บทที่ 1191 ยามหกคนพบกันอีกครั้ง โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากทดสอบอานุภาพของ ‘ตีไม่พัง’ ไปแล้ว ทั้งสองก็กลับมาที่ตลาดสวรรค์ พอกลับมาถึงชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของร้านโฉมเมฆา เหมียวอี้ก็โอบกอดอวิ๋นจือชิวจากข้างหลัง แล้วคลอเคลียอยู่ข้างหู สูดดมกลิ่นกายหอมตรงซอกคอขาวของนาง สองมือกำลังซุกซนอยู่บนร่างกายนาง
อวิ๋นจือชิวย่อมรู้ว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร จึงคว้ามือเขาแกะออก แล้วหันตัวใช้สองมือประคองใบหน้าเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมบอกอย่างจริงจังว่า “ถ้าทำแบบนี้อีก วันนี้เจ้าคงฝึกตนไม่ได้แล้ว อีกไม่นานก็จะถืงเวลาทดสอบ ตัวข้าเป็นของเจ้าแล้ว หนีไม่พ้นหรอก ต่อไปอยากจะครอบครองข้าเมื่อไรก็ได้ ตอนนี้อย่าแบ่งสมาธิไปไว้ที่ตัวผู้หญิง ไม่คุ้มค่าที่จะทำแบบนั้น การเร่งเพิ่มวรยุทธ์แข่งกับเวลาต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ วรยุทธ์เพิ่มขึ้นจะได้มีหลักประกันเพิ่มขึ้น เด็กดี รอให้ถึงตอนที่เจ้าจะไป ข้าจะปรนนิบัติเจ้าอย่างดีแน่นอน ตอนนี้เอาความคิดไปวางอยู่กับการฝึกตนให้หมด”
ท่านขุนนางเหมียวย่อมผิดหวังอยู่แล้ว เพราะนานมากแล้วที่ไม่ได้แตะต้องนาง ประเด็นสำคัญคือตอนนี้เจ้าตัวไม่ให้แตะต้อง นางไม่ให้แตะต้องก็ว่าแย่แล้ว ถึงขั้นสั่งอนุภรรยาคนอื่นๆ ไว้ด้วยว่าห้ามทำให้เขาเสียสมาธิ ทำให้ชีวิตเขาไร้รสชาติ
ทว่าอวิ๋นจือชิวสามารถควบคุมเขาได้ในที่แจ้ง แต่กลับควบคุมการกระทำเล็กน้อยของเขาในที่ลับไม่ได้ ถึงอย่างไรลับหลังก็ยังซ่อนหวงฝู่จวินโหรวไว้อีกหนึ่งคน
ภายใต้ความจนใจ เขาจึงทำได้เพียงใช้มือลวนลามบนร่างกายอวิ๋นจือชิวไปยกหนึ่ง ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มแบบนั้น หน้าอกที่อวบอิ่มแบบนั้น บั้นท้ายที่อวบอัดแบบนั้น เรือนร่างขาวอ่อนนุ่มที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่นแบบนั้น เขารังแกจนอวิ๋นจือชิวแก้มแดงหายใจหอบ แต่ผู้หญิงคนนี้มีปณิธานอันแน่วแน่ ขนาดเป็นแบบนี้แล้วยังดึงดันไม่ให้เขาแตะต้อง เร่งให้เขากลับไปฝึกตนเหมือนเดิม
เป็นเพราะความกังวลในใจอวิ๋นจือชิว คือสิ่งที่เหมียวอี้ไม่สามารถเข้าใจได้ เพียงแต่นางไม่พูดออกมาก็เท่านั้นเอง
แต่ท่านขุนนางเหมียวถูกเรือนร่างยั่วราคะของนางปลุกปลั่นจนรุ่มร้อน เขาไม่ใช่มือใหม่เหมือนในปีนั้นแล้ว จะทำตัวซื่อสัตย์ไหวได้อย่างไร พอมุดเข้าทางใต้ดินก็ติดต่อหวงฝู่จวินโหรวทันที บอกให้นางปิดใช้งานค่ายกลป้องกัน แล้วแอบหนีเข้าไปหาความสำราญในร้านค้าสมาคมวีรชนแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ขอแค่เหมียวอี้มาหานางก็ดีใจแล้ว คู่ชู้รักย่อมหาความสำราญกันตามใจชอบ หลงระเริงเต็มที่
โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่รู้ ถ้ารู้ว่านางสิ้นเปลืองความคิดไปมากแต่สูญเปล่า ก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลลัพธ์เลย ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่โมโหจนคลั่งก็แปลกแล้ว…
เวลาหลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในห้องสมาธิของตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ตรงรอยแยกสีแดงตรงหว่างคิ้วค่อยๆ จางไป ฝ่ามือสองข้างกางออก เผยดีบัวสีแดงสองเม็ด ทำให้ชั่วขณะนั้นปราณปีศาจโลหิตพรั่งพรูอยู่ในห้องสมาธิ
กลั่นกรองยาเม็ดโลหิตหมดไปอีกสองเม็ด แต่เหลือเวลาอีกอย่างน้อยสี่สิบกว่าปีกว่าจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นห้า เวลาทดสอบใกล้เข้ามาแล้ว ทั้งยังต้องไปรวมตัวที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวล่วงหน้าอีก เวลาไม่พอให้เขาบรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นห้าอีกแล้ว
เขานำเกราะรบออกมา แล้วนำดีบัวสองเม็ดใส่เข้าไปในเกราะรบอีก ไม่ได้ฝึกตนต่อไป
หลังจากติดต่อพวกฝูชิงแล้ว เหมียวอี้ก็ออกจากห้องสมาธิมานั่งลงในลานบ้านข้างนอก เป่าเหลียนยกน้ำชามาวางข้างๆ แต่เหมียวอี้ให้นางถอยออกไป
ผ่านไปไม่นาน ฝูชิง อิงอู๋ตี๋กับสวีถังหรานก็มาแล้ว มายืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ให้พวกเขานั่งลง ปากพวกเขาก็กล่าวขอบคุณ แต่ความจริงกลับไม่นั่งลง ไม่ทำอะไรให้ดูเหมือนมีฐานะเทียบเท่าเขา
เหมียวอี้ก็เหมือนจะค่อยๆ คุ้นชินกับความเคารพของพวกฝูชิงแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้มาหลายปี เขายกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วถามว่า “สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?”
ทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง แล้วฝูชิงก็ตอบว่า “การทดสอบที่นรกใกล้เข้ามาแล้ว เริ่มมีข่าวลืออีกแล้วว่านายท่านจะไปเข้าร่วมการทดสอบหรือไม่ ที่บ่อนถึงขั้นมีการตั้งเดิมพันนี้ เดิมพันว่านายท่านจะไปเข้าร่วมหรือไม่ คนที่เดิมพันเหมือนจะมีไม่น้อยเลย”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ถึงขั้นกล้าเอาข้าไปเดิมพันอย่างโจ่งแจ้งแล้วเหรอ สงสัยกำหนดเวลาใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาคงรู้แล้วว่าข้าเดินมาถึงจุดจบ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว ว่ามาซิ คนที่เดิมพันว่าข้าจะไปมีเยอะกว่า หรือคนที่เดิมพันว่าข้าจะไม่ไปมีเยอะกว่า”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฝูชิงก็ถามว่า “คาดว่าอย่างละครึ่งขอรับ บางคนคิดว่านายท่านไม่กล้าเอาชีวิตไปทิ้ง ถ้ายอมแพ้เรื่องการทดสอบก็ยังพอมีหวังจะรอดชีวิต ส่วนอีกพวกหนึ่งคิดว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนนายท่านก็ไม่ได้อยู่อย่างปลอดภัยอยู่ดี จะต้องไปฝ่าฟันสักครั้งแน่นอน”
“เฮอะ!” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลง แล้วถามอีกว่า “สถานการณ์การทางสมาคมร้านค้าเป็นอย่างไร?”
ทั้งสามเงียบไป ก่อนที่สวีถังหรานจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “การควบคุมสมาคมร้านค้าของพวกเราหมดบทบาทแล้ว ร้านค้าพวกนั้นแอบปล้นอำนาจพวกเราลับหลัง ตอนนี้ไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถ้านายท่านออกไป เกรงว่าระบบของสมาคมร้านค้าก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
“ดีมาก!” เหมียวอี้กวาดสายตามองทั้งสาม “จำไว้ให้ข้าด้วยนะ ว่าใครทำอะไรไว้บ้าง จดไว้ทุกรายการ อย่าให้ตกหล่น รอให้ข้ากลับมาแล้วค่อยคิดทั้งบัญชีเก่าทั้งบัญชีใหม่”
“ขอรับ!” ทั้งสามเอ่ยรับ
หลังจากให้ความสนใจกับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดสวรรค์ แล้วรอจนกระทั่งทั้งสามออกไปแล้ว เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาก็เงียบงันอยู่นานมาก
การทดสอบกำลังจะมาถึง ต่อให้เตรียมตัวมากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่อยากไปที่นรกคนเดียวอยู่ดี ไปตามลำพังอันตรายเกินไปจริงๆ ยังอยากจะหาพันธมิตรไว้สักหน่อย แต่เมื่อหาจนทั่วแล้ว จะมีใครอยากเป็นพันธมิตรกับเขาเพื่อรับมือกับการทดสอบด้วยกันบ้างล่ะ?
พอคิดไปคิดมา คนที่มีเส้นสายและภูมิหลังพอจะสนับสนุนเขาได้บ้างก็มีแค่โค่วเหวินหลาน มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ห่วงหน้าตาศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น เมื่อเทียบศักดิ์ศรีกับชีวิต แน่นอนว่าชีวิตต้องสำคัญกว่า
เขาถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับโค่วเหวินหลาน
นิสัยของโค่วเหวินหลานค่อนข้างใช้ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอบกลับมาว่า : ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทำไมเวลานี้ถึงมาทักทายข้าได้ล่ะ
เหมียวอี้ : ข้าน้อยกำลังจะไปทดสอบที่นรกขอรับ
ทางโค่วเหวินหลานชะงักไปครู่หนึ่ง : เจ้าต้องคิดถึงผลลัพธ์ของการไปทดสอบที่นรกให้ดีนะ เจ้าไม่ได้ล่วงเกินคนไว้แค่คนสองคน ลองไตร่ตรองดูใหม่
เหมียวอี้ : ข้าน้อยไม่มีทางเลือก คนที่ข้าน้อยล่วงเกินไว้คงไม่ปล่อยข้าน้อยไปเพียงเพราะข้าน้อยสละตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าไม่มียศแม่ทัพเกราะม่วง ไม่มีอำนาจนี้แล้ว ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาลงมือกับข้าน้อยสะดวกกว่าเดิม
โค่วเหวินหลาน : ถ้ารู้แบบนี้แล้ว ตอนแรกจะทำทำไม! ตอนนี้เจ้าติดต่อข้าเพราะเรื่องการทดสอบเหรอ?
เหมียวอี้ : คาดว่าคนของอ๋องสวรรค์โค่วคงมาเข้าร่วมการทดสอบไม่น้อย หนิวโหย่วเต๋อมาขอร้อง อยากจะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา แม่ทัพภาคโค่วได้โปรดเห็นแก่ไมตรีเก่าๆ ช่วยบอกให้ข้าหน่อย
ทางโค่วเหวินหลานลังเลอยู่นานมาก ก่อนจะบอกว่า : หนิวโหย่วเต๋อ นี่เจ้ากำลังทำให้ข้าลำบากใจนะ! ถ้าคนอื่นจะลงมือกับเจ้า แต่ฝ่ายข้าจะปกป้องเจ้า แบบนั้นจะต้องเกิดความขัดแย้งกันแน่นอน ถ้าตระกูลโค่วตระกูลเดียวสู้กับอีกหลายตระกูล ทั้งยังอยู่ในนรกอีก ชัดเจนมากว่าเป็นเรื่องที่เสียเปรียบ เจ้าจะให้ตระกูลโค่วเสียสละมากขนาดนั้นเพื่อเจ้าคนเดียวเหรอ?
เหมียวอี้ผิดหวังนิดหน่อย แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดถูก ตัวเองคิดมากไปจริงๆ จึงตอบไปว่า : แม่ทัพภาคโค่วไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่ได้ก็ช่างเถิด
เพียงแต่โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า : ถ้าให้เป็นพันธมิตรกับเจ้า ตระกูลโค่วตอบตกลงไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าจะให้คนของตระกูลโค่วไม่แตะต้องเจ้า แบบนั้นก็ยังพอได้ เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าจะให้ท่านลุงใหญ่ของข้าช่วยพูดให้ ให้กำลังพลสายระกา สายจอ สายกุนที่เข้าร่วมการทดสอบไม่กลั่นแกล้งเจ้า ส่วนอีกเก้าสายข้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เจ้าทำได้เพียงรับมือเอาเอง นอกจากนี้ การทดสอบครั้งนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ไม่น้อยเลย โค่วเหวินชิงพี่หญิงห้าของข้า เมื่อการทดสอบครั้งก่อนเจ้าก็เคยเจอมาแล้ว ครั้งนี้นางยังเป็นที่ปรึกษาของการทดสอบเหมือนเดิม ข้าจะบอกให้นางดูแลเจ้าสักหน่อย จะได้ไม่มีคนกลั่นแกล้งเจ้าก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น หนิวโหย่วเต๋อ สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงเท่านี้แหละ!
มีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยก็ลดภัยคุกคามจากกำลังพลไปแล้วสามสาย กำลังพลสามสายนี้ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เป็นกำลังพลใต้บังคับบัญชาของจอมพลเชียวนะ! จึงกล่าวขอบคุณทันที : บุญคุณอันยิ่งใกญ่ กล่าวขอบคุณคงไม่พอ หากมีโอกาสหนิวโหย่วเต๋อจะตอบแทนอย่างดี!
โค่วเหวินหลานกล่าวว่า : จะตอบแทนหรือไม่ตอบแทนก็ช่างเถอะ ในปีนั้นข้าผิดคำพูด พาเจ้าไปด้วยกันไม่ได้ ถึงได้ทำให้เจ้าอับจนหนทาง ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีก็แล้วกัน!
สำหรับเหมียวอี้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่โดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ ในที่สุดก็หาคนปลอบใจได้บ้างแล้ว
เมื่อไปที่นรกแล้ว ย่อมมีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่เขาจะไม่ปล่อยผ่าน คนที่หลบหนีการไล่ฆ่าจากนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพได้ ทั้งยังรอดชีวิตอยู่ในนรกจนกระทั่งวันนี้ เขาจะปล่อยผ่านคนพวกนี้ไปได้อย่างไร
เหมียวอี้นำระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นอ้าวเทียน : ข้ากำลังจะไปเข้าร่วมการทดสอบที่นรกแล้ว ระบุสถานที่เจอกันเถอะ!
ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งที่นรก อวิ๋นอ้าวเทียนที่ติดต่อเหมียวอี้เสร็จแล้วพลันผิวปาก เสียงดังก้องออกไปนอกถ้ำ
ผ่านไปไม่นาน พวกมู่ฝานจวินก็แวบเข้ามา อวิ๋นอ้าวเทียนมองพวกเขาพร้อมบอกว่า “เหมียวอี้จะเข้าร่วมการทดสอบแล้ว”
“เขาบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” ฉางเหลยงุนงง
อวิ๋นอ้าวเทียนเล่าเรื่องที่เพิ่งติดต่อกับเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ให้ฟังทันที
หลังจากได้ฟัง จีฮวนก็เงยหน้าหัวเราะลั่น “เทพพยากรณ์สมกับเป็นเทพพยากรณ์จริงๆ เหมียวอี้จะรอดพ้นจากคำทำนายอันแม่นยำของเขาได้อย่างไร บัญชาสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน!”
พวกเขาสบตากัน แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ คำทำนายของเทพพยากรณ์ขังพวกเขาไว้ที่นี่หลายปี อดทนผ่านไปปีแล้วปีเล่า พวกเขาค่อนข้างระแวงกลัว ในใจไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ในที่สุดสถานการณ์ก็กลับมาอยู่บนวงโคจรคำทำนายของเทพพยากรณ์แล้ว รออย่างเงียบๆ อยู่ในกรงก็ไม่เลวเหมือนกัน!
ตอนนี้พวกเขากำลังเฝ้ารอประโยคหลังมาก ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน!
เวลาไม่คอยใคร ชั่วพริบตาเดียวเวลารวมตัวก่อนการทดสอบก็มาถึงแล้ว
ในคืนก่อนจะออกเดินทาง เหมียวอี้ไปค้างคืนกับอวิ๋นจือชิว
ในคืนนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พบว่าฮูหยินวิ่งออกมาบ้วนปากอีกแล้ว ฮูหยินที่มีเสน่ห์เย้ายวนใจสภาพสะบักสะบอมมาก ครั้งก่อนทั้งสองมีประสบการณ์แล้ว จึงไม่ไปรบกวนอีก
วันต่อมา หลังจากสองสามีภรรยาออกมาจากห้องนอน ก็กอดกันแน่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เงียบงันไม่พูดอะไรอยู่นานมาก
สุดท้ายก็ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่ฝืนยิ้มพลางผลักเหมียวอี้ออก ใช้ดวงตางามจ้องเขาอย่างลึกซึ้ง เพียงกำชับเบาๆ ว่า “ระวังตัวหน่อยนะ”
“อืม! ไม่ต้องเป็นห่วง ไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ ไม่ตายหรอก!” เหมียวอี้ปล่อยนาง แล้วหันตัวไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “ตอนที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าสองคนต้องดูแลฮูหยินให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะมาเอาเรื่องพวกเจ้า!”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวย่อตัวเอ่ยรับ
ไมได้พูดอะไรมากอีก เหมียวอี้ก้าวเท้ายาวเดินออกไป หายออกไปจากประตูชัยภูมิถ้ำสวรรค์
อวิ๋นจือชิวไม่ได้ไปส่ง เหมียวอี้ไม่อยากเห็นการจากลาชั่วนิรันดร์ และกำชับอนุภรรยาคนอื่นด้วยว่าไม่ต้องไปส่ง ถ้าจะไปเดี๋ยวก็ไป ถ้าจะกลับเดี๋ยวก็กลับ ทุกคนทำตามเจตนาของเขา
ขณะมองเงาร่างของเหมียวอี้คล้อยหลังไป ในดวงตาอาลัยอาวรณ์ของอวิ๋นจือชิวก็เริ่มฉายแววเศร้าโศก นางเงยหน้ามองฟ้า พร้อมกัดฟันพูดว่า “เขาเป็นคนที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แต่เราสองสามีภรรยาเป็นเนื้อบนเขียง เล็กน้อยราวกับมด ควบคุมความเป็นความตายของตัวเองไม่ได้! ข้าอวิ๋นจือชิวขอสาบานต่อฟ้า ต้องมีสักวันที่พวกเราสองสามีภรรยาจะเหยียบให้สรรพสิ่งในใต้หล้าอยู่ใต้เท้า ไม่มีวันโดนกดขี่อยู่อย่างนี้ไปตลอด!”
เปรี้ยง! จู่ๆ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังอยู่บนฟ้า คนในตลาดสวรรค์พากันเงยหน้ามอง ฝนตกแล้ว!
หลังจากเหมียวอี้โผล่ออกมาจากทางใต้ดิน ก็พบว่าฝนตกแล้วเช่นกัน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วหันกลับมามองเฮยทั่นที่นอนงีบอยู่ใต้ชายคา เรียกเบาๆ ว่า “โจรอ้วน!”
หลังจากสัปหงกอยู่พักหนึ่ง เฮยทั่นก็ลืมตาข้างเดียวมองดู จากนั้นก็ลืมตาสองข้างพร้อมกัน แล้วกระโจนตัวไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ก้มหน้าพ่นลมหายใจใส่เขา
เหมียวอี้ชูมือขึ้นลูบคางมัน แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าโจรอ้วน เราไม่ได้ออกสนามรบด้วยกันมานานมากแล้ว ยินดีจะติดตามข้าไปออกศึกอีกครั้งมั้ย!”
เฮยทั่นทำสายตาตกใจนิดหน่อย จากนั้นดวงตาก็ฉายแววร้อนรนทนรอไม่ไหว สั่นหัวส่ายหน้าเดินวนรอบเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว บนผิวดินมีรอยกรงเล็บลึกหลายรอย
มันอยู่อย่างเงียบสงบมานานเกินไป นานแล้วที่ไม่ได้วิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางเลือดสาดกระจาย ท่ามกลางเสียงสังหารสะท้านฟ้า ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด มันคิดถึงตอนที่ตัวเองยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบอยู่บนสนามรบ ท่ามกลางหัวคนที่ปลิวว่อน ท่ามกลางเลือดสดที่สาดกระเซ็น เหยียบย่ำเศษแขนซากขา ฝ่าพันธนาการของพลังอิทธิฤทธิ์ แสดงพลังของตัวเองออกมา ฉากพวกนั้นทำให้มันเลือดเดือดพล่าน!
“อ๋าว…” เฮยทั่นที่วิ่งวนรอบๆ พลันหยุดเท้า ดวงตาสิงโตสีแดงเลือดเบิกกว้าง เงยหน้ามองฟ้าครึ้มพลางคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ท่ามกลางสายฝน
ต้นไม้ใบหญ้าในลานบ้านสั่นไหว เสียงดังสะเทือนทั้งตำหนักคุ้มเมือง แม้แต่คนที่เดินไปมาอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองก็พากันหันกลับมามองที่ตำหนักคุ้มเมือง
…………………………