บทที่ 289
การเริ่มต้นของความตึงเครียด
“แน่นอนสิ! ก่อนอื่นข้าต้องไปเยี่ยมกองทหารของเจ้าหน่อย เพื่อดูความแข็งแกร่งในตอนนี้!” หลังจากที่หยุดไป มู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “นอกจากนี้ก่อนเรื่องนั้น ข้าอยากให้เจ้ารับปากตามคำขอข้าข้อหนึ่ง”
“คำขอเรื่องอะไร? เจ้าพูดมาเลย”
มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าก็รู้ว่าทุกอย่างที่ข้าพูดมันไม่ใช่เทคโนโลยีที่ควรจะมีอยู่ในยุคนี้ บางทีมันอาจจะเกินขอบเขตการพัฒนาของยุคนี้ไปด้วย ข้าหวังว่าเมื่อเจ้าขึ้นไปสู่จุดที่สูงสุดแล้ว ข้าจะต้องแน่ใจว่าเจ้าจะสร้างโลกที่สงบสุขและเจ้าจะไม่ใช้ของที่ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคนตามอำเภอใจ”
“ได้ ข้าสัญญากับเจ้า!” จิ่วหยวนพูด
โดยไม่รีรอ ชายทั้งสามก็ตรงไปที่ค่ายทหาร
อากาศวันนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไร มีฝนตกปรอยๆทำให้ทุกอย่างกลายเป็นหมอกไปหมด
“แถวตรง” เสียของทหารฝึกดังมาไกลจากแคมป์ที่ฝึก ถึงแม้ตอนนี้จิ่วหยวนจะเป็นคนที่ดูแลกองกำลังทหารแต่องค์ชายคนอื่นๆเองก็เริ่มที่จะเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน
มีหลายคนที่จ้องอยากจะได้เครื่องรางในมือของเขา ขนาดท่านพ่อของเขาเองก็ยังอยากที่จะทวงเครื่องรางในมือเขาคืน เขาจะยอมได้ยังไงล่ะ? ในราชสำนักไม่มีพื้นที่สำหรับเขาเลย ถ้าเครื่องรางนี้ถูกยึดคืนกลับไปอีก งั้นสำหรับเขาก็คงจะเหลือแค่โชคชะตาเดียวเท่านั้น
พวกเธอเดินลงมาจากรถม้า มู่หรงเดินไปบนถนนโคลนและมองดูสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ค่ายทหารนี่ไม่ได้ใหญ่อย่างที่เธอคิดไว้เลย นอกจากกำแพงสี่ด้านแล้วก็ยังมีทหารอยู่ที่ประตู ข้างในก็ดูเหมือนกับที่พักมากกว่า นอกจากแถวของศาลาที่ดูแล้วน่าจะเป็นที่สำหรับเก็บอาวุธ ที่อีกด้านก็ยังมีเต็นท์อยู่อีกมากมายซึ่งน่าจะเป็นที่พักของพวกทหาร
ในตอนนี้ ที่ตรงกลางค่ายทหาร แถวของทหารฝึกกำลังตั้งแถวฝึกกันอยู่!
เมื่อมู่หรงและจิ่วหยวนเดินเข้าไป หัวหน้าทหารที่เห็นก็รีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพทันที เขาคุกเข่าลงไปหนึ่งข้าง “องค์ชาย”
“นายพลหลิว ลุกขึ้น! ไม่ต้องพิธีหรอก พวกเจ้าฝึกกันต่อไปเถอะ ข้าแค่มาดูเฉยๆ!” จิ่วหยวนโบกมือและพูดออกไป
“ขอรับ” นายพลหลิวลุกขึ้นอีกครั้ง ทำมือแสดงความเคารพแล้วจึงวิ่งกลับไปจุดที่กำลังฝึกอยู่ ก่อนที่จะกลับไป เขามองมาที่มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิง
“มาเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูรอบๆ!” จิ่วหยวนออกเดินนำไปก่อน
ฝนเริ่มที่จะตกแรงขึ้นและหมอกก็เริ่มที่จะหนาขึ้นด้วย แต่นายพลหลิวและทหารคนอื่นๆก็ยังฝึกกันต่ออย่างไม่หยุดพักและไม่สนใจห่าฝนที่กำลังกระหน่ำ
ส่วนทางด้านของจิ่วหยวนและคนอื่นๆก็ยังมีคนคอยถือร่มขนาดใหญ่เพื่อกันเม็ดฝนที่กระหน่ำตกมาอย่างหนัก
“นี่คืออาวุธของเจ้าตอนนี้เหรอ? แล้วพวกปืนล่ะ?” มู่หรงเดินเข้าไปในโกดัง เห็นอาวุธธรรมดามากมาย เช่นพวกมีด, หอกและเกราะ แต่ไม่เห็นดินปืนที่ไหนเลย
ถึงแม้ระหว่างทางที่กลับมาจากป่าไร้ขอบเขต เธอจะรู้จักพืชพันธุ์ต้นไม้ไม่มากก็น้อยแต่ก็ยังมีพืชพันธุ์ที่หายากมากมาย แต่กลับไม่มีกังหันทดน้ำมาที่ถุงหญ้าเลยด้วยซ้ำ ยุคนี้ล้าหลังมากกว่าที่เธอคิดไว้มาก
“อะไรคือปืนงั้นเหรอ?” จิ่วหยวนถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ ไฟเขาพอจะรู้จัก แต่ไฟจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องกำลังทหาร
มู่หรงเสวี่ยหันกลับมาและพูดว่า “อาวุธปืนก็เหมือนพวกระเบิดนะแหละ ในช่วงเวลาของเรา แค่ระเบิดถุงเล็กๆก็สามารถทำลายกองทหารทั้งค่ายได้แล้ว อาวุธนิวเคลียร์ยิ่งน่ากลัวกว่าอีกนะและสามารถทำลายได้ทั้งเมืองเลย…”
“ไร้สาระ!” จิ่วหยวนส่ายมือ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนเลยของมู่เทียนจึงรีบถามออกมาทันที “เรื่องที่เจ้าพูดเป็นความจริงงั้นเหรอ?” เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามู่เทียนจะมีเทคโนโลยีอะไรแบบนี้ ถ้าเขาไม่ได้เจอเขาตั้งแต่แรก งั้นใครในโลกนี้ที่จะสามารถต่อกรได้
ถึงแม้เขาจะไม่ต้องการแต่ด้วยเวลาแล้ว มู่เทียนเองก็สามารถที่จะเอาชนะและขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของโลกได้เหมือนกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของจิ่วหยวนก็เปลี่ยนไปหลายครั้งและสายตาของเขาที่มองไปที่มู่เทียนก็ยิ่งตรวบสอบมากขึ้นไปอีก!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมองข้าตาขวางแบบนี้ก็ได้ ข้าก็อยากจะไปจากที่นี่เหมือนกันแหละ ที่นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของข้า” มู่หรงพูด
เฟิงจือหลิงเองก็ยืนอยู่ข้างหลังมู่เทียน ถ้ามิตินี้ไม่มีข้าจำกัด ทำไมพวกเขาถึงได้เจอปัญหามากมายขนาดนี้
“ข้า…” เมื่อได้ฟังแบบนั้นจิ่วหยวนก็อยากที่จะปฏิเสธออกมาแต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เขารู้สึกกลัวเรื่องนี้อย่างมาก คนแบบมู่เทียนทั้งเป็นมิตรและศัตรูไปพร้อมๆกัน
“ข้าเข้าใจนะว่าเจ้าจะต้องระวัง อันที่จริงเรามีเหตุผลที่ช่วยเจ้า ถ้าเราอยากที่จะไปจากที่นี่ เราจะต้องตามหาคนที่แข็งแกร่งที่สุด เราเองก็ไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่ายังไงแต่ถ้าเจ้าขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดได้และกลายเป็นเจ้าผู้ครองโลก เจ้าจะช่วยให้พวกเรากลับไปได้ไหม?” มู่หรงถามอย่างจริงใจ
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังหมายความว่ายังไง? ทำไมเจ้าถึงจะต้องหาวิธีที่จะกลับไปด้วย?”
“เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับประตูของห้วงเวลาบ้างเลยเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ประตูแห่งห้วงเวลางั้นเหรอ?” จิ่วหยวนขึ้นเสียงสูงอย่างควบคุมไม่ได้ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปหลายครั้ง
มู่หรงมองไปที่ชายที่ปิดปากเงียบจิ่วหยวนและถามออกมา “มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ? เจ้ารู้จักงั้นเหรอ?” เธอแวบประกายแปลกใจ ถ้าจิ่วหยวนรู้ก็คงจะเยี่ยมไปเลย
จิ่วหยวนส่ายหน้า สายตาเฉไปมองอีกด้าน “ไม่ ข้าไม่รู้!”
