ค่อยควบคุมเยี่ยนเฉินกรุ๊ปทีละนิดๆ ไปด้วย!”

รอจนฉินยีพูดจบ หยางเฉินจึงค่อยส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเบาๆ : “เยี่ยนเฉินกรุ๊ป ผมสามารถที่จะเอามากุมไว้ในมือได้อยู่แล้ว สำหรับเรื่องการสร้า เยี่ยนเฉินกรุ๊ปอันที่สอง ผมไม่มีความสนใจ !”

ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่า เยี่ยนเฉินกรุ๊ปคือสิ่งสุดท้ายที่แม่ของตัวเองทิ้งเอาไว้ให้ มีหรือที่หยางเฉินจะมาสนใจความเป็นความตายของธุรกิจพวกนี้?

เขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย!

เมื่อมองจากอำนาจและความร่ำรวยของเขาในตอนนี้ที่หากผู้ได้รู้เข้าต่างก็ต้องอ้าปากค้าง

ถ้าหากเขาคิดจะใช้แผนการจริงๆ เยี่ยนเฉินกรุ๊ปคงจะกลับมาอยู่ในมือของเขาตั้งนานแล้ว

แต่สิ่งที่เขาต้องการคือ เยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่สะอาด ไม่มีความสกปรกโสมม

ในส่วนที่ถูกตระกูลอวี๋เหวินทำให้แปดเปื้อน เขาจะให้คนตระกูลอวี๋เหวินใช้ลิ้นเลียของสกปรกเหล่านั้นจนสะอาด!

“แต่ว่า……”

ฉินยียังไม่ทันที่จะได้พูด กลับถูกหยางเฉินขัดเอาไว้ก่อน : “คุณไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องบุญคุญและความแค้นระหว่างผมกับตระกูลอวี๋เหวิน ทุกอย่างให้เป็นไปตามเดิม เคยทำยังไงก็ทำอย่างนั้น คุณเพียงต้องจำเอาไว้เรื่องเดียวคือสุดท้ายแล้วเยี่ยนเฉินกรุ๊ปจะกลับมาอยู่ในมมือของผมแน่นอน”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉินยีถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเข้าใจทั้งหมดในทันที

เดิมทีเธอนั้นมีความเชื่อมั่นในตัวหยางเฉินอยู่แล้ว และเดิมทีเยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็เป็นของหยางเฉินอยู่แล้วด้วย แบบนี้ยังมีใครที่จะสามารถมาแย่งไปได้อีก ?

“พี่เขย ฉันรู้ว่าควรจะทำยังไงต่อแล้วค่ะ!”

ฉินยีพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม