การออกเดินทางล่าปีศาจ

 

ป่ากว้างใหญ่แผ่ขยายไปไกลสุดลูกหูลูกตา พืชพรรณเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ปกคลุมกว่าหลายพันไมล์ไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

โม่เทียนเกอยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน มองสภาพรอบตัวในความเงียบ ที่นี่คือสุดเขตทางใต้สุดของแนวเทือกเขาคุนอู๋ ณ บริเวณที่แบ่งขอบเขตบางส่วนของป่า สัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่นี่ แม้ว่าบางตัวจะถูกเลี้ยงโดยผู้ฝึกตนและกลายเป็นสัตว์วิเศษ แต่ส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในป่านี้อย่างอิสระ ทั้งใช้ชีวิต ฝึกตน และเปลี่ยนรูปร่าง

 

 

ตามตำนานว่ากันว่าในส่วนที่อยู่ข้างในสุดของป่า ณ บริเวณที่ใกล้ทะเลที่สุด มีสัตว์ปีศาจที่ได้เปลี่ยนรูปร่างและใช้รูปลักษณ์ของมนุษย์อาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าโดยปกติพวกมันจะไม่ออกมาจากป่า ทว่านานๆ ครั้ง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะสั่งการสัตว์ปีศาจระดับต่ำกว่าให้ไปยึดเขตแดนที่เป็นของมนุษย์ผู้ฝึกตน

 

 

โดยทั่วไปภายใต้สถานการณ์ปกติ สัตว์ปีศาจมักจะทำไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ในการจู่โจมแต่ละครั้ง พวกมันจะได้รับยาวิเศษไปมากมายซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อช่วยการฝึกตนของมันได้ เพราะเหตุนี้ พวกมันจึงชอบโจมตีเขตที่เป็นของมนุษย์ผู้ฝึกตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

เมื่อไหร่ที่การโจมตีมาถึงก็เหมือนกับการเสี่ยงโชคทุกครั้ง บางครั้งความเสียหายที่มนุษย์ผู้ฝึกตนต้องเจอนั้นยิ่งกว่าหายนะ ในขณะที่บางครั้ง พวกเขาจะเก็บซากของสัตว์ปีศาจจำนวนมากที่ยังอยู่ในสภาพดี ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการขัดเกลาเครื่องมือต่างๆ ได้

 

 

โม่เทียนเกอไม่เคยเจอประสบการณ์นี้มาก่อน นางเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับต่ำที่ไม่สำคัญอะไร ซึ่งอยู่ในเขาคุนอู๋มาประมาณแค่สิบปีเท่านั้น ในขณะที่การก่อกบฏของสัตว์ปีศาจครั้งล่าสุดนั้นเกิดขึ้นอย่างต่ำก็ห้าสิบถึงหกสิบปีมาแล้ว

 

 

ที่ยืนอยู่ข้างนางบนหน้าผาสูงชันนี้คือผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบคน เช่นเดียวกับศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายร้อยคน

 

 

ผลที่ตามมาจากการผนวกสำนักอวิ๋นอู้เข้ากับสำนักจื่อซย่าเห็นได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ตอนที่การแข่งขันย่อยภายในถูกจัดขึ้น ศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณของสำนักอวิ๋นอู้ที่อยู่ระดับเจ็ดและสูงกว่ามีจำนวนมากกว่าสี่ร้อยคน แต่ปัจจุบันนี้ จำนวนของพวกเขาอาจจะยังมีไม่ถึงสามร้อยคนด้วยซ้ำ

 

 

ท่ามกลางผู้ฝึกตนเหล่านี้ โม่เทียนเกอไม่เห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายคน ศิษย์พี่โจวไม่ได้มาด้วย เพราะระดับการฝึกตนของเขาเข้าถึงดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับสิบเอ็ดแล้ว ทำให้เขาได้ส่วนแบ่งยาสร้างฐานแห่งพลังไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ทางสำนักก็เพิ่งจะผ่านความพินาศมา เขาไม่อยากจะดึงดูดความสนใจคนอื่นจึงไม่ขอเข้าร่วม

 

 

หวังเชี่ยนอีและเฉินปิงก็ไม่มาเช่นกัน ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่ในสำนักงานใหญ่ของสำนักจื่อซย่า นางยังได้ยินมาอีกว่าทั้งสองคนถูกเลือกให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังมานานแล้ว ข่าวนี้ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยการเสียสละของพวกเขาก็ไม่ได้สูญเปล่า

 

 

มู่หรงเยียนเข้าร่วมด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ นางดูซีดเซียวและสวีบผอม ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่มีเค้าของหญิงสาวที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นคนสวยเหลืออยู่ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของนางเช่นนั้น โม่เทียนเกอทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ภายใน แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยแบบนี้นางก็ไม่ต้องเจริญรอยตามเฉินปิงและหวังเชี่ยนอี

 

 

ในไม่ช้า กลุ่มคนปรากฏตัวขึ้นบนเส้นขอบฟ้าและเหาะมาทางพวกเขาก่อนที่คนพวกนั้นจะร่อนลงที่หน้าผาสูงชันนี้ พวกเขาคือศิษย์จากโรงเรียนจินเตา เหมือนกับศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้ แม้ว่าสีของชุดคลุมจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มีสัญลักษณ์ของสำนักจื่อซย่าเพิ่มเข้าไปบนชุดคลุมของพวกเขา

 

 

จากการคาดคะเนของนาง โรงเรียนจินเตามีศิษย์ราวๆ หนึ่งร้อยคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ผ่านช่วงเวลาการกวาดล้างมาเหมือนกันเพราะทุกคนดูท้อแท้สิ้นหวัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง แต่ก็ไม่มีใครที่ดูตื่นเต้นกับเรื่องนี้นัก ชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญนั้นน่าสลดยิ่งกว่าที่สำนักอวิ๋นอู้ต้องเผชิญ

 

 

ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่นำทางพวกเขามาคือชาวเต๋าในชุดคลุมแบบของโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ โม่เทียนเกอจึงมองดูเขาอยู่นาน แม้ว่าผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะทุกคนในโลกแห่งการฝึกตนจะศึกษาปรัชญาแห่งเต๋า แต่ชุดนักพรตเต๋าของพวกเขาหลายชุดก็มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากของโลกมนุษย์

 

 

ในโลกมนุษย์ นักพรตเต๋าส่วนใหญ่จะใส่ชุดคลุมแบบติดกระดุมสีดำหรือไม่ก็สีน้ำเงินเข้ม หนาแต่ไม่ได้มีหลายชั้น ในทางกลับกัน ชุดนักพรตเต๋าส่วนใหญ่ในโลกแห่งการฝึกตนถูกตกแต่งให้สวยงาม ทั้งเสื้อผ้าด้านใน ชุดคลุมมีกระดุม ชุดคลุมด้านนอก และอีกหลายชั้นล้วนถูกปักด้วยลวดลายตรีลักษณ์ทั้งแปดและหยินหยาง สีสันหลากหลายแตกต่างกันถูกใช้เพื่อจำแนกแต่ละฝ่าย ดังนั้น พวกเขาจึงดูสง่างามแต่ก็ยังคงความรู้สึกเคร่งขรึม เมื่อเทียบกับนักพรตเต๋าในโลกมนุษย์ พวกเขายิ่งดูสวยงามประณีตและสูงศักดิ์ เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงแทบไม่ใส่ชุดนักพรตเต๋าจากโลกมนุษย์ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงกิริยาอาการได้อย่างคนที่มาจากโลกผู้ฝึกตน

 

 

นักพรตเต๋าที่อยู่ตรงหน้านางคือผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างแน่นอน แต่กระนั้น เขากลับไม่สนใจเครื่องแต่งกายของเขาแม้แต่น้อย จากข้อเท็จจริงนี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือคนที่มีจิตใจแห่งเต๋าอันหนักแน่น

 

 

เมื่อคนผู้นี้ปรากฏกายขึ้น หัวหน้าประจำสาขาเขาอวิ๋นอู้คนปัจจุบัน หัวหน้าสำนักย่อยเจียงทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะศิษย์พี่หลิน”

 

 

อย่างไรก็ตาม นักพรตเต๋าผู้นี้ไม่ได้แสดงความเคารพเขามากนักและเพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ ก่อนจะหลับตาพัก

 

 

หัวหน้าสำนักย่อยเจียงดูค่อนข้างอับอายหลังจากถูกเมินใส่

 

 

จากที่โม่เทียนเกอเห็น ศิษย์สำนักอวิ๋นอู้หลายคนดูจะแอบดีใจกับเรื่องนี้ เหมือนอย่างเช่นสวีจิ้งจือ เป็นต้น

 

 

ในทางกลับกัน เจียงซั่งหังดูค่อนข้างโกรธ ราวกับว่าเขาไม่สามารถทนเห็นสิ่งที่ผู้อาวุโสของเขาทำลงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความเกลียดชังเผยอยู่เต็มหน้าเขาในขณะที่เขาจ้องไปยังผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าสำนักย่อยเจียง

 

 

โม่เทียนเกอพบว่าคนผู้นั้นคือเด็กจากกลุ่มเจียงที่ครั้งหนึ่งเคยรังแกเขา เจียงเฉิงเสียน เห็นได้ชัดว่า เจียงเฉิงเสียนคนนี้เป็นผู้สืบสกุลโดยตรงของหัวหน้าสำนักย่อยเจียง เขามักจะอยู่ข้างๆ หัวหน้าสำนักย่อยเจียงเสมอและดูภาคภูมิใจในตัวเองมาก

 

 

ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังจะไม่สนิทกัน นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรังเกียจเจียงเฉิงเสียนคนนี้หลังจากได้เห็นฉากตรงหน้า ลูกชายอภิสิทธิ์ชนของวงศ์ตระกูลทรงอิทธิพล ผู้ที่หวังพึ่งแต่เชื้อสายและผู้อาวุโสของตัวเองเพื่อทำตัวไร้ศีลธรรม ไม่เคยมุ่งมั่นกับการฝึกตนและไม่มีความสามารถอะไรที่แท้จริง… ไม่น่าแปลกใจที่เจียงซั่งหังจะรู้สึกว่าขัดหูขัดตา

 

 

หลังจากผ่านไปสักพัก กลุ่มคนอีกกลุ่มก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้าและลอยมาทางพวกเขา จำนวนคนในกลุ่มนั้นมีมากกว่าจำนวนศิษย์ของทั้งสองกลุ่มรวมกันเสียอีก คนกลุ่มนั้นคือศิษย์แห่งสำนักจื่อซย่า

 

 

ผู้ฝึกตนที่นำทางศิษย์สำนักจื่อซย่าดูค่อนข้างเป็นมิตร แต่เมื่อเจอกับหัวหน้าสำนักย่อยเจียง เขาก็ดูเฉยเมยเช่นกัน แต่กระนั้น เขากลับนอบน้อมมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักพรตเต๋าคนนั้น

 

 

หลังจากทั้งสามคนสนทนากันสั้นๆ ทั้งหมดจึงเรียกอาวุธวิเศษประจำตัวของตัวเองมา ทันใดนั้น ม่านพลังเคลื่อนย้ายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้วิธีเดียวกับที่ทำในหุบเขาหมีอู้ มีความเป็นไปได้ว่าสถานที่แห่งนี้ก็เคยถูกใช้เพื่อทดสอบศิษย์มาแล้วเหมือนกัน

 

 

“ศิษย์ทั้งหลาย ขึ้นมาทีละคน ห้ามแตกแถว!”

 

 

เมื่อผ่านเหตุการณ์หายนะเช่นนั้นมาแล้ว ศิษย์ของสำนักอวิ๋นอู้เก่าและโรงเรียนจินเตาเก่าทั้งนิ่งเงียบและไม่รู้สึกยินดียินร้าย ต่างกับพวกเขา ศิษย์สำนักจื่อซย่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พยายามปีนป่ายเพื่อให้ได้เข้าไปก่อนคนอื่น ศิษย์ของอีกสองกลุ่มไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและยืนรออยู่เท่านั้น

 

 

โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ เพื่อดูศิษย์พี่ข้างๆ ตัวนาง หลิ่วอีเตาดูตื่นเต้น สวีจิ้งจือสงบนิ่ง ฉินซีดูมั่นคงและสุขุม และเจียงซั่งหังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จากนั้นนางจึงจับหน้าของตัวเอง สัมผัสได้ว่าสีหน้าของนางค่อนข้างแข็งทื่อ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ซ่อนอารมณ์ของตนเอง

 

 

นางมุ่งมั่นที่จะได้ยาสร้างฐานแห่งพลังมา ในอนาคต หากนางไม่สามารถทนวิธีการที่สำนักจื่อซย่าจัดการเรื่องต่างๆ ได้ นางก็แค่ต้องหาข้ออ้างเพื่อออกจากภูเขาและไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก อย่างไรเสีย สำนักจื่อซย่าก็ไม่มีเวลามาสนใจศิษย์ระดับล่างหรอก แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น คงจะเป็นการดีถ้านางได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังและสร้างฐานแห่งพลังของตัวเองได้ในขณะที่ยังอยู่ในสำนัก มิเช่นนั้น ด้วยระดับการฝึกตนของนางที่อยู่แค่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ บวกกับข้อเท็จจริงที่ว่าอายุขัยของท่านอารองใกล้จะหมดสิ้นลงแล้ว นางคงไม่กล้าจะจากไปตามอำเภอใจ

 

 

ขณะเดียวกับที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด นางก็พบว่าสวีจิ้งจือที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นางดูเหมือนกำลังตัวสั่น นางเรียกเขาเบาๆ “ศิษย์พี่สวี”

 

 

สวีจิ้งจือหันหน้ามา ใบหน้าซีดเผือดของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยในขณะที่พูดว่า “อืม”

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจและพูดว่า “เรายังไม่ได้เข้าไปเลย พี่จะเป็นลมตอนนี้ไม่ได้นะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง สวีจิ้งจือก็รีบปาดเหงื่อออกจากใบหน้า แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เป็นอะไร “ศิษย์น้องเยี่ยไม่ต้องกังวลไปหรอก”

 

 

“ข้าก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน” โม่เทียนเกอบอก “สถานการณ์ภายในป่าจะต้องอันตรายมาก ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่ได้รับอนุญาตให้ไปกันเป็นกลุ่ม ศิษย์พี่ต้องตั้งสติไว้นะ!”

 

 

สวีจิ้งจือพยักหน้ารับ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ เขาจึงกระซิบบอกนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าเป็นกังวลมาก เห็นได้ชัดว่ามีความเป็นศัตรูกันระหว่างทั้งสามกลุ่ม การที่ส่งพวกเราทุกคนเข้าป่าไปพร้อมกันจะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งรึ”

 

 

โม่เทียนเกองุนงงจึงถามว่า “ทำไมหรือ”

 

 

หลังจากเงียบไป จู่ๆ สวีจิ้งจือก็กัดฟันพูดขึ้นมา” ถ้าข้าบังเอิญเจอไอ้เจ้าเจียงเฉิงเสียนนั่น ถ้าข้าทำได้อย่างเรียบร้อย ข้าจะ…”

 

 

สีหน้าอาฆาตปรากฏขึ้นชั่ววูบหนึ่งบนใบหน้าเขา ความหมายของเขาชัดเจนมากพอแล้ว

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกกลัวกับคำพูดของเขา นางหันกลับไปมองรอบตัว แต่หลังจากที่นางเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา นางจึงคลายความเครียดลง นางกระซิบบอก “ศิษย์พี่สวีห้ามพูดไร้สาระแบบนั้น! พี่แค่ถูกความประหม่าเข้าครอบงำ…”

 

 

สวีจิ้งจือหลับตาและพยักหน้า ก่อนจะเช็ดเหงื่ออีกครั้ง “สิ่งที่ศิษย์น้องพูดก็ถูก” หลังจากเขาพูดเช่นนี้เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง จดจ่ออยู่กับการทำสมาธิเพื่อสงบจิตใจ

 

 

โม่เทียนเกอคิดถึงสถานการณ์ของพวกเขา จากนั้นหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชุดคลุมและส่งต่อให้เขา “ศิษย์พี่สวี นี่คือเครื่องรางสงบจิตใจ ถ้าพี่ไม่สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้ แค่แปะมันไปที่ตัวของพี่”

 

 

สวีจิ้งจือลืมตาขึ้น ไร้ซึ่งคำพูดมากมายที่ไม่จำเป็น เขารับเครื่องรางมาและพูดว่า “ขอบคุณศิษย์น้องเยี่ย”

 

 

นางจึงยิ้มให้และหยุดพูด หันเหความสนใจไปที่ม่านพลังเคลื่อนย้ายแทน

 

 

หลังจากพยายามกันค่อนข้างหนัก ศิษย์สำนักจื่อซย่าส่วนใหญ่เข้าไปได้แล้ว เมื่อทำตัวเองให้สงบลง นางจึงก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าไปสู่ม่านพลังเคลื่อนย้าย