“ท่าทางแบบนี้ของเจ้าคือเจ้าไม่รู้งั้นเหรอ?” มู่หรงถามอย่างสงสัย
“ข้าก็แค่เคยได้ยินมาบ้าง…หยุดพูดเรื่องนี้ซะที งั้นตอนนี้ข้าอยากที่จะคุยเรื่องดินปืนแล้ว”
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว อันที่จริงถ้าเธอไม่ได้อยากที่จะไปจากที่นี่ เธอก็ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทุกอย่างในยุคนี้หรอก ถึงแม้มันจะช้าแต่มันก็เป็นขั้นตอนที่พวกเขาจะต้องมี ถ้าเธอเข้าไปยุ่ง เธอก็คงจะเร่งให้การพัฒนาเร็วขึ้นและไม่รู้ด้วยว่ามันจะดีหรือเปล่า “เดี๋ยวอีกสองสามวันเราค่อยคุยกันใหม่เรื่องดินปืนนะ ข้าจะเอาตัวอย่างเล็กๆมาให้เจ้าดู”
“ต่อไปก็พาข้าไปดูโรงงานผลิตอาวุธของเจ้าที ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นว่าอาวุธของเจ้าไปถึงไหนแล้ว” เธอพูดต่อ
“คือโรงงานอาวุธของเราไม่ได้อยู่ที่นี่ เราต้องกลับเข้าไปในเมือง ไปกันเถอะ”
มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเดินตามเขาไปและพวกเขาต่างก็เงียบไปกันมาก เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าจิ่วหยวนปิดบังเรื่องอะไรบางอย่างจากเธออยู่ หวังว่าเขาจะไม่ขัดขวางการกลับไปของพวกเธอนะ
ในวันที่ฝนตก จึงมีคนเดินถนนไม่มากนัก บนถนนที่มีเสียงดังมีเพียงเสียงฝนโปรยลงมาไม่กี่วัน
โรงงานอาวุธเต็มไปด้วยไฟ มีประกายไฟปลิวว่อนไปทั่วทุกที่ ส่วนอาวุธที่อยู่ข้างในก็ถูกตีด้วยค้อนที่จับด้วยมือเปล่าและทุบลงไปที่ดาบ เสียงเหล็กกระทบกันดังกึกก้อง ถึงแม้จะตะโกนใส่หูกันก็ยังไม่ได้ยินเลยว่ากำลังพูดอะไรกันอยู่!
ค้อนขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นสูง มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆต่างก็ต้องคอยหลบด้วยความระวัง เพราะเหล่าคนที่กำลังทำงานไม่ได้สนใจและอาจจะเหวี่ยงโดนคนอื่นได้ เสื้อผ้าเองก็ถูกลูกไฟเล็กๆเจาะเป็นรูไปนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีใครสนใจ มู่หรงเสวี่ยเองก็มองไปที่จุดหลอมเหลวของไฟ, เตาเผาและปัญหาด้านอื่นๆ ไม่นานเสื้อผ้าของพวกเธอก็เริ่มที่จะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พวกเธอจึงค่อยๆเดินออกมา
“เป็นไงบ้าง?” จิ่วหยวนถาม
มู่หรงก้มหัวและคิดอยู่สักพัก “ข้าจะให้คำตอบเจ้าในอีกสองสามวัน ข้าจะกลับไปคิดเรื่องนี้ดูก่อน”
เธอไม่อยากที่จะเปลี่ยนอะไรมากมาย ไม่งั้นมันคงจะเสียเวลามากมาย อีกอย่างท่าทางของจิ่วหยวนเมื่อกี้ก็ทำให้เธอสนใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธอรู้สึกไม่สบายใจอยู่นิดหน่อย เธอคิดว่าจิ่วหยวนจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้ เรื่องนี้เทียบไม่ได้กับเพื่อนสนิทที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันอย่างเฟิงจือหลิงเลย แต่ก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนกันอยู่
นอกจากนี้ตอนนี้เธอยังคิดเรื่องที่จะช่วยเขาอีกด้วย เธอแอบสังเกตท่าทางของจิ่วหยวนอย่างลับๆเพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ใช่คนที่โหดร้ายและตัดสินใจที่จะเดินหน้าเรื่องช่วยเขาต่อ
“ได้ แต่เราไม่มีเวลามากนักนะ เราต้องลงมือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! เดือนหน้าอีกสองดินแดนจะเปิดฉากรบกับดินแดนหิมะของเราแล้ว อันที่จริงพวกเขาคงจะลองพยายามที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของดินแดนหิมะด้วย งั้นถ้าจะทำตามแผน เราก็ต้องเร่งมือให้เร็วที่สุด…” จิ่วหยวนพูดอย่างหนักแน่น
“เดือนหน้างั้นเหรอ? ทำไมเร็วขนาดนี้ล่ะ?” เวลาค่อนข้างที่จะเร่ง ถึงแม้เธอจะมีความรู้เรื่องวิทยาการสมัยใหม่ แต่เธอก็ยังต้องการการทดลองด้วย “เอาละ ข้ารู้ อีกสองวันข้าจะให้คำตอบแล้วกัน”
หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน จิ่วหยวนเข้าไปจัดการเรื่องเอกสารต่อและมู่หรงเสวี่ยก็กลับไปที่ห้องพร้อมกับเฟิงจือหลิง
“เจ้ารู้สึกว่าจิ่วหยวนแปลกอยู่นิดหน่อยหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถามหลังจากที่นั่งลง
เฟิงจือหลิงพยักหน้า “ใช่! แปลกจริงๆด้วย เขาจะต้องรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอุโมงค์แห่งห้วงเวลาแน่ๆ”
ท่าทางของจิ่วหยวนเมื่อกี้ พวกเขาต่างก็เห็นเองด้วยสายตา
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ? ถ้าพวกเราเข้าไปแทรกแซง…” ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยลังเลอยู่นิดหน่อย
“มันก็ดีกว่าที่พวกเขาไม่สามารถบอกชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของสงครามได้ตลอดเวลา ไม่งั้นคนมากมายคงจะต้องตาย ถ้าเจ้าพัฒนาระเบิดได้อย่างที่พูดจริงๆ ข้าคิดว่ามันอาจลดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนได้ ยิ่งสงครามจบเร็วเท่าไร มันก็ยิ่งดีกับประชาชนมากขึ้นเท่านั้น ใช่ไหมล่ะ?! อีกอย่างข้าคิดว่าจิ่วหยวนเหมาะกับตำแหน่งของจักรพรรดิอย่างมากเลย! เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ดีมากเลย” เฟิงจือหลิงพูด
“ได้! เพราะงั้นข้าถึงคิดว่าข้าอยากที่จะทำ!”
มู่หรงเสวี่ยหยิบปากกาออกมาและเริ่มที่จะร่างแบบโครงสร้างของอาวุธพร้อมทั้งใส่รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงด้วย
ประชาชนจะได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและไม่ต้องรับรู้เรื่องนี้ ผู้คนในพระราชวังเริ่มคาดเดาเอาเองแล้ว และคนในวังก็เริ่มใช้ความคิดกันอย่างรอบคอบในการวางแผนสิ่งต่างๆตลอดทั้งคืน ในคืนที่เงียบงัน ผู้คนในชุดดำเข้ามาและก็ออกไปทีละคนๆ
จิ่วหยวนเป็นห่วงมากว่าเขาจะไม่สามารถที่จะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับมู่เทียนได้ นี่เป็นดินแดนของเขาและมันเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องปกป้องมัน ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็เข้ามาพร้อมข่าวทีละคนๆ เขาหวังว่าตัวเองจะสามารถแยกร่างเพื่อจัดการกองเอกสารวุ่นวายนี้ได้!
ในสายตาของเฟิงจือหลิงมีเพียงมู่เทียน เขาเพียงแค่ต้องการที่จะปกป้องมู่เทียน เขาช่วยในเรื่องแง่มุมอื่นไม่ได้ เขาทำได้เพียงคอยเตือนมู่เทียนให้กินเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกิน และเตือนให้นอนเมื่อถึงเวลาที่จะต้องนอน เขาหวังว่าตัวเองจะสามารถลบล้างความกังวลที่ระหว่างคิ้วขมวดของเธอได้
มู่หรงเสวี่ยเอาแต่ค้นคว้าลงไปในความทรงจำในจิตใจ, ความรู้เรื่องเทคโนโลยีและอื่นๆอีก และก็วาดลงไปในกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า ที่พื้นกองเต็มไปด้วยกระดาษ ขนาดที่โต๊ะก็ยังรกไปหมด ตอนแรกเฟิงจือหลิงอยากที่จะทำความสะอาดแต่มู่เทียนยกมือห้ามไม่ให้เขารบกวนความคิดของเขา!